นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 23 เม.ย. 2024 4:32 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ของดีวิเศษคือจิตใจ
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 30 ธ.ค. 2019 4:32 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4537
“..อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญนะ ไอ้กินเวลาเดียว
๒ เวลา กินเนื้อสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่อย่านะ!
อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์
ต้องตอบอย่าง หลวงปู่แหวน เคยมีคนมาเล่าให้ฟัง
มีคนหนึ่งแกบอก หลวงปู่แหวนว่า
“เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครับ ไม่กินเนื้อสัตว์”
หลวงปู่แหวน ท่านบอก “ไอ้วัวควายกินหญ้าตั้ง
นาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว”
ตอบนำสมัย ไม่ใช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นความจริงตามนั้น แต่การกินไม่มีความหมายในการปฏิบัติ แต่การปฏิบัติจริงๆ มันอยู่กับ
(๑) เข้าถึง สเก็ตพระศาสนา แล้วหรือยัง
(๒) เข้าถึง เปลือก เข้าถึง กระพี้ เข้าถึง แก่นแล้วหรือยัง เข้าถึงเเก่นนี่ยังใช้ไม่ได้ ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ จะต้องเข้าถึงพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ เขาวัดกันตรงนี้ อย่าไปวัดกันแค่กิน”

จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๒๓๒ หน้า ๖๔
โดยหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี








#ปีชงมันไม่มีหรอก ชงกันขึ้นมาเอง สมมติกันขึ้นมาเอง ปีนี้กับปีที่แล้วมันก็ปีเดียวกันนั่นแหละ มีมืดกับมีแจ้ง มี ๓๖๕ วันเหมือนกัน ดีหรือชั่ว ไม่ได้อยู่ที่วันเดือนปี มันอยู่ที่การกระทำ ความดี ความชั่ว มันอยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าเราทำความดีไว้ ต่อให้มันจะปีชงกี่ชง มันก็ไม่เกี่ยวกัน ส่วนบาปกรรมที่ทำไว้ก็ไปล้างไปกลบมันไม่ได้ ทำบาปแล้วมันก็ต้องส่งผลไม่ช้าก็เร็ว...

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต









“คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไปและเดี๋ยวนี้ด้วย เมื่อรับสิ่งของใดมาก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้”

(พระบรมราโชวาท ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๑)










#ความตั้งใจ
เมื่อเรามีเจตนาตั้งใจ
จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เราจะต้องทำให้เป็น
ไปตามความตั้งใจนั้น
ให้รักษาเจตนาของตน
ไว้มั่นคง อย่าทำลาย
การฟังธรรมนั้น...ถึงแม้
จะไม่เข้าใจ​ แต่ถ้าตั้งใจ
ฟังแล้วย่อมเกิดประโยชน์
#ยาพิษ
ไม่ได้เป็นโทษอยู่ที่ยา
มันเป็นโทษที่ตัวเราเอง
หรือผู้ที่กินเข้าไป เพราะ
“ความโง่” คือ อวิชชา
ไม่รู้จักพิจารณาว่า
สิ่งใดดีหรือชั่ว คือไม่รู้
เท่าทันในอารมณ์ ๕
#อินทรีย์สังวร
ก็คือ ให้ระวังอารมณ์ ๕
ที่ผ่านเข้ามา ผู้ไม่ระวัง
รักษาในอารมณ์ ๕ เรียก
ว่า ศีลไม่บริสุทธิ์ นี่เป็นศีล
ของผู้มีจิตชั้นสูง ส่วนศีล ๕
นั้น คนพาลหรือบัณฑิตก็ทำได้

#ท่านพ่อลี_ธมฺมธโร.
วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน
อ.เมือง จ.สมุทรปราการ










..อย่าไปโทษใคร
เวลาเราทุกข์ เวลาเราเดือดร้อน
ต้องโทษตัวเราเอง
“ที่ไม่หาที่พึ่ง ที่ไม่รีบสร้างที่พึ่ง”

..พอมีเรื่องอะไรมากระทบ
ก็ทุกข์ วุ่นวายกัน

..ถ้าได้สร้างสติ
สร้างสมาธิ สร้างปัญญาแล้ว
“ไม่ว่าอะไรจะมากระทบกับใจ” จะไม่เป็นปัญหาเลย.
..................................
กำลังใจ 45กัณฑ์ที่ 397
ธรรมะบนเขา22/3/2552
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








“..อานิสงส์ที่ลูกบวชให้พ่อให้แม่
ได้อานิสงส์หลายคักแท้เด้อถ้าพ่อแม่ตกนรกอยู่
ลูกที่บวชปาฏิโมกข์ครั้งหนึ่งบุญส่งให้พ่อแม่สูงขึ้นเพียงเข่า
ถ้าสวดปาฏิโมกข์ถึงสามครั้งส่งให้พ่อแม่ได้ขึ้นสวรรค์
ถ้าหากเพิ่นบ่ทันตายกะบวชให้เพิ่นเห็นเพิ่นสิได้ดีใจแน..”

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต อ.หนองแสง จ.อุดรธานี








ครั้นแล้ววันคืนอันสำคัญก็มาถึง ในคืนวันหนึ่งดึกสงัด พระอาจารย์มั่นนั่งสมาธิภาวนาอยู่ชายภูเขาที่มีหินพลาญกว้างขวางเตียนโล่ง อากาศหลอดโปร่งเยือกเย็นสบาย มีต้นไม้ใหญ่ร่มครื้มตั้งอยู่โดดเดี่ยวต่างกลดกันน้ำค้างและฝน
พระอาจารย์มั่นนั่งสมาธิอยู่ ณ ที่นี้มาตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว จิตของท่านสัมผัสรับรู้อยู่กับปัจจยาการคืออวิชชาปัจจยาสังขาราเป็นต้นเพียงอย่างเดียว ทั้งในเวลาเดินจงกรมตอนหัวค่ำทั้งเวลานั่งเข้าที่ภาวนา ท่านสนใจพิจารณาในจุดนั้น โดยมิได้สนใจกับหมวดธรรมอื่นใด ตั้งหน้าพิจารณาอวิชชาอย่างเดียวแต่แรกเริ่มนั่งสมาธิภาวนา โดยอนุโลมปฏิโลมกลับไปกลับมาอยู่ภายในอันเป็นที่รวมแห่งภพชาติ กิเลสตัณหา มีอวิชชาเป็นตัวการ
เริ่มแต่สองทุ่มที่ออกจากทางจงกรมแล้วเป็นต้นไป ตอนนี้ท่านว่าเป็นตอนสำคัญมาก ในการรบของท่านระหว่างมหาสติมหาปัญญาอันเป็นอาวุธคมกล้าทันสมัย กับอวิชชาอื่นเป็นข้าศึกที่เคย ทรงความฉลาดในเชิงหลบหลีกอาวุธอย่างว่องไว แล้วกลับโต้ตอบให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ยับเยินไม่เป็นท่านแล้วครองตำแหน่งจักรพรรดิราชวัฏฏจักรบนหัวใจสัตว์โลกตลอดมาและตลอดไปชั่วอนันตกาล ไม่มีใครกล้าต่อสู้กับฝีมือได้
ประมาณตี 3 คืนนั้น การยุทธสงครามระหว่างพระอาจารย์มั่นกับจักรพรรดิราชวัฏฏจักรอย่างทรหดไม่ลดละ ผลปรากฏว่า ฝ่ายจักรพรรดิราชวัฏฏจักรถูกสังหารถูกทำลายบัลลังก์ลงพิเนาศขาดสูญโดยสิ้นเชิง สิ้นฤทธิ์ สิ้นอำนาจ สิ้นความฉลาดทั้งมวล ที่จะครองอำนาจอยู่เหนือใจท่านอยู่ได้อีกต่อไป
ขณะจักรพรรดิอวิชชาดับชาติขาดภพลงไปแล้ว พระอาจารย์มั่นเล่าว่า ขณะนั้นเหมือนโลกธาตุหวั่นไหว เสียงจากโลกทิพย์ประกาศก้องสาธุการสะเทือนสะท้านไปทั่วพิภพว่าศิษย์พระตถาคตปรากฏขึ้นในโลกอีกองค์หนึ่งแล้วเสียงจากโลกทิพย์ทั้งหลายแสดงความชื่นชมยินดีและเป็นสุขใจกับท่านอย่างกึกก้อง เป็นเสียงที่ท่านได้รู้เห็นลำพังตนเอง
ชาวโลกมนุษย์ทั้งหลายคงไม่มีโอกาสได้รับทราบด้วย เพราะการบรรลุธรรมวิเศษในพระพุทธศาสนา ย่อมเกินวิสัยมนุษย์ปุถุชนจะหยั่งรู้ได้ ปุถุชนย่อมจะเพลิดเพลินอยู่แต่กับการแสวงหาความสุขทางโลกอย่างมัวเมางมงายไปตามวิสัย น้อยคนนักที่ใครจะสนใจทราบว่า ธรรมอันประเสริฐในดวงใจที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์เมื่อสักครู่นี้ เกี่ยวข้องกับการวิปริตของดินฟ้าอากาศที่พวกเขาได้ประจักษ์หรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ ผู้ที่จะรู้ได้หยั่งถึงนอกจากเทวบุตรเทวธิดาแล้วก็เห็นจะมีก็แต่พระอริยเจ้าด้วยกันเท่านั้นว่า ฟ้าดินหวั่นไหวไปทั่วโลกธาตุเมื่อสักครู่นี้คือ การปรากฏขึ้นของพระอรหันต์อีกองค์หนึ่งในโลกนั่นแล
ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าต่อไปว่า (พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นผู้บันทึกคำเล่านี้) พอขณะฟ้าดินอัศจรรย์กระเทือนโลกธาตุผ่านไปเหลือแต่วิสุทธิธรรมภายในใจพระอาจารย์มั่นอันเป็นธรรมชาติแท้ ซึ่งแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย และจิตใจแผ่กระจายไปทั่วโลกธาตุในเวลานั้น ทำให้พระอาจารย์มั่นเกิดความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ตัวเองมากมาย จนไม่สามารถจะบอกใครได้ที่เคยมีเมตตาต่อโลก และสนใจจะอบรมสั่งสอนหมู่คณะและประชาชนมาดั้งเดิม พลันก็กลับกลายหายสูญไปหมด
ทั้งนี้เพราะความเห็นธรรมที่ท่านบรรลุในครั้งนี้ เป็นธรรมละเอียดและอัศจรรย์จนสุดวิสัยของมนุษย์จะรู้เห็นตามได้ เป็นธรรมภายในใจที่ท่านรู้ได้เฉพาะคนท่านบังเกิดความท้อใจไม่คิดจะสั่งสอนใครต่อในขณะนั้น คิดแต่จะเสวยธรรมอัศจรรย์ในท่ามกลางโลกสมมติแต่ผู้เดียว ในท่านหนักไปทางรำพึงรำพันถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูทรงรู้จริงเห็นจริงและสั่งสอนเวไนยเพื่อวิมุติหลุดพ้นจริง ๆ ไม่มีคำโกหกหลอกลวงแฝงอยู่ในพระโอวาทแม้แต่บทเดียว บาทเดียวเลยแล้วพระอาจารย์มั่นก็กราบไหว้บูชาพระคุณพระพุทธเจ้าไม่มีเวลาอิ่มพอตลอดคืน
จากนั้นก็คิดเมตตาสงสารหมู่ชนเป็นกำลัง ที่เห็นว่าสุดวิสัยจะสั่งสอนได้ โดยถือเอาความบริสุทธิ์และอัศจรรย์ภายในใจท่านมาเป็นอุปสรรคว่าธรรมนี้มิใช่ธรรมของคนมีกิเลสจะครองได้ เพราะเป็นธรรมขั้นสูงสุดละเอียดอ่อนอัศจรรย์พูดไม่ถูก ถ้านำไปสั่งสอนใครก็เกรงจะถูกกล่าวหาว่าท่านเป็นบ้า ไปหาเรื่องอะไรมาสั่งสอนกันก็ไม่รู้ คนดี ๆ มีสติสตังอยู่บ้าง เขาจะไม่นำเรื่องทำนองนี้มาสอนกัน
ท่านรำพึงว่าเราเห็นจะต้องอยู่ไปคนเดียวอย่างนี้เสียแล้ว จนถึงวันตายละกระมัง ขืนไปสั่งสอนใครเข้าจะกลายเป็นว่า ทำคุณกลับได้โทษ โปรดสัตว์กลับได้บาปเปล่า ๆ นี่เป็นความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นกับพระอาจารย์มั่นขณะที่ท่านบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในพระศาสนาใหม่ ๆ ยังมิได้คิดให้กว้างขวางออกไปเชื่อมโยงกับแนวทางการอบรมสั่งสอนตามแนวศาสนาธรรม ที่พระพุทธเจ้าพาดำเนินมา
แต่ครั้งในเวลาต่อมา พระอาจารย์มั่นค่อยมีโอกาสได้ทบทวนธรรมที่รู้เห็น และปฏิปทาเครื่องดำเนินตลอดตัวเองที่รู้เห็นธรรมวิเศษ ท่านก็รำพึงกับตัวเองว่า เราก็เป็นมนุษย์เดินดินกินผักกินหญ้าเหมือนชาวโลกทั่ว ๆ ไป ไม่มีอะไรพิเศษแตกต่างกัน พอจะเป็นบุคคลพิเศษสามารถอาจรู้เฉพาะผู้เดียว
ส่วนผู้อื่นไม่สามารถทั้งที่มีอำนาจวาสนาสามารถรู้ได้อาจมีจำนวนมาก จึงเป็นความคิดเห็นที่เหยียบย่ำทำลายอำนาจวาสนาของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะความไม่รอบคอบกว้างขวาง ซึ่งไม่เป็นธรรมเลย เพราะปฏิปทาเครื่องดำเนินเพื่อ มรรค ผล นิพพาน พระพุทธเจ้ามิได้ประทานไว้เฉพาะบุคคลเดียว แต่ประทานไว้เพื่อโลกทั้งมวล ทั้งก่อนและหลังการเสด็จปรินิพพาน
ผู้ตรัสรู้ มรรค ผล นิพพานตามพระองค์ด้วยปฏิปทาที่ประทานไว้มีจำนวนมหาศาลเหลือที่จะนับที่จะประมาณ มิได้มีเฉพาะเราคนเดียวที่กำลังคิดมองข้ามโลกว่าไร้สมรรถภาพอยู่เวลานี้ เมื่อพิจารณาทบทวนทั้งเหตุและผลทั้งต้นและปลายแห่งพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่ประกาศปฏิปทาทางดำเนินเพื่อมรรคเพื่อผลว่า เป็นธรรมสมบูรณ์สุดและควรแก่สัตว์โลกทั่วไป ไม่ลำเอียงต่อผู้หนึ่งผู้ใดที่ปฏิบัติชอบอยู่ จึงทำให้พระอาจารย์มั่นเกิดความหวังที่จะสงเคราะห์ผู้อื่นขึ้นมา มีความพอใจที่จะอบรมสั่งสอนแก่ผู้มาเกี่ยวข้องอาศัยเท่าที่จะสามารถทั้งสองฝ่าย
ท่านพระอาจารย์มั่นกล่าวว่า ตอนที่คิดว่าตนไม่มีทางจะสั่งสอนคนอื่นให้รู้ตามได้นั้น ออกจะเป็นความคิดนอกลู่นอกทางไปบ้าง ทั้งนี้ก็เพราะว่า ขณะที่ท่านบรรลุธรรมสูงสุดนั้น เป็นธรรมที่นึกไม่ถึง เป็นธรรมที่เกิดใหม่ ที่ไม่เคยพบเคยเห็น ทั้ง ๆ ที่ท่านมีธรรมอยู่กับตัวตั้งเดิมอยู่แล้ว
ธรรมที่เกิดใหม่นี้ทำให้ตื่นเต้นและอัศจรรย์เหลือประมาณสุดวิสัยที่จะคาดคะเนหรือด้นเดาให้ถูกกับความจริงของธรรมชาติจริง ๆ ได้ เปรียบไปแล้วเหมือนเราตายแล้วเกิดใหม่ แล้วพบเข้ากับความอัศจรรย์ตื่นตะลึงนั่นแล แต่ครั้นได้หยุดคิดใช้เวลาใคร่ครวญหาเหตุผลแล้วก็จะพบว่า ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ในกรอบของเหตุผลกฎเกณฑ์ธรรมชาตินั่นเองไม่แปลกประหลาดอะไร เป็นแต่เพียงว่าธรรมสูงสุดที่ท่านค้นพบด้วยความยากลำบากมาเป็นเวลายาวนานนี้ สุดวิสัยที่คนทั่วไปจะรู้ได้ง่าย ๆ นั่นแล

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ












ของดีวิเศษที่สุดในโลกก็คือจิตใจของเรา จิตใจของเราแต่ละรายๆ มันไม่ได้อยู่ที่อื่นนะ ของดีของวิเศษนี่มันอยู่ที่ดวงใจของเราอย่าดุถูกดูหมิ่นตัวเองว่า บุญน้อย วาสนาน้อย ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่วาสนาของเราที่จะมาปฏิบัติโยนให้พระอริยเจ้า พระอริยเจ้ามีอยู่ที่ใด พระอริยเจ้าก็แปลว่าประเสริฐ พระอริยเจ้าที่ท่านรู้ ท่านรู้อะไร ท่านก็รู้ทุกข์ แล้วทุกข์มันไม่มีกับเราหรือไง มันก็มีเพราะฉะนั้นทำไมเราจะรู้ไม่ได้ ทีนี้ทุกข์อันใดก็สมุทัยอันนั้น สมุทัยอันใด ก็นิโรธอันนั้นมันอยู่ที่เดียวกัน นิโรธก็คือความดับทุกข์มันเกิดได้ มันก็ดับได้ ทุกข์มันเกิดที่ไหน ทุกข์มันเกิดที่จิตมันก็ต้องดับที่จิตและเราจะไปหาของดีที่ไหน มันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่เอากันเท่านั้น

เรื่องการกระทำบำเพ็ญ เราก็คงจะพอเข้าใจกันบ้างแล้ว มีแต่พวกเราจะทำให้มันมาก เจริญให้มันยิ่งขึ้นไป ให้มันได้รับผลของการปฏิบัติ การปฏิบัตินี้ส่วนมากจิตใจของพวกเรา หรือว่าจิตใจของครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ที่ท่านได้ปฏิบัติมาก่อนพวกเรา มันก็เป็นของทำได้ยากอยู่เหมือนกัน เพราะอะไร เพราะมันต้องได้ฝืนธรรมดา ฝืนธรรมชาติ ธรรมชาติจิตใจมันชอบจะไหลลงไปทางต่ำเสมอ เพราะฉะนั้นเราจะต้องฝ่าฝืน ทีนี้ข้อวัตรปฏิบัติที่เราได้ศึกษาจากครูบาอาจารย์ เราก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ไม่ใช่ว่าอาจารย์รูปนี้สอนอย่างนี้ อาจารย์รูปใหม่สอนอีกอย่าง เราก็เปลี่ยนไปอีก มันก็ไม่ถูกเหมือนกัน ต้องจับให้มันมั่น ทำอะไรทำให้มันจริงมันจัง เมื่อเราทำจริง ปฏิบัติจริง มันก็จะได้เห็นของจริง มันก็รู้ของจริง ถ้าเราทำไม่จริง มันก็เห็นไม่จริง มันก็ไม่รู้จริง

เมื่อเราปฏิบัติได้แล้ว ทีนี้มันเป็นของใครมันก็เป็นของเราเป็นที่พึ่งของเราโดยตรง และเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด คือพึ่งตัวเรา ตัวของเราผู้ซึ่งเป็นคนปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไป บางคนจิตใจคงเคยได้นับความสงบเข้าไปบ้าง แต่บางคนก็อาจจะยังไม่เคยสงบ ยังไม่เคยได้รับผล แต่อย่าไปสงสัย อย่าไปน้อยใจว่าเราปฏิบัติไปจะไม่ได้รับผล ต้องได้รับผลแน่นอนตามเหตุ ตามปัจจัย ทำน้อยได้รับผลน้อย ทำมากได้รับผลมาก จนกว่ามันจะรู้จะเห็นเป็นไปของเรา ความเป็นไป ความได้มันอยู่ตรงไหน มันอยู่ในจิต คือ ตัวสติ ตัวรู้ คือ ความรู้นี่ฟื้นฟูดวงรู้นี่ขึ้นมา ดวงรู้นี่คือดวงใจของเรามีทุกคน แต่ว่ามันรู้อยู่แต่มันไม่เต็มภูมิ เปรียบประมาประมัยเหมือนกับพระจันทร์ข้างขึ้นข้างแรม ที่มันยังเว้ายังแหว่งอยู่ มันไม่เต็มภูมิ...

เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาศึกษาปฏิบัติ มารักษาตัวสติให้มันติดต่อ ให้มันต่อเนื่องกัน บำรุงตัวสติให้มันเด่นดวงขึ้นมา คือ ตัวรู้...เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะ ความรู้ตัว ปัญญามันก็จะตามมา เพราะปัญญากับสติมันอยู่ด้วยกัน มีสติรู้อยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่เราปฏิบัติอยู่ บางคนก็กำหนดลมหายใจ หรือกำหนดคำบริกรรม หรือกำหนดที่ใดที่หนึ่ง เมื่อเรากำหนดอยู่ที่จุดใด ก็กำหนดให้มันอยู่ที่จุดนั้น เมื่อเวลาจิตมันแว่บไปก็ให้มันรู้..มันอยู่ก็ให้มันรู้หรือมันฟุ้งซ่านก็ให้มันรู้ ให้ฝึกตัวรู้นี่ก่อน เหมือนกับเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ เมื่อมันเกิดมาใหม่ ก็ต้องฝึกนั่ง แล้วก็มาฝึกยืน เมื่อยืนมั่นคงแข็งแรงแล้วค่อยก้าวออกไป ถ้ามันไม่แข็งแรงก้าวออกไปมันก็จะล้ม

อะไรๆ อยู่ที่นี่ เกิดขึ้นที่นี่ ดับลงที่นี่ รักก็เกิดที่นี่ ชังก็เกิดที่นี่ โกรธก็เกิดที่นี่ โลภก็เกิดที่นี่ หลงก็อยู่ที่นี่ มันรวมอยู่ที่จิตถ้าจิตเรารู้เแล้วก็พยายามบำรุงตัวรู้ ตัวสติให้มันเด่นขึ้นมา เมื่อตัวรู้มันเด่นขึ้นมา ความไม่รู้ ความหลง คือ อะไร ความไม่รู้-ความหลง ก็คือ ตัวอวิชชา ตัวอวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้นี่แหละมันพาให้เราเกิด มันพาให้เราแก่ มันพาให้เราเจ็บ มันพาให้เราตายอยู่ในโลกนี้ ท่านจึงว่า "อวิชชา ปัจจยาสังขารา" เรามันเข้าใจลึกเกินไป มันอยู่แค่นี้ ใต้คางของเรานี่เอง ของดีมีอยู่แล้วแต่ไม่เอา ความสุขก็เหมือนกัน ส่งไปนู่น ผู้ชายก็ไปหาความสุขกับผู้หญิง ผู้หญิงก็ไปหาความสุขกับผู้ชาย อันนี้มันหลอกกันเฉยๆ นะเนี่ย มันบ้ากันเฉยๆ นะเนี่ย ทำให้มัวเมากันอยู่ในโลกนะเนี่ย ทำให้หัวเราะ ทำให้ร้องไห้อยู่ในโลกนี้ เลิกซะ มันจบแล้ว อย่าไปสงสัย ความสุขที่มันมีอยู่ในโลกนี้ มันมีแค่นี้มันจบแล้ว

หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร










เราทำดีเวลาไหน มันก็ดีเวลานั้น
ความดีความชั่ว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฟ้ากับดิน
ขึ้นอยู่กับจิตกับใจ กับความประพฤติของเรา
อย่าไปโทษคนอื่น...

โอวาทธรรม
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร









“ส.ค.ส.องค์หลวงตามหาบัว”

สุขอะไร ก็ไม่เท่าสุขใจ สุขใจนั้น สุขสวัสดี ไม่ว่าปีใหม่ ปีเก่า สุขอยู่เรื่อย ๆ สวัสดีปีใหม่ เพราะเบื่อหน่ายปีเก่าที่พาให้ทุกข์ ทั้งๆ ที่ปีใหม่ มันก็ทุกข์ ยังตั้งความหวังไว้ว่า ปีใหม่จะมีความสุขอย่างโน้นอย่างนี้ คาดกันไป ยุ่งกันไป ถึงวันปีใหม่ ละ โอ้โฮ ส่ง ส.ค.ส.กันให้ยุ่ง ส.ค.ส. มันเป็นตัวหนังสือ แต่ตัวใจมันไม่สุข มันเป็น ส.ค.ท. ส่งความทุกข์ซี้! เพราะทุกข์มันอยู่ภายในใจนี่
จง “ส.ค.ส.” วันนี้นะ อย่าไป “ส.ค.ส.” วันนั้น ปีนี้ให้ยุ่งไป อย่าไปหาเกาที่ไม่คัน เดี๋ยวหนังถลอกหมด เอ้า เกาตรงที่มันคันนี้ มันทุกข์อยู่ที่ตรงไหน คันที่ตรงนั้น เกาที่ตรงนั้น แก้กันที่ตรงนั้น ส.ค.ส. กันที่ตรงนั้นแหละ เกิดขึ้นที่นั่น นี่เป็น“ส.ค.ส. ทางพุทธศาสนา” เป็นความคิดที่ถูกต้อง ที่โลกเขาทำนั้นก็ไม่ได้ผิด แต่เราแยกอันนั้นมาเพื่อสอนเรา คือ “โอปนยิโก”
เราไม่ได้ตำหนิติเตียนโลกเขาที่ทำมาเป็นประเพณีนิยม จิตใจมีความรื่นเริงบันเทิงไปในแง่ใด ซึ่งไม่ผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ก็เป็นความดี ไม่ว่าโลกไหน ๆ ต้องมีความรื่นเริงบันเทิง มีความหวังเรื่อยไป
แต่ถ้าจะพิจารณา หรือคิดไปในแง่เดียวเท่านั้น ก็ไม่เกิดประโยชน์ ให้ย้อนหน้า ย้อนหลัง พลิกสัน พลิกคม ของมีดเล่มเดียว ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง
การอธิบายถึงเรื่อง “ส.ค.ส.” ที่ย้อนเข้ามาในเรา เพื่อจะให้เห็น “ส.ค.ส.”ภายใน ส.ค.ส. ภายนอก ส.ค.ส. ภายใน ได้แก่ การส่งความสุขให้แก่ใจ ด้วยการประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งที่มัวหมอง หรือรบกวนจิตใจให้สิ้นไป และมีความสุขแทรกขึ้นมาได้โดยลำดับ จนความสุขเกิดขึ้นภายในใจ เป็น ส.ค.ส. ขึ้นภายในใจ อยู่ที่ไหนก็สบาย ปีใหม่ ปีเก่า ก็สบาย เดือนใหม่ เดือนเก่า ก็สบายทั้งนั้น เพราะทุกข์หมดไปจากใจแล้ว จะไม่สบายยังไงคนเรา ที่เป็นทุกข์ ก็เพราะกิเลส กองทุกข์ มันเป็นเจ้าเรือนอยู่ภายในใจ เมื่อทุกข์หมดไปสุขก็เข้ามาเป็นเจ้าเรือนเท่านั้นเอง!

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘









วัตถุมงคลก็มีประโยชน์ก็อยู่ที่ความเชื่อนั่นแหละ บางคนเกิดอุบัติเหตุไม่เป็นอะไรมันก็เกิดจากความเชื่อความศรัทธา ที่สอนให้รู้ว่าสิ่งใดชั่วไม่ควรทำ จงทำในสิ่งที่ดี ไม่เบียดเบียนใคร ส่วนความเชื่อที่ว่ารอดตายเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยเหลือนั่น อาตมาอยากให้ลองคิดกันดู การรอดตายนั้น มันเกิดจากอะไร จริงๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านั้น มันก็เกิดจากกรรมของเรานั่นแหละ

โอวาทธรรม: หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร วัดป่าจันทรังสี อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO