นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 12:39 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 23 ม.ค. 2020 9:09 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
บุญก็หาบ​ บาปก็หิ้ว...หมายถึง​ บุญกุศลต้องแบกเยอะๆ​ แต่บาปในอดีตก็ไม่ต้องทิ้ง..เอาไว้เตือน​สติตัวเอง ไม่งั้นติดดี​ จนเตลิดเตลย ไม่มีปัญญา ไม่รู้ผิดรู้ถูก...

หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตฺโต
วัดป่าเวฬุวันอรัญญวาสี อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี







"...จำไว้นะลูกหลาน ไม่มีใครผูกมัดเราให้ติดอยู่ในกองปฏิกูล #นอกจากตัวเราเองที่มัดตัวเรา..."

โอวาทธรรม
หลวงปู่แบน ธนากโร










...การมาวัดก็มีอยู่ ๒ ลักษณะด้วยกันคือ
๑. มาด้วยกำลังของตนเอง ไม่ต้องให้ใครชวนมา
๒. มาเพราะมีคนอื่นชวนมา

คนที่มาวัดโดยไม่ต้องให้ใครชวน
ก็เป็นเหมือนเรือที่มีเครื่องยนต์ สามารถวิ่งไปเองได้
ส่วนคนที่ต้องให้คนอื่นชวนมา ก็เป็นเหมือนเรือพ่วง
ถ้าไม่มีเรือยนต์ลากมา ก็มาไม่ได้

เพราะบำเพ็ญบุญบารมีมาไม่เท่ากัน
ถ้าได้บำเพ็ญมาก ก็จะมีพลังทำความดีมาก
เช่นทำบุญให้ทานรักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม
ปฏิบัติธรรม ไม่ต้องให้คนอื่นชักจูง ทำได้เอง

ส่วนพวกที่ยังทำเองไม่ได้ ก็ต้องอาศัยผู้อื่นชักชวนก่อน
จึงเป็นเหมือนเรือพ่วง.
...........................................
.
คัดลอกกำลังใจ39 กัณฑ์351
ธรรมะบนเขา 15/7/2550
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี












#จงเห็นทุกข์_รู้ทุกข์
#แต่อย่าเป็นทุกข์

"อย่ามีความหลงใหลใฝ่ฝันในชีวิต
จงอย่าคิดว่า เราไม่ตายเราไม่แก่
ให้คิดถึงอริยสัจเสียก่อนเป็นอันดับแรก
โดยเฉพาะทุกขสัจ

พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่ว่าสอนใครทั้งหมด
เมื่อขึ้น สุดท้ายท่านก็ลงอริยสัจ
คิดให้เข้าใจเพียงแค่ทุกขสัจอย่างเดียว
ให้เข้าใจจริงๆ ถ้าเห็นทุกข์ตัวเดียว
อีก 3 ตัวปรากฏ

คำว่าสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ในเมื่อเรารู้ทุกข์ เราก็รู้ว่าใครทำให้เราทุกข์
อะไรทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่ต้องไปนั่งคิด
ถ้าเราเห็นทุกข์และเข้าใจในทุกข์แล้ว
ก็มีความเบื่อหน่ายในทุกข์ เพราะการเกิด
นิโรธความดับมันก็เกิด เมื่อนิโรธความดับ
เกิดขึ้นมาแล้วก็ชื่อว่า ถึงที่สุดแห่งพุทธศาสนา
คือ ความเข้าใจถึงที่สุดที่พระพุทธเจ้าทรงสอน"

#ธรรมโอวาทหลวงพ่อจง_วัดหน้าต่างนอก











“สำคัญอยู่ที่ตัวสตินี่นะ ที่ควบคุมถ้าสติไม่สมบูรณ์ไม่แก่กล้าแล้ว จิตจะไม่ยอมรับเมื่อจิตมันไม่ยอมรับ จะสอนสักแค่ไหนก็ตาม แนะนำสักแค่ไหนก็ตาม จิตของเรานี้ไม่มีทางจะวางต่ออารมณ์ได้ เพราะฉะนั้น คนที่ฆ่าตัวเองตายก็เพราะวางอารมณ์ไม่ได้ อำนาจของเหตุการณ์มันแรงกว่า จึงลอยคอล๊อกแล๊ก ๆ อยู่ในเหตุการณ์ นอนไม่หลับ หาวิธีแก้ไขอย่างไรก็ไม่หลับ ผลที่สุดก็ยอมตายถึงขนาดตายก็มี ถึงขนาดบ้าก็มีเพราะไม่มีความสามารถต่อต้านกับจิตใจของเราไม่ให้ต่ออารมณ์สัญญาได้

เมื่อพวกเราได้กำลังตัวสติขึ้นมาแล้ว ง่ายดายสั่งให้หยุด ก็ต้องหยุดหาเหตุผลด้วยกำลังของอริยมัคคุเทศก์ หรือปัญญา สามารถหาเหตุผลได้อย่างง่ายดาย เพราะอันนี้มันกฎธรรมดาของโลก เมื่อเราสามมารถชนะจิตของเราไม่ให้ต่ออารมณ์สัญญาได้ อันนี้เราก็สามารถอุทานว่าชิตังเมเราผู้ชนะ คือชนะจิตของเราได้...”

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย











#สตินั้นเราฝึกได้ทุกอริยบถ

"ยืน เดิน นั่ง นอน ฝึก
ได้ทั้งหมด​ อย่าไปเลือก
กาลเวลา ถ้าเป็นผู้เลือก
กาลนั้นกาลนี้ จึงจะภาวนา
ฝึกสติ จะเป็นผู้ประมาทไป"

#ผู้ประมาทนี้

"ท่านว่าคือผู้ที่ตายแล้ว
คือ ตายจากคุณงามความดี
ที่จะพึงได้พึงถึงก็ไม่ได้
ปล่อยกาลเวลาล่วงไป
โดยเปล่าประโยชน์.."

#หลวงปู่ขาว_อนาลโย









"อย่าไปยินดี ยินร้าย ในการอยู่ การเป็น การตาย สังขารทั้งหลาย ไม่ว่า เนื้อ เล็บ หนัง กระดูก ผม ขน เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น มันไม่ใช่ตัวตน ไม่เป็นสิ่งอมตะ รอถึงวันแค่นั้นแหละ จะวันไหนก็แค่นั้นเอง ละวางซะ"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ









การทำบุญนั้น ตามหลักพระพุทธศาสนา
ไม่ให้ทำมาก ให้ทำแต่น้อย ต้องแบ่งทรัพย์ให้เป็น 4 ส่วน

ส่วนหนึ่งเอาไว้เป็นทุน

ส่วนหนึ่งเอาไว้ซื้ออยู่ซื้อกิน

ส่วนหนึ่งเอาไว้ซื้อหยูกซื้อยาเวลาเจ็บป่วย

ส่วนหนึ่งเอาทำบุญ ให้แบ่งทำบุญเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีก 3 ส่วนเอาไว้ดูแลตนเอง

พระองค์ทรงสอนเอาไว้อย่างนั้น

ทำไม่ต้องทำมาก บุญนี้ไม่ใช่เป็นของที่เศร้าหมอง ... บุญคือความสุข ทำแล้วต้องมีความสุขใจเอิบอิ่มใจ ปลื้มปิติยินดีในคุณงามความดีที่ตนเองได้กระทำนั้น เมื่อจิตใจเศร้าหมองขุ่นมัวยุ่งเหยิงอะไรต่างๆเกิดขึ้น เราก็ระลึกถึงบุญกุศลที่ตนเองได้ทำเอาไว้ มาเปลี่ยนอารมณ์ที่เศร้าหมองขุ่นมัวนั้นให้ดับไป มาเปลี่ยนอารมณ์ที่มีความสุขให้เกิดขึ้นมาแทน เรียกว่า “การทำบุญ..”

โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
2 มีนาคม 2556..












“…พระพุทธเจ้าออกบวชก็มุ่งที่จะชำระล้างกิเลสที่มีอยู่ในใจขององค์ท่านให้ออกไปให้หมด ท่านเห็นอะไร ไม่ว่าต้นไม้ ใบหญ้าหรือคน ท่านก็จะตีเข้ามาหาตัวเป็นธรรมเสมอว่า โลกนี้มันเป็นโลกที่ไม่เที่ยงนะ มีกฏของไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าบังคับบัญชาอยู่ตลอดเวลา แล้วมนุษย์เราแต่ละคน แต่ละคน ไม่ใช่ว่าอายุจะยืนยาวอะไรนักหนา แล้วก็บอกไม่ได้ด้วยว่า คนแก่จะต้องตายก่อนวัยเด็กเสมอไป
.
เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุทำให้เสียชีวิตลง เกิดโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียนทำให้ตายก่อนวัยอันควร ท่านจึงสอนว่าอย่าประมาทในคุณงามความดี อย่าคิดว่าทำน้อยนิดมันจะไม่ให้ผล เมื่อทำอยู่บ่อย ๆ มันก็จะติดเป็นนิสัย แล้วสิ่งเหล่านี้แหละที่จะชักนำเราให้พ้นทุกข์ไปภายในวันหนึ่งแน่นอน ”
.
โอวาทธรรมพระอารย์สุดใจ ทันตมโน
เมื่อวันที่ ๑๑ ต.ค. ๕๗ ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี












” อยู่ไปเพื่ออะไร ต้องการอะไร
ความสุขล่ะได้ไหม ไม่ได้เพราะไม่ทำเอาเอง
พระพุทธเจ้าท่านบอกวิธีไว้ตั้งหลายวิธี เราไม่ทำซะที
อยากรวย รวยรึยัง อายุก็มากแล้ว
หรือจะเอาสวย ใกล้สวยเป็นนางสาวจักรวาลรึยัง
มีแต่ไม้ท้าว 3 ขา 4 ขา น่าเกลียดขึ้นทุกวัน
พญามัจจุราชไม่เคยรอใคร
ความตายไม่เคยบอกว่าวันไหน
อย่าโอ้เอ้ โลเล เสียเวลาที่ได้เป็นคน
ไม่อบรมสร้างสมบารมี จะได้มรรคผลยังไง
เหมือนอยากกินข้าวไม่ปลูกข้าวจะได้กินยังไง
ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ชาตินี้อาจสำเร็จก็ได้
ให้ทำเสมอ ให้ทำเอา อย่าได้มีอกุศลในใจ
เหมือนสนิมกินเหล็ก
ให้ขูดขัดเกลา จนเหลือแต่เหล็กขาวๆ เหมือนจิตใจ
ขัดเกลาเข้าตามมุ่งมาดปรารถนา ก็จะขาวสะอาดได้
ให้รู้ว่าตัวเองยังจน ยังไม่พอ ยังน้อย ให้รีบทำให้รู้ ”

หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ










ธรรมอันไม่ตาย

"..ร่างกายอันนี้ เกิดเขาก็ไม่รู้ แก่เขาก็ไม่รู้แต่เขาหากแก่ทุกวัน ตายเขาก็ไม่รู้แต่เขาหากตายทุกวัน เขาหมดไปสิ้นไปก็คือตายทุกวันนั้นเอง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ธาตุเหล่านี้ เป็นธาตุไม่รู้ เราสมมุติเอาธาตุที่ไม่รู้เกิดมาเป็นธาตุที่ไม่รู้นี้ เอามาเป็นคนเป็นสัตว์ ของไม่รู้เรื่องเอามาสมมุติมันจะเป็นหรือ สมมุติยังไงมันก็ไม่รู้เรื่อง สมมุติยังไงมันก็ไม่เป็นอย่างที่สมมุติกัน

ทําไมจึงว่าไม่เป็นอย่างที่สมมุติ สมมุติว่าเป็นคน แต่เขาเป็นของเกิดมาตายทั้งนั้นใช่ไหม เขาตายของเขาโดยธรรมชาติ เกิดแล้วไม่ตายไม่มี สมมุติเอาของที่เกิดมาตายเป็นคน สมมุติแล้วจะให้เป็นอย่างสมมุติมันไม่ได้

จึงว่า ความเกิด ความแก่ ความตาย จึงเป็นธรรมที่เราจะต้องศึกษากันให้ยิ่ง พระพุทธเจ้าทรงรู้ธรรม ทรงรู้ความเกิด ความแก่ ความตาย ทรงรู้โลกธาตุนี้เป็นของเกิด ของแก่ ของตาย โลกธาตุไม่ใช่ใคร โลกธาตุไม่มีอะไรที่จะเป็นสาระเป็นแก่นสาร เกิดขึ้นแล้วมีแต่สลายตัวทั้งนั้น

แม้องค์พระพุทธเจ้าก็ทรงเกิดมาแล้วสลายตัวหาประมาณมิได้ จึงไม่มีอะไร ที่จะเป็นแก่นเป็นสารเป็นสาระกับการเกิดขึ้นมาแล้วก็ตายสลายลงไป โลกธาตุในเมื่อมันไม่มีอะไรเป็นสาระเป็นแก่นสาร ก็เรียกว่าไม่มีตัวไม่มีตน.."

(โอวาท หลวงปู่แบน)












จิตและลมของเรานี้มีอยู่ถึง๕ชั้น

ชั้นที่ ๑ ลมหยาบที่สุดก็ได้แก่ ลมที่เราหายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” อยู่ขณะนี้

ชั้นที่ ๒ ลมที่หายใจผ่านลำคอเข้าไปแล้วเชื่อมต่อกับธาตุ ต่างๆ ภายในเกิดความสบายหรือไม่สบาย

ชั้นที่ ๓ ลมหยุดนิ่งอยู่กับที่หมด ไม่วิ่งไปมา ทุกๆส่วนในร่างกายที่เคยวิ่งขึ้นบนลงล่างก็หยุดวิ่ง ที่เคยไปข้างหน้า มาข้างหลังก็ไม่ไปไม่มา ที่เคยพัดในลำไส้ก็ไม่พัด ฯลฯ หยุดนิ่งสงบหมด

ชั้นที่ ๔ ลมที่ทำให้เกิดความเย็นและเกิดแสง

ชั้นที่ ๕ ลมละเอียดสุขุมมากจนเป็นปรมาณู แทรกแซงไปได้ ทั่วโลก มีอำนาจ ความเร็วและแรงมาก

รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี้ก็อยู่อย่างละ ๕ ชั้น เหมือนๆ กัน เช่น เสียงหยาบ

ชั้นที่ ๑ ก็ได้แก่ เวลาพูดจบแล้วดับไป

ชั้นที่ ๒ พูดไปแล้วยังดังอยู่ถึง ๒-๓ นาที จึงจะดับ

ชั้นที่ ๓ อยู่ได้นานมากแล้วจึงหายไป

ชั้นที่ ๔ พูดแล้วถึงพรหมโลก ยมโลก

และชั้นที่ ๕ เป็นเสียงทิพย์ พูดแล้วได้ยินอยู่เสมอ พูด ๑๐๐ ครั้ง ก็มีอยู่ทั้ง ๑๐๐ ครั้ง เสียงไม่สูญไปจากโลก เพราะอำนาจแห่งความละเอียดจึงสามารถแทรกแซงได้อยู่ได้ทุกปรมาณูในอากาศ

ฉะนั้น ท่านจึงว่า รูป รส กลิ่น เสียง ไม่สูญไปจากโลก เพราะโลกนี้เปรียบเหมือนกับจานเสียงที่อัดเสียงอะไรๆ ไว้ได้ทุกอย่าง รูป รส กลิ่น เสียง หรือกรรมดี กรรมชั่วอันใด ก็ดีที่เรากระทำไว้ในโลก มันย่อมจะย้อนกลับมาหาเราเมื่อตายทั้งหมด

เหตุนั้น ท่านจึงว่า “บุญบาป” ไม่สูญหายไปไหน คงติดอยู่ในโลกนี้เสมอ จิตละเอียดที่สุด ซึ่งเปรียบเหมือน “ปรมาณู” นั้น มีอำนาจความแรงเหมือนกับดินระเบิดที่จมลงในพื้นแผ่นดิน แล้วก็สามารถระเบิดทำลายมนุษย์ให้ย่อยยับพินาศไปได้

ฉันใด จิตละเอียดที่จมลงในลมก็สามารถระเบิดคนสัตว์ให้พินาศย่อยยับเช่นเดียวกัน คือ เมื่อจิตละเอียดถึงที่สุดถึงขั้นนี้แล้ว ความรู้สึกในตัวตนของเราก็จะดับสิ้นไปไม่มีเหลือ จิตนั้นก็จะหมดความยึดถือในอัตภาพร่างกายตัวตนคนสัตว์ใดๆ ทั้งสิ้นจึงเหมือนกับ “ปรมาณู” ที่ทำลายสัตว์ ทั้งหลายฉันนั้น

ท่านพ่อลี ธัมธโร










"เมื่อเกิดแล้ว ทุกชีวิตมีทุกข์
ติดมาพร้อมแล้ว น่าสงสารทุกชีวิต
เราก็น่าสงสาร เขาก็น่าสงสาร
น่าสงสารทุกเวลานาที

พึงนึกถึงความจริงนี้
และมีเมตตาต่อทุกชีวิต ทุกเวลาเถิด
ความร้อนจะคลายได้ ด้วยอำนาจ
ของความเย็นแห่งเมตตา

ทั้งความร้อนของเขา
ความร้อนของเรา
และความร้อนของโลก"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ










อำนาจแห่งคุณงามความดีที่เราไม่คาดไม่ฝัน

“ในจังหวัดขอนแก่นนี้แหละ เขามาพูดให้ฟัง โห น่าฟังมากนะเรื่องนี้ จนเราสลดสังเวช เขาจะไปปล้นบ้านบ้านหนึ่ง กำลังจะไปปล้นบ้านหนึ่ง

พอไป คือปล้นนั้นได้นัดกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ควรเอาไว้ฆ่ามันหมดเลยนะในครอบครัวนี้

ปล้นด้วยความเคียดแค้นด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา เคียดแค้นด้วย จะไปปล้นด้วยฆ่ามันด้วยว่างั้น

เตรียมเรียบร้อยไป เดินไปตามทาง ไม่ทราบว่าหลวงปู่มั่นเรานี้มาจากไหนไม่รู้ผุดขึ้นตรงหน้าเลยเทียว ผุดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เป็นรูปเป็นร่างเหมือนคนเรานี่ ผุดขึ้นมาปึ๋งเลย

"นี่จะไปตกนรกหลุมไหนกันนี่" ว่างั้นนะ

พอว่างั้นก็ทิ้งปืนลงกราบ แล้วกลับเลยเทียวไม่ไป แล้วขอถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ละความชั่วตั้งแต่บัดนั้น

แล้วผู้ที่จะก่อกรรมก่อเวรกันขอให้เป็นมิตรเป็นสหายพึ่งเป็นพึ่งตายตั้งแต่บัดนี้ต่อไป เลยเลิกเลย นี่แหละอำนาจ
.
คนนั้นเขายังมีนิสัยนะ ถ้าไม่ยังงั้นหลวงปู่มั่นจะไม่ผุดขึ้นมา แล้วเขาจะไปทำความชั่วช้าลามกหนักอีกจมไปหมดทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ

แต่นี้ไปก็เผอิญไปเจอหลวงปู่มั่นไม่ทราบมาจากไหนแหละ ผุดขึ้นมาตรงนั้นยืนจังก้าอยู่ข้างหน้านี้เลย

"นี่จะไปตกนรกหลุมไหนกันนี่" ว่างั้นนะ

พูดแบบขู่เสียด้วยนะ พอมองเห็นปั๊บก็จำได้ว่าเป็นท่านอาจารย์มั่น ก็ทิ้งปืนเลยแล้วกราบราบ จากนั้นมาก็กลับเลย

แล้วเรากับเขาขอเป็นมิตรเป็นสหายกันเช่นนี้ต่อไปไม่ให้มีอะไรต่อกัน

นั่นแหละอำนาจแห่งคุณงามความดีเราไม่คาดไม่ฝันเป็นขึ้นมาได้ยังไง”

โอวาทธรรม
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน











#เมื่อเราเห็นอารมณ์ทุกอย่างเป็นเช่นนั้น

เราก็เห็นโลก โลกนั้นคืออารมณ์ อารมณ์นั้นก็คือโลก เราไม่หลงอารมณ์ ก็ไม่หลงโลก ไม่หลงโลก ก็ไม่หลงอารมณ์
เมื่อจิตเป็นเช่นนี้ จิตก็มีที่อาศัย จิตก็มีรากฐาน จิตก็มีปัญญาหนาแน่น จิตอันนี้จะมีปัญหาน้อย แก้ปัญหาได้ทุกประการ
เมื่อปัญหามันหมดไป ความสงสัยมันก็หมดไป อย่างนี้ความสงบมันก็ขึ้นมาแทน
อันนี้เรียกว่าการปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติกันจริงๆ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

....หลวงปู่ชา สุภทฺโท










ใครต้องการปลอดภัยจากบาป ให้ขยันภาวนาให้มากๆ

หลวงปู่แบน ธนากโร









ภาพคนอื่นที่จะลอยมารบกวนจิตใจเรา เราจะตัดทิ้งเสีย ภาพนั้นเป็นอกุศล

หลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO