นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 28 มี.ค. 2024 4:44 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ธรรมแท้อยู่ที่สติ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 04 ก.พ. 2020 5:48 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
เรื่อง "สาตกีเทพธิดา ผู้ถวายดอกบวบขม"

“พูดถึงอานิสงส์การถวายดอกไม้บูชาด้วยศรัทธาแท้ ดังตัวอย่างท่านหนึ่งคือ ท่านสาตกีเทพธิดา “สาตกี” แปลว่า “ดอกบวบขม” เทพธิดาองค์นี้ทำบุญด้วยดอกบวบขม ท่านพระโมคคัลลาน์ท่านเจริญพระกรรมฐานในตอนกลางคืน ท่านใช้กำลังฤทธิ์ของท่านไปเที่ยวชมสวรรค์ ไปเห็นวิมานของท่านสาตกีเทพธิดาเข้าก็แปลกใจเพราะเมื่อคืนที่แล้วไม่มีวิมานนี้ จึงเข้าไปใกล้ถามท่านเจ้าของวิมานว่า
“เธอเพิ่งตายจากความเป็นคนขึ้นมาเกิดเป็นนางฟ้าหรือ” ท่านก็ตอบว่า “เช่นนั้นเจ้าค่ะ”

และท่านพระโมคคัลลาน์ก็ถามต่อไปว่า “เธอทำบุญอะไรจึงมีวิมานทองคำ เครื่องประดับวิมาน เครื่องประดับกาย มีสีเหลืองเป็นทองคำทั้งหมด ท่านก็ตอบว่า “สมัยเป็นมนุษย์เป็นคนยากจนมาก มีอาชีพตัดฟืนขาย เช้าตื่นขึ้นมากินข้าวเสร็จก็เข้าป่าไปตัดฟืนด้วยกำลังกายก็ไม่ได้มากนัก ตอนเย็นหอบฟืนกลับมาเอาไปขาย ได้เงินบ้างก็ซื้ออาหารไว้กินในวันรุ่งขึ้น เรียกว่าทำมื้อกินมื้อ ทำอย่างนี้ทุกวันตลอดมาเป็นปกติ ไม่มีโอกาสที่จะไปทำบุญ ไม่เคยทำบุญสุนทาน พระจะมาบิณฑบาตหรือมาบอกบุญบอกทานก็ไม่มีโอกาสได้พบ ไม่ใช่ไม่ศรัทธาแต่ไม่มีเวลาจะทำบุญเพราะความยากจน วันสุดท้ายก่อนที่จะตาย ตอนเช้าเข้าป่าจะไปตัดฟืนตามปกติ เห็นดอกบวบขมเข้าก็คิดว่า ดอกบวบขมมีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ ก็นึกถึงพระขึ้นมาตั้งใจว่าตอนเย็นกลับบ้านวันนี้จะตัดดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ ใกล้ๆ บ้าน อย่างนี้จัดว่าเป็นสังฆานุสติสติกรรมฐาน

พอตกเย็นขากลับบ้านแบกฟืนออกมาพอถึงที่ตรงนั้นก็วางฟืนลง ไปตัดดอกบวบขม มือหนึ่งแบกฟืน อีกมือหนึ่งถือดอกบวบขม เมื่อขายฟืนเสร็จพอกลับถึงบ้านก็หุงข้าวกิน แล้วอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็นำดอกบวบขมตั้งใจจะเอาไปบูชาเจดีย์ที่บรรจุกระดูกพระอรหันต์ แต่ไปไม่ทันถึง ระหว่างทางที่เดินไปนั้นปรากฏว่านางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดล้มลงถึงแก่ความตายก่อนที่จะตาย จิตใจก็นึกถึงว่าเราตั้งใจจะเอาดอกบวบขมไปถวายบูชากระดูกพระอรหันต์ (จัดว่าเป็นสังฆานุสติสติกรรมฐาน) พอตายจากที่ตรงนั้นจิตก็ออกจากร่างมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช มีนางฟ้าหนึ่งพัน เป็นบริวาร มีวิมานสีเหลือง เครื่องประดับวิมาน เครื่องประดับกายที่เป็นทิพย์ มีสีเหลืองเป็นทองคำทั้งหมด เพราะก่อนจะตายปรารภสีเหลือง คือดอกบวบขมมีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านโปรดเข้าใจว่า ถ้าต้องการความสุขจริงๆ เมื่อตายแล้ว ก็ให้ท่านยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีทานการบริจาค มีการรักษาศีล และมีอารมณ์ยึดอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ ทานก็ได้ ศีลก็ได้ ภาวนาก็ได้ หรือยึดพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือยึดพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือยึดวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ นึกถึงวัดก็ใช้ได้ ให้มีความมั่นใจจริงๆ ยอมรับนับถือจริงๆ อย่างนี้ตายเมื่อไร ทุกท่านก็ได้รับผลมีความสุขอย่างท่านสาตกีเทพธิดาแน่นอน ถึงแม้ว่าบางคนตอนต้นจะย่อหย่อนมาก่อนก็ตาม แต่ถ้าเวลาจะตายมีกำลังใจเข้มข้น ก็จะไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปพระนิพพานตรงโดยไม่ต้องผ่านสำนักท่านพระยายมราช”

โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
วัดท่าซุง








เรื่อง "นอนด้วยกำลังสมาธิ จิตพักผ่อนเต็มที่"

การเจริญพระกรรมฐานจริงๆ ถ้านั่งทำไม่ไหว ก็นอนทำสบายๆ ยังไม่ง่วงนอนมากเกินไปก็นั่ง นั่งมากเกินไปก็ไม่ดีต้องเดิน เดินจงกรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรรมฐานกองใดได้จากการเดินจงกรม กรรมฐานกองนั้นไม่มีการเสื่อม ไม่เสื่อมแน่นอน ขอยืนยัน พระพุทธโฆษาจารย์ ท่านรจนาในวิสุทธิมรรค ท่านยืนยันไว้ และก็ลองทำก็จริงตามนั้น ฉะนั้นกรรมฐานทุกกองที่ได้มาต้องผสมจงกรมหมด ถ้าจงกรมแล้วรู้สึกภาพมันดีมาก จับเป็นอนุสสติกรรมฐานชัดเจนมาก บางทีเดินเผลอๆไป เดินตั้งแต่ ๒ ทุ่ม นาฬิกาตีเป๊ง ตีหนึ่ง อ้าว ไม่ต้องนอนกันล่ะ มันจะไม่นอนซี เวลานอนต้องเป็นเวลา แต่ว่าชาวบ้านจะเอาอย่างพระไม่ได้นะ ต้องทำมาหากิน เรื่องเวลานี่ต้องเหมาะสม อย่างนั้นไม่เครียด ถ้าเป็นอย่างนั้น กลางวันเราก็นอน ถ้านอนด้วยกำลังของสมาธิคุมตัวจับลมหายใจเข้าออก ภาวนาอะไรก็ตามเถอะ นอนแค่ชั่วโมงเดียวมันจะคุ้มเลย เพราะจิตพักผ่อนเต็มที่"

โอวาทธรรม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ










"ครูบาอาจารย์ภาวนาแทบล้มแทบตาย พวกเรานี่ภาวนานิดหน่อยก็หนีไปนอน กลัวเจ็บ กลัวปวด กลัวทุกข์ ทุกข์สิดี ทุกข์แล้วจึงจะเห็นธรรม.."

หลวงปู่อ้ม สุขกาโม
วัดป่าภูผาผึ้ง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร










#ธรรมะ_หรือ_ธัมโม

"ต้องเรียนเอามาจากธรรมชาติ เห็น
ความเกิด ความแปรปรวนของสังขาร
ประกอบด้วยไตรลักษณ์ เป็นนักปฏิบัติกรรมฐานอย่าเชื่อหมอมากนัก ให้เชื่อ
ธรรม เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมจึงจะดี ธรรมะทั้งหมดชี้เข้าที่กายกับจิต เพราะ
กายกับจิตนั่นแหละเป็นคัมภีร์เดิม เป็น
คัมภีร์ธรรมที่แท้จริง ภูเขา ทะเล สายน้ำ
แผ่นดิน แผ่นฟ้า เห็นไปดูไปก็ไม่มีความหมาย ให้เห็นแต่ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์
มรณทุกข์ เท่านั้นแล..”

#พระครูวินัยธร [มั่น ภูริทตฺโต]​
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
[พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒]











"เที่ยววิ่งขอธรรมะ แต่ไม่ยอมปฏิบัติ เดี๋ยวน้ำ เดี๋ยวแห้ง ไม่เอาจริงสักที ระวังเน้อ!!!!
สะสมธรรมะมากไม่ดี พุงจะแตกเอง ต้องนำออกมาระบาย แยกเหตุแยกผล เรียกว่าวิปัสนา ธรรมะนั้นไม่มีใครเขาให้มากหรอก มันจะฟุ้งซ่าน"

...หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร วัดประชาชุมพล จ.อุดรธานี









ทุกครั้งที่เราทำความชั่ว
เรากลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการสร้างโลกที่ชั่ว
ทุกครั้งที่เราทำความดี
เรากลายเป็นผู้มีส่วนในการสร้างโลกที่ดี
ไม่มีใครสร้างโลกนี้ให้เรามาอยู่อาศัย เราสร้างกันเอง

พระอาจารย์ขยสาโร









...ถาม : ที่หลวงพ่อยังเมตตา
สอนอยู่ทุกวันนี้
ถึงเเม้ว่าอาจจะเบื่อหรือไม่อยากสอน
แต่เป็นเพราะว่า พระพุทธเจ้า
ท่านสั่งมาให้สอนหรือเจ้าคะ

...พระอาจารย์ : อ๋อ ไม่หรอก
มันเป็นปกติของผู้มีความรู้
ของผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของความรู้นี้
ว่าจะสามารถช่วยเพื่อนมนุษย์
ให้ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้

...เป็นเรื่องของความเมตตา
ของจิตใจที่บริสุทธิ์ที่สะอาดนี้
จะไม่ปรารถนาอะไรจากใคร
ตนเองก็พอแล้ว ตนเองก็อิ่มแล้ว
ก็อยากจะให้คนอื่น
“ได้อิ่มได้พอเหมือนกับเรา”

...เหมือนกับเรากินอาหาร
เราเห็นขอทานมานี้ เราก็สงสารใช่ไหม
เราก็อยากจะแบ่งให้เขากิน
เพื่อให้เขาได้อิ่มเหมือนเรา
“มันเป็นธรรมชาติของจิตใจคน “
ไม่มีใครสั่งหรอก .
.......................................
.
ตอบปัญหาคาใจ เล่ม8(ต้นเล่ม)
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี









แก่นของธรรมแท้อยู่ที่สติ ให้พากันหัดทำสติให้ดี ให้สำเหนียก ให้แก่กล้า
สตินะทำเท่าไรก็ไม่ผิด
เมื่อมีกำลังสติดีแล้วจิตมันจึงรวม
เพราะสติก็แม่น (คือ) จิตนั่นแหละ
เพราะเหตุนั้นพวกเราต้องอบรมสติ
ครั้นมีสติแก่กล้า ทำให้มันดีแล้ว ไม่พลาด ทำก็ไม่พลาด พูดก็ไม่พลาด
คิดก็ไม่พลาด

หลวงปู่ขาว อนาลโย








สิ่งมีชีวิต เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง จึงไม่ควรเบียดเบียนและทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป อันเป็นการทำลายคุณค่าของกันและกัน เป็นบาปกรรมแก่ผู้ทำ

หลวงปู่มั่น​ ภูริทัตโต









"เราทุกคน มีบาปกันทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย
จงสะดุ้งหวาดกลัวต่อบาป ต่อกรรม ต่อเวร
และระมัดระวัง ไม่ให้บาปเกิดขึ้นในใจ

เช่น ระวังไม่ให้เกิดความโลภ
ยินดีเท่าที่มีอยู่ เท่าที่หาได้
ไม่ผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นไฟ
เผาจิตใจให้ร้อน ทั้งวันและคืน

ให้อโหสิกรรมเสีย ยกโทษ
โทษก็จะหมดไป เพราะว่าไม่ถือมั่น
ในความโกรธ ความพยาบาท"

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ










“เราช่วยเขา ก็อย่าไปคิดว่า
เขาจะตอบแทนบุญคุณของเรา
อย่าไปคิดว่า เขาจะมาภักดีกับเรา
หลายคนมีความทุกข์ เพราะคาดหวังว่า
เขาจะต้องสำนึกในบุญคุณของเรา
เขาจะต้องดีกับเรา

พอเขาไม่ดีกับเรา หรือเพราะเขาอาจสำนึกบุญคุณ
แต่ไม่มาก อย่างที่เราต้องการ เราก็มีความทุกข์
รู้สึกว่า ทำไมเขาไม่ตอบแทนบุญคุณของเราเลย

ให้เงินเขาไป หรือให้ยืมเงินแล้วเขาก็ไม่สนใจ
ที่จะมาตอบแทนบุญคุณของเรา หรือไม่ดีกับเรา
ก็เลยเกิดความบาดหมาง เกิดความคับแค้นใจ
กลายเป็นว่า ทำความดี หรือแม้ช่วยเขาแล้ว
เกิดความทุกข์ใจในภายหลัง อันนี้เพราะ
ไปคาดหวังให้เขาทำดีกับเรา ให้เขาภักดีกับเรา

แต่ถ้าเราลองมานึก เออ.. เขาก็เหมือนกับแมวนะ
เราให้อาหาร เขากินอาหารแล้ว เขาก็ไป
ไม่รู้สึกภักดีอะไรกับเรา ถ้าเราช่วยคนเหมือนกับเรา
เลี้ยงแมว ไม่ได้หวังความภักดีจากเขา พอได้รับ
การช่วยเหลือหมดทุกข์ หายหิวแล้วเขาก็ไป

นี่การเลี้ยงแมว ก็สามารถจะสอนเราได้เหมือนกัน
สอนให้เราทำดีกับผู้อื่น ด้วยการวางใจเหมือนกับ
เลี้ยงแมว”

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล











บางท่านกล่าวว่าเราลงมือทำดีจะตายแต่ได้รับผลไม่คุ้มค่า ข้อนี้ขอแซงว่าเราได้ระลึกถึงใจเราที่ได้ทำมาแล้ว นึกมาแล้ว ทุกขณะจิตหรือไม่
บางรายในอดีตเรานึกอิจฉาริษยาเขาด้วยใจล้วนๆ ก็มี ได้เปล่งวาจาออกมาบ้างก็มี แต่กายยังไม่ได้ลงมือทำก็ตาม ผลของการนึกอิจฉาริษยาเขา ก็สามารถตามมาหาเราได้ ผลที่วาจากล่าวอิจฉาเขาก็ดี ก็สามารถมาตัดรอนเราได้เป็นยุคๆ เป็นสมัยๆ
ผลของความชั่ว เหตุความชั่วที่เราได้ปลูกพืชไว้ในดวงใจ คือกิเลสในชาตินี้และชาติก่อนตั้งล้านๆ ล้านๆ ชาติที่ล่วงมาแล้ว มันไม่จบไม่เกษียณได้โดยง่ายเหมือนคดีดำคดีแดงในโรงในศาลภายนอก

ธรรมดาคนเรา ไม่ว่าผู้เขียนอยู่เดี๋ยวนี้ก็ดี ผู้อ่านผู้ฟังอยู่เดี๋ยวนี้ก็ดี โดยมากแล้วมักจะไม่ทวนดูใจของตนเป็นส่วนมาก ใจท่านผู้อื่นเหลวไหลกว่าตนทั้งนั้น
โทษท่านผู้อื่นเห็นง่าย ฝ่ายตนเห็นยาก หาโขนสวมหัวตนเองหาได้ง่าย สวมให้ท่านผู้อื่นนั้นไม่อยากจะสวมให้โดยง่ายเพราะเกรงเสียเปรียบ เพราะมีกิเลสเป็นเจ้าใหญ่นายโต เป็นนายคุมนักโทษอยู่ในหัวใจ หรือรอบเมืองใจ เส้นผมบังภูเขาก็ว่า ขนตาบังแผ่นดินก็เรียก...

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต









บุญ...นั้นเป็นแก้วสารพัดนึก
ความทุกข์บางอย่าง
ถ้าไม่มีบุญแล้ว ช่วยไม่ได้จริงๆ

หลวงปู่หลุย จันทสาโร








#หัดเป็นพระโสดาบัน

เราจะทำอะไร จะพูดอะไร จะคิดอะไร พยายามอย่าให้มันมีความรู้สึกลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์และคน อื่น มานะความถือตนถือตัวนี่ ภูมิของอรหัตมรรค เป็นตัวตัดขาด มานะความถือตนถือตัวมันเป็นกิเลสละเอียด พอสมควร พระอนาคามีก็ละไม่ขาด โน่น! ต้องภูมิอรหัตมรรคจึงละได้ขาด พยายามหัดเป็นพระโสดาบัน

โส-ตะ-ปัน-นะ แปลว่าผู้ถึงซึ่งการฟัง ใครพูดดีฉันก็ฟังได้ พูดเสียฉันก็ฟังได้ แต่ฉันจะเอาหรือไม่เอาเป็นหน้าที่ของฉันจะพิจารณาโดยเหตุผล

โส-ตะ แปลว่า ผู้ฟัง ปัน-นะ แปลว่า ถึงแล้ว ซึ่ง การฟัง รวมความว่า ผู้รับฟัง ไปตรงกับมารยาทของสังคมว่า เคารพมติของผู้พูด

ท่านอาจารย์วัน เพื่อนหลวงพ่อ ลูกศิษย์ท่านวิพากษ์วิจารณ์กรรมฐานคณะนั้นกรรมฐานคณะนี้ ท่านนั่งฟังเฉย พอท่านจะพูด ท่านก็ว่า

"ทัศนะของเขาเป็นอย่างนั้น ความเห็นของเขาเป็นอย่างนั้น อย่าไปขัดคอเขา"

นี่แสดงว่าท่านผู้นี้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ถ้าใครพูดมาไม่ถูกหูเรา เราเถียงคอเป็นเอ็น นั่นยังใช้ไม่ได้

เกร็ดธรรมจากหลวงปู่พุธ ฐานิโย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO