นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 16 เม.ย. 2024 10:58 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เหตุผลล้ำค่า
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 31 ธ.ค. 2019 5:01 am 
ออนไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4529
แม้จะเป็นฝ่ายถูกมีเหตุผลเลิศล้ำ
ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความก้าวร้าวสั่งสอน
หรือล่วงเกินผู้อื่นอย่างไม่เกรงใจ
การให้เกียรติ ให้โอกาสผู้อื่นได้เรียนรู้
ทบทวนข้อผิดพลาด แก้ไขตนเองให้ดีขึ้น
เป็นความเมตตาที่ประกอบด้วยปัญญา

โอวาทธรรม : พระอาจารย์คม อภิวโร










“ในพระสูตรพระสูตรหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า พระตถาคตจะสอนเธอทั้งหลายถึงเรื่องทั้งหมด

“เรื่องทั้งหมด” คืออะไร?
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เหล่านี้ คือ “ทั้งหมดในชีวิตของมนุษย์”

อาตมาได้ฉุกคิดทันที สำนึกตัวเลยว่า การหาประสบการณ์ชีวิตของเราเป็นแค่ “การสะสมสัญญา” เท่านั้น

ที่เราได้เห็นอะไรๆแปลกประหลาดหลายอย่าง สิ่งที่สวยงาม เช่น พระอาทิตย์ขึ้นจากยอดภูเขาหิมาลัย พระอาทิตย์ตกที่ทะเลอันดามัน สิ่งที่ทั้งน่าเกลียด และน่าสงสาร อย่างเช่น กลุ่มคนพิการ ขอทาน ในเมืองกัลกัตตา ฝูงหมาแย่งไส้ของซากเด็กริมแม่น้ำคงคา ฯลฯ ทั้งหมดที่ได้เห็นมาก็สักแต่ว่า “รูป” เท่านั้นเอง

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราได้ยิน เช่น เสียงอิหม่ามเรียกชาวมุสลิมไปสุเหร่า ดนตรีอินเดียที่แสนละเอียดลึกซึ้ง เสียงนกยูงร้องหากันในยามพลบค่ำชานหมู่บ้านกลางทะเลทราย เสียงที่ประทับใจที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมีเยอะ แต่ทั้งหมดนั้นสักแต่ว่า “เสียง” เท่านั้น

กลิ่นหอมกระสอบเครื่องเทศในตลาด กลิ่นเหม็นควันจากโรงงานในเมืองอุตสาหกรรม ก็สักแต่ว่า “กลิ่น” เท่านั้น

รสอาหารอิหร่าน อาหารตุรกี อาหารอินเดียเหนือ อาหารอินเดียใต้ ก็เป็นแค่ “รส” เท่านั้นเอง

ลมฤดูใบไม้ผลิในภูเขาแอลป์ โชยลูบไล้ใบหน้า ความแน่นขนัดในรถไฟอินเดีย ฯลฯ ก็สักแต่ว่า “โผฏฐัพพะ” คือความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เท่านั้น

ความนึกคิดต่างๆ ความคิดดี คิดชั่ว ความตื่นเต้น ความเบื่อระอา ความกลัว ความกล้า จินตนาการ ก็สักแต่ว่า “ธรรมารมณ์” เท่านั้น

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่สัมผัสแล้ว เดี๋ยวนี้สิ่งเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหนกัน? อาตมาถามตนเอง ได้คำตอบว่า “เหมือนความฝัน” เหลือแต่ความทรงจำคือ “สัญญา” (ความจำได้หมายรู้)

อาตมาประจักษ์อยู่กับใจว่า จะไปไหนต่อไปก็ไม่ได้อะไรมากกว่านี้ เที่ยวประเทศไหน ก็คงเห็นแต่ของเก่า คือรูป ได้ยินแต่ของเก่า คือเสียง ได้ดมแต่ของเก่า คือกลิ่น ไปรับประทานอาหารที่ไหน อาหารอินเดีย อาหารไทย อาหารเวียดนาม อาหารอะไรก็แล้วแต่ รับประทานอะไรลงไปแล้วก็ได้แค่รส ไม่มีอาหารที่ใดในโลกนี้ที่พ้นจากความเป็นรสไปได้

อาตมาจึงรู้สึกว่าการท่องเที่ยวพอแล้ว ปัญญาที่จะได้จากการแสวงหาต่อไปคงยังผิวเผิน ความสุขที่จะได้ก็ยังกวัดแกว่ง ปัญญาและความสุขที่เราต้องการอยู่ภายในมากกว่า

อาตมารู้สึกเหมือนกับคนที่อยู่ในประเทศที่กำลังจะจมน้ำ ซื้อรถเบนซ์หรือบีเอ็มเพื่อจะหนี รถวิ่งเร็วดีเป็นที่พอใจ แต่เมื่อทราบว่าไปที่ปลอดภัยต้องข้ามทะเล ก็รู้ทันทีว่าพาหนะนี้ใช้ไม่ได้ ยังชมอยู่ว่าเป็นรถเก๋งที่ดี เพียงแต่ว่าไม่ตรงกับความต้องการของเราเท่านั้น เพราะอีกไม่นานน้ำก็จะท่วมถนน รถเก๋งไปไม่ถึง

ในการหาความสุขที่แท้จริง อาตมาได้ข้อคิดว่าต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ ต้องหาเรือหรือแพข้ามทะเล

เมื่อเราเห็นว่าความสุขที่ได้จากประสบการณ์ คือการสัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง เหล่านี้ เป็นความสุขที่คับแคบ มีขีดจำกัด มีช่วงอายุสั้นมากอย่างนี้ “สัมมาทิฐิ” และ “ฉันทะ” ที่จะหาความสุขที่ประณีตกว่านั้น ที่เลิศประเสริฐกว่านั้นจึงเกิดขึ้น

การที่จะเลิกดิ้นรน เลิกกระสับกระส่าย กระวนกระวายกับ “โลกียสุข” นั้น ไม่ใช่ของยากจนเกินไป แต่ผู้ที่ทำได้คือ เห็นข้อบกพร่องของมัน จึงเกิดความต้องการความสุขที่สูงกว่า ประณีตกว่า และปราศจากโทษ

ที่อาตมาได้ยกเรื่องความสุข เรื่องปัญญามาคุยที่นี่ ก็เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ และเพราะเสียดายว่า ทุกวันนี้พุทธศาสนิกชนในเมืองไทยกำลังขาดความสุขที่ควรจะได้จากบุญที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ในเมืองพุทธ ถึงจะมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นในสถาบันสงฆ์บ่อยๆ นั่นเป็นเรื่องของคน ไม่ใช่เรื่องของธรรม อย่าพึงให้กิเลสอ้างความไม่ดีของคนอื่นสนับสนุนการไม่เอาไหนของตนเอง

คนเราจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ตาม “อริยมรรคมีองค์ ๘” ไม่มีวันแปดเปื้อน กฎตายตัวของธรรมชาติยังมีอยู่เหมือนเดิมว่า การศึกษาและปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ และปัญญา เท่านั้น ที่จะนำเราไปสู่ที่เกษม ถ้าเราขาดธรรมะแล้วชีวิตไม่มีทางพ้นการเผาลนของ ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ได้เลย”

ชยสาโรภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “สุขเป็นก็เป็นสุข”










“ มันก็แค่นั้นแหละ ”

❝ คำว่า “ มันก็แค่นั้นแหละ ” เป็นคำที่อาตมาชอบมากตั้งแต่เริ่มเรียนภาษาไทย แต่หาคำแปลที่ถูกใจไม่ค่อยได้ นอกจากสำนวนหนึ่งที่ไม่ตรงทีเดียว แต่พูดให้ความรู้สึกใกล้เคียงได้ คือ “ that’s all it is ” หลวงพ่อชาเคยสอนว่า ‘มันก็แค่นั้นแหละ’ เป็นบทภาวนาที่เหมาะสมกับทุกคนในทุกขณะ ใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ดียิ่ง ใช้อย่างสม่ำเสมอความทุกข์จะค่อยลดลงไปเอง
.
ครูบาอาจารย์องค์อื่นชอบใช้คำว่า “ มันก็แค่นั้นแหละ ” เหมือนกัน เช่น หลวงปู่ดูลย์เคยสอนอย่างน่าฟังทีเดียวว่า “ ขอให้ท่านทั้งหลายจงสำรวจดูความสุขว่าตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต ครั้นสำรวจดูแล้ว มันก็แค่นั้นแหละ
แค่ที่เราเคยพบมาแล้วนั่นเอง
ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น
มากกว่านั้นไม่มีในโลกนี้
มีอยู่แค่นั้นเอง
แล้วก็ซํ้าๆ ซากๆ อยู่แค่นั้น
เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่รํ่าไป
มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดพิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น
.
พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านจึงสละสุขส่วนน้อยนั้นเสีย เพื่อแสวงหาสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัยหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย.❞

ชยสาโรภิกขุ










...อย่างคืนที่ ๓๑ นี้ (วันส่งท้ายปีเก่า)
ความสุขแค่ไม่กี่ชั่วโมง
พอวันที่ ๑ ผ่านไปมันก็หมดแล้ว
แต่ก็อดไม่ได้ที่ต้องไปฉลองกัน
"เพราะมันไม่มี..ความสุขใจ"
.
แต่ถ้า.."คนมีสมาธิ" ก็ไม่ไป
อยู่วัดอยู่บ้าน นั่งสมาธิทำใจให้สงบไป
สุขกว่าเยอะแยะ สบายกว่าเยอะแยะ
ไม่ต้องไปเหนื่อยไม่ต้องไปเต้นแร้งเต้นกา
.
ไม่ต้องไปนับถอยหลังกัน ..บ้าหรือเปล่า
คนที่มีความสุขก็..
ไม่ต้องไปร้อง Happy New Year หรอก
.
คนมันไม่มีความสุข มันเลยต้องร้อง
หลอกกันไปหลอกกันมา แล้วพอตอนเช้า
ก็ปวดหัว..กินเหล้ามากเกินไป
นอนไม่หลับ บางทีก็ กว่าจะตื่นก็สายโด่
.
นี่แหละคือ..
"เพราะเราไม่มีความสุขภายในใจ"
เราเลยต้องไปหาความสุขภายนอก
ก็เลยเป็นทุกข์กับ..ของภายนอกกัน.
.........................................
จุลธรรมนำใจ 41 กัณฑ์ที่ 486
ธรรมะบนเขา 27/12/2557
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










แล้ววิญญาณเริ่มแรกล่ะครับมาจากไหน?

#หลวงตา: เรามีดวงวิญญาณกันทุกๆคน มันมาจากไหน ถามเจ้าของนั่นซิ ไปถามคนอื่นทำไม

ถ้าเจ้าของไม่มีวิญญาณไปถามคนอื่นค่อยยังชั่ว
นี้เจ้าของมีวิญญาณ ไปถามคนอื่น มันขายโง่นะ เข้าใจไหมล่ะ นั่นแหละอยู่ในตัวนั่น ดวงวิญญาณมีกันทุกคน นี่ก็มี นั่นก็มี มาจากไหนถึงได้มาเกิด มาจากไหนก็ตาม ก็รู้ๆกันอยู่นี้ จะว่ายังไง
เดี๋ยวจะไปเรื่องอาหาร รับประทาน พอเขายกจานข้าวมานี้ อาหารนี้มาจากไหนๆ ไล่ไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงที่เกิดของอาหาร เสร็จเลย ไม่ได้กิน อาหารเน่าเฟะ อันนี้ก็เหมือนกัน

วิญญาณมาจากไหน ค้นหาวิญญาณ กว่าจะรู้เรื่องวิญญาณ หรือยังไม่ทันรู้ เจ้าของตายเสียก่อนแล้ว และเกิดอีกแล้ว หาวิญญาณตัวเก่านั่นแหละ เล๊ยไม่เจอสักที ทั้งๆที่อยู่กับตัว มันเป็นอย่างนั้นแหละพิจารณาเอา

อันไหนที่ควรตอบเราก็ตอบให้
อันไหนที่เป็นอจินไตย ตอบแล้วไม่เกิดประโยชน์เราก็ไม่ตอบ
เช่นอย่างหนามยอกเท้าเรานี่ ที่ถูกต้องรีบถอดหัวหนามออกมาทันทีใช่ไหม ไม่จำเป็นจะต้องว่าหนามนี้เกิดมาจากสกุลใด มาจากไม้ไผ่กอใด เป็นหนามอะไรและถามโคตรหาแซ่มันก่อน นี้เป็นอย่างไร มันไม่ดี อย่างนั้นไม่ควรถาม ชนิดนี้ไม่ถูกต้อง ไม่จำเป็นจะต้องไปถามสกุลหนามแหละ
เรื่องของสกุลวิญญาณก็เหมือนกัน ไม่ควรไปถาม มันจะเป็นทำนองเดียวกันนั่นแหละ คือเป็นอจินไตย...
+++++
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot], รสมน และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO