นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 24 เม.ย. 2024 6:10 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ตะวันขึ้น ตะวันตก
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 17 เม.ย. 2020 9:38 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4538
ทุกวันนี้มันมีแต่พูดสูงๆกัน โยมมีแต่ว่า ไปวิปัสสนา ไปวิปัสสนา
ทำไมมันไม่คิดกันบ้าง ไปพูดเอาแต่ทางปลาย ทางโคนไม่พูด
พูดแต่จะมานั่งอยู่ในบ้านสุขสบาย ทำไมไม่พูดตอนสร้างบ้าน
ตอนลำบากตากแดดตากฝน สร้างกว่าจะเป็นบ้านมาให้นั่งนี่
กว่าจะมานั่งสบายอยู่นี่ ทำไมมันไม่พูดกัน
..
มันไม่ใช่ อะไรๆก็วิปัสสนา วิปัสสนา ครูบาอาจารย์ไม่ได้พาทำมาแบบนี้
มันต้องไปตามขั้นตามตอน เริ่มใหม่ก็ ทาน ศีล ภาวนา
ถ้าจะพูด ก็ ไปทำสมาธิภาวนา ค่อยเข้าท่าหน่อย
ไม่ใช่จะวิปัสสนา วิปัสสนาอย่างเดียว ตัววิปัสสนาเป็นยังไง
มันรู้จักหรือยัง
...
หลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล











พระพุทธองค์เคยตรัสคำอวยพรที่มีความหมายมากประโยคหนึ่งว่า ขอให้เราใช้ชีวิตอย่างสม่ำเสมอบนเส้นทางที่ไม่สม่ำเสมอ คือ คนเราต้องการชีวิตที่ราบรื่นสม่ำเสมอ เมื่อชีวิตไม่ราบรื่นก็มักจะท้อแท้ซึมเศร้าหมดกำลังใจ แต่ไม่ว่าชีวิตใครๆ ก็ไม่เคยราบรื่นถึงขนาดนั้น แม้แต่พระซึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความสงบ ก็ใช่ว่าชีวิตท่านจะราบรื่นเสียทีเดียว พระพุทธองค์จึงทรงให้พร ขอให้เราใช้ชีวิตอย่างสม่ำเสมอบนเส้นทางที่ไม่สม่ำเสมอ สิ่งที่เราเจอในชีวิตมีทั้งขึ้นทั้งลง มีโลกธรรม มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ มีได้ มีเสีย เป็นต้น เรื่องนี้เราแก้ไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก แต่เราสามารถรักษาจิตใจของเราให้สม่ำเสมอได้ด้วยการรู้เท่าทัน

พระอาจารย์ชยสาโร









ทำให้มันต่อเนื่อง พวกเรา ปฏิบัติมามันไม่ได้ผล เพราะอะไร เพราะทำไม่ต่อเนื่อง ทำๆหยุดๆ มันไม่เรียกว่าความเพียรหรอกแบบนั้น ถ้าผู้ภาวนาแล้ว เวลาทำ ท่านทำตลอด ไม่ใช่วันหนึ่งคืนหนึ่งมานั่งหลับตาชั่วโมงสองชั่วโมง ที่เหลือกิเลสเอาไปกินหม๊ด
ผู้ที่ท่านภาวนา เวลาท่านจะทำงาน ท่านก็ภาวนา จะทำอะไรก็เป็นภาวนาอยู่นั้นแหละ มันขึ้นมาเอง ไม่ต้องนั่งหลับตาให้ยาก จะหลับตาลืมตา มันก็หมุนของมันอยู่นั้น ไม่ใช่ไปเห็นพระเดินทำงาน ก่อสร้าง โบกปูน ขนเหล็ก ไปหาตำหนิท่าน บางองค์ท่านทำไปท่านภาวนาไป ให้รู้จัก
พวกเราก็พากันตั้งใจ เข้าพรรษา ออกพรรษา ก็ให้ทำให้มันต่อเนื่อง มันถึงจะได้ผล

โอวาทตอนหนึ่งของ หลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล













...ถาม : เรียนหลวงพ่อ ขอความเมตตา
ทำสมาธิไม่นิ่งเลย จะทำยังไงคะ
ถึงจะนั่งสมาธินิ่งได้คะ

...พระอาจารย์ : นั่งสมาธิไม่ได้ก็เพราะ
“ไม่มีสตินี่เอง”
อย่าไปคิดว่านั่งสมาธิง่าย
โอ๊ย นั่งหลับตาแล้วก็พุทโธดูลมมันง่าย
“มันฟังง่าย แต่ทำยาก”

เพราะ. “ใจ”มันไม่ยอมทำ
ตามที่เราอยากให้มันทำ
พอพุทโธได้สองคำ ไปแล้ว
คิดถึงขนม คิดถึงคนนั้นคนนี้แล้ว

ฉะนั้นก่อนที่จะมานั่งนี้
“พยายามควบคุมความคิดให้ได้ก่อน”
แล้วพอเวลานั่งมันก็จะสงบได้.
..................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะหน้ากุฏิ 14/4/2563
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










"การยอมโง่ ในสายตาคนอื่น
แต่เพื่อความสบายใจของเรา
และไม่กระทบกระเทือนกันนั้น
เป็นอุบายที่ฉลาดของเรา
รู้หลบ รู้หลีก รู้ผ่อนสั้นยาวอย่างนี้
เป็นทางของคนดี และนักปราชญ์ชมเชย"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน









"พูดถึงเรื่องปีใหม่
ที่เขาสมมติบัญญัติว่า ปีใหม่
แท้จริงไม่ใช่ของใหม่หรอก
ของเก่านั่นแหละ

ตะวันขึ้น ก็ของเก่า
ตะวันตก ก็ของเก่า
วัน เดือน ปีนั้น มันของเก่าอยู่
คนยังพากันไปตื่นเงาตนเอง
เห็นว่าปีเก่าหมดไป ปีใหม่มา
เลยตื่นเต้นกัน

ความจริง ตัวของเรานี้ต่างหาก
ที่มันหมดไป ไม่ใช่วันเดือนปีหมดไป
อันที่เราควรจะตื่นเต้นนั่น
ควรตื่นเต้น ที่ตัวของเราว่า
วันหนึ่งๆ เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง
เราเจริญขึ้น หรือว่าเราเสื่อมลง
อันนั้นต่างหาก"

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี












"ทาน ทำให้ชีวิตมีความสมดุล
เพราะตั้งแต่เกิด เราเป็นผู้รับฝ่ายเดียว
ร่ำร้อง และเรียกหาทั้งอาหาร ของเล่น
เงินทอง เวลา ความรักจากพ่อแม่ ญาติพี่น้อง
ตลอดจน ความรู้จากครูบาอาจารย์

ดังนั้น เมื่อเราเติบใหญ่ขึ้น
จึงควรเป็นผู้ให้บ้าง มิใช่เพื่อทดแทนบุญคุณ
หรือตอบแทนโลกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรา
มีความสุขด้วย"

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล












"ต้องล้างการกระทำ ล้างการพูด
ล้างความคิดของตนด้วยนำ้ใส คือ พระธรรม
หากไม่ล้าง ปีใหม่ก็ย่อมเหมือนปีเก่า

พรปีใหม่ พระก็ยินดีให้หรอก แต่ของจริง ของแท้
ต้องเกิดจากความพยายามของเรา แต่ละคน
เพื่อล้างชีวิตของตน ให้สะอาดหมดจด"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ












" ธรรมดาชีวิตทุกชนิด
ทั้งมนุษย์และสัตว์ ตลอด
ทั้งพืชพันธุ์พฤกษาชาติ
เป็นอยู่ได้ด้วยการต่อสู้
ตรงกับคำว่า
“ชีวิต คือการต่อสู้”

เมื่อต่อสู้ไม่ไหวขณะใด
ก็ต้องถึงที่สุดแห่งชีวิต
คือ ความตาย

เพราะฉะนั้น
ยังมี “สติ” อยู่ตราบใด
ถึงตายก็ตายแต่กาย

เช่นกับชีวิตของ
พระพุทธเจ้า และ
พระอรหันต์ ท่านมีสติ
ไพบูลย์อยู่ทุกขณะจิต

ท่านจึงทำอะไรไม่ผิด
และถึงซึ่งอมตธรรม
คือธรรมที่ไม่ตาย
จึงเรียกว่า พระนิพพาน

คือนามรูปสังขารร่างกาย
ที่เรียกว่า เบญจขันธ์
ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ
แตกดับไปเท่านั้น "

โอวาทธรรม
เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต











พวกเรานี่หนังสือตำรับตำราครูบาอาจารย์ดูหมด แต่ไม่สนใจปฏิบัติ เราปฏิบัติอยู่แต่นอก ๆ เอาไปมอบไว้กับพระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ ของไม่ได้บกพร่องที่ไหน มันบกพร่องที่ใจของเราที่ไม่ได้สนใจจะปฏิบัติ เพราะฉะนั้นคนสมัยนี้จึงไม่ค่อยถึงมรรคถึงผล หัวใจคนมันเสื่อม ศาสนาไม่ได้เสื่อม

เราถือศาสนากันแบบลม ๆ แล้ง ๆ ถือไม่จริงไม่จัง ถือกันเล่น ๆ เห็นศาสนาเป็นของเล่น พอจะพูดกันได้แต่กับคนปฏิบัติ คนไม่ปฏิบัติหิ้วแต่ปิ่นโตไปวัด หิ้วแต่สังฆทาน ก็ไม่มีโอกาสจะเข้าถึงศาสนา จึงขอเตือนว่า พวกเรามาอยู่ในขั้นหนึ่งแล้ว เพียงแต่ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ อย่ามีแค่อยากพ้นทุกข์เฉย ๆแต่ปฏิบัตินิด ๆ หน่อย ๆ เหตุมันไม่สมผลเลย

ความรู้สึกของเรามันเป็นความรู้สึกของกิเลส ถ้าเราตามใจกิเลส ทำตามความรู้สึกเจ้าของ นั่นแหละคือทำตามกิเลส เพราะกิเลสกับเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราจะเขี่ยกิเลสออก เราจะแก้กิเลสได้ เราต้องทำให้เหนือ เคยนั่งภาวนา ๒ ชั่วโมง ก็ต้องนั่งให้ได้ ๓ ชั่วโมง ให้มันเหนือความรู้สึกเจ้าของ มันจึงจะเป็น "ธรรม" ขึ้นมา

ถ้าเราจะนั่งปฏิบัติแบบที่เราเคยนั่งมาแบบไหนก็ทำแบบนั้น มันก็อยู่ที่เก่าที่เดิม ใจมันไม่ถูกเปลี่ยน เมื่อมันไม่ถูกเปลี่ยน จะถึงอรรถถึงธรรมได้ยังไง ความเพียรไม่ถึง อย่างบางคนนั่งภาวนา ๓๐ นาที มันก็อยู่แค่ ๓๐ นาที เท่านั้นล่ะ ให้มันฝืนขึ้นไปเรื่อย ๆ อันไหนที่กิเลสชอบ ธรรมไม่ชอบ ที่ธรรมชอบ กิเลสไม่ชอบ อย่างนี้จึงจะเป็น "ธรรม"

เพราะใจเรายังไม่เป็นอรรถเป็นธรรม เราจะเชื่อใจเราไม่ได้ คนไหนเชื่อเจ้าของเท่ากับเชื่อกิเลส คนไหนฝืนความรู้สึก ถ้ากิเลสไม่ชอบนั่งสมาธิเราต้องนั่ง ให้มันฝืนไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ฝืนก็จะจมอยู่อย่างนี้ ถ้าปฏิบัติกิเลสไม่สะเทือน จะให้มันออกจากใจมันก็ไม่ออก เพราะฉะนั้น คนที่จะปฏิบัติจนออกจากวงล้อมนี้ไปได้ ต้องเหมือนกับคนกัดเพชรขาด เราจึงจะเข้าใจวิธีการแก้กิเลส ถ้าไม่อย่างนั้น ก็อยู่ในวงล้อมกิเลส มันไสหัวให้ปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติ มันให้เลิกนั่งเราก็เลิก ถ้าอย่างนี้มันก็ติดอยู่ในวงล้อมของกิเลส ให้กิเลสเป็นตัวบ่งชี้ เราปฏิบัติมาได้เท่าไร กี่วันกี่เดือนกี่ปีก็เท่าเดิม

เราไปอ่านประวัติครูบาอาจารย์ดูสิ ข้างนอกแม้กิริยาอาการของท่านจะเรียบร้อย แต่ภายในท่านเข้มแข็ง ไม่เข้มแข็งเอากิเลสไม่อยู่ เด็ดกิเลสไม่ขาด สิ่งไหนที่เราแพ้มันง่าย ๆ หลงกลมันได้เร็วที่สุด มันก็เอาอันนั้นล่ะมาล่อ เอ้า พอละนะ เดี๋ยวจะตายละนะ เอาสิ่งนี้มาล่อ ปฏิบัติไปอย่ากลัวตาย ไม่อย่างนั้นเราต้องมาตายซ้ำ ๆ ซาก ๆ อีก ผู้ไม่กลัวตาย จะไม่กลับมาตายอีก เพราะเอาความตายออกจากใจไปแล้ว ผู้ปฏิบัติที่เอาทุกข์ออกจากใจแล้วก็จะไม่กลับมาทุกข์อีก

พระอาจารย์โสภา สมโณ
วัดแสงธรรมวังเขาเขียว จ.นครราชสีมา
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๙











ชีวิตของเรานี้ หากจะหาเครื่องเปรียบเทียบก็ให้เทียบกับใบไม้ก็ได้ เริ่มแต่กระจอกระจีปลายกิ่งปลายก้าน จากนั้นผลิสีเขียว กาบใบ ใบเขียว โตเต็มที่ แก่ แล้วก็เหลืองแดง ที่สุดก็ร่วงหล่นลงสู่ดิน
.
สัตว์ผู้เกิดมาย่อมตกหล่นดับตาย ตายแล้วไปสู่ปรโลก คือ โลกหน้า ด้วยบุญบ้าง ด้วยบาปบ้าง
.
ในการเดินทางต้องมีเสบียง ต้องตระเตรียมอุปกรณ์สัมภาระเครื่องใช้เครื่องเสบียงอยู่กิน เพื่อความสะดวกปลอดภัย เหมือนกับการที่เราจะเดินทางไปที่นั้นที่นี่ ก็ต้องเตรียมสัมภาระไว้อีกมากมายนัก แต่การเดินทางในโลกนี้มีสิ้นสุดจุดหมายปลายทาง ไม่ยาวไกลส่วนการเดินทาง หนทางในวัฏฏะยาวนานและเกินไกลยิ่งนัก
.
ผู้ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏนี้ลำบากกับเสบียงบุญนี้มาก จึงจำต้องรวบรวมไว้ให้มาก คือ ทำบุญกุศล ทำความสุขใจอิ่มใจ ทำความรู้ใจตนไว้ให้มากๆ คนเดินทางไกลขาดเสบียงก็ลำบาก คนเดินทางในสังสารวัฏขาดบุญกุศลก็ตกระกำลำบากในภพชาติต่างๆ ตกไปในกำเนิดต่างๆ อยู่ในภพแดนเกิด ๓ แดนกามโลก มนุษย์ สัตว์. เทวดา เทพเทวา. พรหมโลก พรหมทั้งหลาย
.
คนบุญน้อยมาเกิดก็ลำบาก ติดขัด ข้องคาไปหมด ทุกข์ยากแม้ไปเกิดเป็นสัตว์ ก็เป็นสัตว์ที่ลำบาก ดูแลเลี้ยงไม่ดี ถูกทรมานกักขังเพราะไม่มีเสบียงคือ บุญ หากเมื่อรู้ตัวว่าตัวยังจะว่ายวนอยู่ในโลกนี้ ก็ให้ทำบุญ เพิ่มเติมธรรมะปัญญา ให้แน่นหนาพอกพูน ให้มากขึ้น และสำนึกอยู่เสมอๆ ว่า เรานี้ต้วยความลำบากในการเดินทางย่อมตกมาถึงอย่างแน่นอน
.
เพราะฉะนั้น จงทำที่พึ่งแก่ตน รีบพยายามเป็นคนดีแต่โดยเร็ว ย้อนกลับ ผันตัวให้ตรง สะสมวันละเล็กวันละน้อย อย่าให้จิตร่อยหรอ การเพิ่มพูนทีละน้อยย่อมเติมเต็มมากขึ้นได้ จึงว่าอย่าประมาทว่า
๑. ความสิ้นไปของบุญ
๒. ความเพิ่มพูนของบุญ
.
ถ้ารู้สึกเบื่อหน่ายนักแล้วในสังสารวัฏนี้ ก็ให้รีบขจัดมลทินในใจ สำรวจกิเลสในใจ กากมลทินในใจ
๑. ความมักโกรธ
๒. ความลบหลู่คุณท่าน การไม่รู้คุณของท่าน
๓. ริษยา
๔. ตระหนี่
๕. มายา
๖. มักอวด
๗. พูดปด
๘. มิจฉาลามก
๙. มิจฉาทิฏฐิ
.
มลทินใจเหล่านี้มีอยู่ในใจตนมากน้อยเพียงใด เมื่อรู้ว่ามีก็ให้ละหักทิ้ง ให้ทำลาย ทุกชีวิตถูกชรานำไป ถึงวัยชราแล้ว เตรียมพร้อมที่จะตาย ตายแล้วจะไปด้วยกับอะไรบุญหรือบาป ช่วงระหว่างภพไม่มี ที่พักระหว่างภพไม่มี จะเตรียมอะไรบ้างก็เดี๋ยวนี้เท่านั้น จะให้ทาน จะรักษาศีล จะทำสมาธิจิตภาวนา ก็รีบให้ทัน พอถึงเวลาก็ไปได้อย่างสบายใจ ตัดกังวลใดๆ หลับตาพร้อมที่จะตาย
.
เมื่อได้เสบียงแล้ว พอแล้วก็ให้พากเพียร กำจัดมลทินของตนในตนทีละน้อย ทุกขณะโดยลำดับ กำจัดให้ได้ทุกวัน และบ่อยๆ ซ้ำๆ ย้ำๆ ทุกอิริยาบถ ทุกลมหายใจเอาความดีใส่ตัว กำจัดชั่วออกจากใจ เป็นกำไรของชีวิต เมื่อคนทำดีได้มาก ก็เข้าใกล้พระนิพพานได้เท่านั้น
.
หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ












พิจารณากายเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา

ทีนี้ลักษณะของจิตที่รู้ของสมถกรรมฐานนั้นอย่างไร รู้ในขั้นวิปัสสนากรรมฐานนั้นอย่างไร

ถ้าจิตมองเห็นกระดูก แล้วก็ยึดเอากระดูกเป็นนิมิต มองจดจ้องดูอยู่อย่างนั้นไม่มีอาการเปลี่ยนแปลง อันนี้เป็นความรู้ขั้นสมถกรรมฐาน

ถ้าหากว่าจิตสามารถที่จะปฏิวัติไปสู่ความรู้พิสดารยิ่งไปกว่านั้น สามารถกำหนดกระดูกที่รู้เห็นนั้นให้เล็กลง หรือให้ใหญ่ขึ้น หรือให้มีอันสลายตัวไป หรือให้มีอันเป็นไปในแง่ว่า เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ แล้วจิตเกิดความสำคัญมั่นหมายว่า แม้แต่กระดูกก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ แม้แต่ความรู้ก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ มันไม่จีรังยั่งยืน รู้แล้วก็หายไป เห็นแล้วก็หายไป ประเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาให้รู้ให้เห็นได้อีก กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น

ถ้าจิตดูความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ท่านเรียกว่า "ปฏิภาคนิมิต"

ในเมื่อเกิดปฏิภาคนิมิต จิตก็ใกล้ต่อความที่จะก้าวขึ้นไปสู่ภูมิวิปัสสนากรรมฐาน เพราะจิตกำหนดความเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าหากว่าจิตรู้ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่รู้เห็นนั้น
อนิจจสัญญายังไม่เกิดขึ้นภายในจิต
ก็ยังเป็นภูมิสมถะกรรมฐานอยู่นั่นเอง

แต่ถ้าจิตปฏิวัติไปสู่ความเปลี่ยนแปลงความไม่ยั่งยืน ความไม่คงที่ จิตก็ปฏิวัติตนไปสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา แต่ยังไม่ใช่วิปัสสนาที่แท้จริง เพราะจิตยังไม่ยอมรับ

เมื่อจิตยอมรับว่าสิ่งที่รู้เห็นนี้ มันมีความเปลี่ยนแปลง ยักย้ายอยู่เสมอ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

แล้วก็มีความรู้สึกซึ้งลงไปในจิต แล้วก็ยอมรับความเป็นเช่นนั้นว่าเป็นจริง จึงตัดสินด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาจริงๆ แล้วก็ยอมรับสภาพความเป็นจริง ในตอนนี้จิตก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาอันนี้หมายถึงวิปัสสนากรรมฐานซึ่งเอาวัตถุเป็นเครื่องหมายแห่งการรู้การเห็น

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย











เราฝึกสติ. เพื่อจะได้จอดรถชีวิต. ลงมาดู. ว่าอะไรเป็นอะไร

โอวาทธรรม
พระอาจารย์ฌอน ชยสาโร











ถ้าเราลอยตามกระแส. เราจะไม่เห็นกระแส. แต่ถ้าเราทวนกระแส. เราจะเห็นว่ากระแสมันแรงขนาดไหน

โอวาทธรรม
พระอาจารย์ฌอน ชยสาโร









ชีวิตประจำวันเหมือนทะเลปั่นป่วนมีคลื่นใหญ่

อย่าไปคิดว่าจะรอให้คลื่นหมดจึงจะปฏิบัติ มันไม่หมดหรอก เป็นธรรมชาติของทะเลที่จะเป็นอย่างนั้น ผู้มีเรือดีๆ ชีวิตย่อมไม่ล่ม

นักปราชญ์จึงตั้งอกตั้งใจระงับสิ่งที่ไม่ดีไม่งามที่เกิดขึ้น แล้วป้องกันสิ่งที่ไม่ดีไม่งามที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น เพียรสร้างสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็พยายามสนับสนุนบำรุงเลี้ยงให้เจริญงอกงาม

#ทำให้ดีที่สุดแล้วปล่อยวาง
#ผลเป็นเรื่องของธรรมชาติ
#ไม่ใช่เรื่องของเรา

คัดตัดตอนจากเรื่อง เส้นทา
โอวาทธรรม พระอาจารย์ชยสาโร











..#การทำบุญก็ดี #ต้องไม่ให้เกิดทุกข์ #และไม่ให้คนอื่นทุกข์ด้วย

การทำความดี ถ้าทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ก็อย่าให้ไปเบียดเบียนตนและคนอื่นเขา พูดคุยกัน ก็อย่าให้ไปเบียดเบียนตนและบุคคลอื่น

คิดอะไร ก็อย่าให้ไปเบียดเบียนตนและคนอื่น คือ “ทำ” ไม่ให้เดือดร้อนคนอื่น “พูด” ไม่ให้เดือดร้อนคนอื่นนั่นเอง

..#คนอื่นไม่เดือดร้อนเราก็ไม่เดือดร้อน

เพราะเราทำถูก พูดถูก คิดถูก เราคิดไม่ให้คนอื่นเดือดร้อน เราก็ไม่เดือดร้อนเหมือนกัน เขาเรียกผลสะท้อนย้อนมาให้ไม่มีความเดือดร้อน จึงเรียกว่า การงานปราศจากโทษ ทำด้วยกาย พูดด้วยวาจา คิดด้วยใจ การงานไม่มีโทษ

#เราทุกคนก็ควรพากันปฏิบัติตนเองเพื่อความสุข..

โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO