นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 6:44 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ยิ่งปฏิบัติธรรม
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 20 ส.ค. 2019 4:16 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
เราทุกข์เพราะ เราไปหลงในกระแสโลก ไปหลงโดยไม่รู้ตัว นักปฏิบัติธรรมท่านจะไม่หลงโลก
.
โอวาทธรรม
หลวงปู่นงค์ ปคุโณ
วัดอุดมคงคารามคีรีเขต อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น




ศีลมีทุกเวลาที่ไม่ทำผิด
สมาธิมีทุกเวลาที่ไม่วุ่นวาย
ปัญญามีทุกเวลาที่เข้าใจถูกต้อง
วิมุตติมีทุกเวลาที่ไม่พัวพันในสิ่งใดๆทั้งหมด
ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ( จันทร์ สิริจันโท )



ปล่อยวางความยึดมั่นในธาตุขันธ์

ขันธ์ ๕ เป็นภาระที่หนัก ต้องแบกไว้ตั้งแต่เกิดถึงตาย จิตที่ขาดสติปัญญา จะยึดว่าขันธ์๕ เป็นตัวเรา เป็นของเรา แต่ที่จริงไม่ใช่
ต้องฝึกหัดปฏิบัติให้จิตใจปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในธาตุขันธ์
ถึงเวลาที่ ธาตุสี่ แตกสามัคคี หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าตาย จะไม่ได้ทรมาน ทุรนทุราย เพราะมันบังคับให้วาง

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
พระเทพวิสุทธิมงคล
วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง)
ศรีสมเด็จ ร้อยเอ็ด






ดังนั้น ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อยากจะถามปัญหาท่านสักข้อหนึ่งว่า ทำไมธรรมะที่พระพุทธเจ้านำมาสอนเรานั้น เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพระองค์โดยเฉพาะ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติหนหลังได้ เป็นเครื่องบ่งบอก ดังนั้น พระองค์เทศน์สอนเราว่า ทำสิ่งนี้มันเป็นบาปนะ ทำแล้วตกนรก พระองค์เคยทำ บาปอย่างนี้ตกนรกมาแล้วตั้งแต่ชาติก่อนโน้น ทำสิ่งนี้มันเป็นบุญ ทำแล้วขึ้นสวรรค์ พระองค์เคยทำบุญขึ้นสวรรค์มาแล้วแต่ชาติก่อนโน้น การบำเพ็ญสมาธิ บำเพ็ญฌาน ได้สำเร็จฌานสมาบัติ ตายแล้วไปเกิดเป็นพระพรหมในพรหมโลก พระองค์ก็เคยบำเพ็ญฌาน ไปเกิดเป็นพระพรหมมาแล้ว นั้นแต่ชาติก่อนโน้น มาในชาติปัจจุบันนี้พระองค์ก็มาบำเพ็ญเพียรภาวนา เจริญกรรมฐาน ได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำเร็จแล้วจึงได้นำธรรมะมาสอนเรา เพราะฉะนั้น ในเมื่อเราได้ยินคำสอนของพระองค์ จะเป็นอะไรก็ตามที่พระองค์สอนเอาไว้ ถ้าหากว่าเรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง รับฟังเอาไว้อย่าเพิ่งไปปฏิเสธว่ามันไม่เป็นความจริง

ธรรมะที่พระองค์นำมาสอนเรานี่ เป็นเรื่องส่วนตัวของพระองค์ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องอื่นไกล ปุพเพนิวาสานุสติญาณ พระองค์ระลึกชาติหนหลังได้ ตั้งแต่ชาติเป็นเวสสันดร ถอยหลังไปเป็นแสนชาติล้านชาติ นับไม่ถ้วน แล้วพระองค์ก็เวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสารหลายล้านชาติ บางชาติไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นนกคุ้ม บางชาติเกิดเป็นกระต่าย แม้แต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน พระองค์ก็บำเพ็ญบารมีอยู่ไม่หยุดยั้ง

ยกตัวอย่าง ชาติหนึ่งเกิดเป็นกระต่าย แล้วก็ไปเป็นสหายกันกับลิงและสุนัขจิ้งจอก สามสหายนี้ ไปเห็นพระฤๅษีนั่งบำเพ็ญภาวนา บูชาไฟ เกิดศรัทธาอยากจะถวายอาหารฤๅษี ไอ้เจ้าลิงก็กระโดดขึ้นต้นไม้ เก็บผลไม้มาถวาย ไอ้เจ้าสุนัขจิ้งจอก ก็ไปเที่ยวเก็บเอาปลา ที่พรานเบ็ดเขาทำตกเอาไว้ มาโยนเข้ากองไฟ เผาให้ฤๅษีกิน แต่พระโพธิสัตว์กระต่ายนี่ตัวเองกินแต่หญ้า ไม่มีอะไรจะมาถวายพระฤๅษี ก็อธิษฐานจิตแน่วแน่ ต่อพระโพธิญาณ “ข้าพเจ้าขออุทิศร่างกายของข้าพเจ้า เผาไฟให้ฤๅษีกิน แล้วขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จพระโพธิญาณ” ว่าแล้วก็กระโดดเข้ากองไฟเผาตัวเองให้ฤๅษีกิน

ทั้งหลายเหล่านี้เป็นหลักฐานพยานว่าพระองค์ได้บำเพ็ญอะไรมาแล้ว ไฟนรกมันร้อนพระองค์เคยกระโดดลงไปแล้ว ไปอยู่โลกสวรรค์มันเยือกเย็นสบายพระองค์ก็ไปอยู่มาแล้ว ไปเกิดเป็นพระพรหม เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีความสุขสบาย พระองค์ก็เคยไปเกิดเป็นพระพรหมมาแล้ว เพราะฉะนั้นคำสอนของพระองค์นี่เมื่อเราได้ยินได้ฟังแล้วเชื่อเอาไว้ก่อน

เพราะฉะนั้น อาศัยการระลึกชาติหนหลังนั่นแหละ นอกจากจะรู้เรื่องของพระองค์แล้ว ยังรู้เรื่องของสัตว์อื่นคนอื่นด้วย คนเราเกิดมา บางคนก็รูปร่างสวยงาม บางคนขี้ริ้วขี้เหร่ บางคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเฉียบแหลม บ้างก็ไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นอะไรสารพัดสารเพ ทั้งนี้ก็เพราะเหตุใด พระองค์รู้ว่าเพราะ กัมมัง สัตเต วิภัชฌติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่าง ๆ กัน อันนี้พระองค์ก็ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น คำสอนของพระองค์ไม่ใช่ชนิดที่ว่านอนหลับฝันไป ตื่นขึ้นมาเทศน์ให้คนฟัง ไม่ใช่อย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างพระองค์อุทิศ พระองค์ทดสอบมาด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นเชื่อไว้ก่อนเถิด

พระบูรพาจารย์พระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)





ปัจจุบันมันตั้งอยู่ได้แค่เสี้ยววินาที มันกะผ่านไปเป็นอดีต ครูบาอาจารย์เพิ่นกะสอนให้อยู่กับปัจจุบัน แต่คำว่า "ปัจจุบัน" มันเป็นจั่งใด๋กะต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้ทันเด้ ว่าปัจจุบันนั้นมันเป็นจั่งใด่ อีหยังที่เพิ่นเอิ้นว่า "ปัจจุบัน"
(โอวาทธรรม หลวงปู่เสถียร)




โอวาทธรรม ๑๐๕

ในครั้งพุทธกาล
พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี
เขาก็อยู่กับบ้านอยู่กับสังคม
เขาก็ปฏิบัติได้เหมือนกับพระ
เพราะการประพฤติปฏิบัติ
มันต้องลงรายละเอียด
ทั้งระบบความคิด คำพูด
ทั้งการทำงานที่ไม่ทำบาป
ทำแต่บุญกุศล

โยมคิดว่า...
ปฏิบัติธรรมแล้วจะไม่พออยู่พอกิน
จะโดนเอารัดเอาเปรียบ
ไม่ใช่อย่างนั้น

ยิ่งปฏิบัติธรรม ยิ่งเสียสละ
ยิ่งขยัน ยิ่งมีปัญญา
เราไม่ทำบาปเรทติ้งของเราก็ยิ่งสูงขึ้น
ตัวเองก็เคารพตัวเองได้ กราบไหว้ตัวเองได้
คนอื่นก็เคารพเรา กราบไหว้เราได้
เราก็ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งบ้าน ได้ทั้งคุณธรรม

ร่างกายเราแก่
อินทรีย์บารมีของเราก็ให้แก่ไปพร้อม ๆ กัน
แต่ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม
ร่างกายเราแก่แต่ว่าอินทรีย์บารมีเราไม่แก่
เป็นแค่อาม่าอากงหมดสภาพ
เสียชาติเกิดที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

ถ้าเราทิ้งธรรมะ ถ้าเราทิ้งความดี ทิ้งคุณธรรม
อย่างหลาย ๆ ประเทศ เราดูเขาเป็นนายทุน
เขาพากันทิ้งธรรมะ พัฒนาแต่เรื่องเศรษฐกิจ
ชีวิตเขาเลยกลายเป็นชีวิตที่เกิดมาเพื่อ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง

โอวาทธรรมตอนหนึ่งจากหนังสือ
"ธัมมคารวตา ๔"
โดย พระอาจารย์กัณหา สุขกาโม

โอวาทธรรมใจดีใจสบาย




คนเฮาเกิดมาให้มาสร้างบารมี บ่วาคนจนหรือคนรวย มันกะคนคืนกัน จนกะคนรวยกะคน
เขาให้มาสร้างบุญสร้างกุศล

โอวาทธรรม หลวงปู่จันทน์เรียน คุณวโร
วัดถ้ำสหายจันทร์ธรรมนิมิต
อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO