นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 20 เม.ย. 2024 8:10 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ถวายอะไรได้บุญมาก
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 16 มี.ค. 2019 9:54 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4532
ถวายอะไรได้บุญมากที่สุด?

โยม : หลวงปู่ครับ ถวายอะไรได้บุญมากที่สุด
ผมอยากได้บุญมากๆ เวลาทำบุญ

หลวงปู่ : ถวายความอยากได้ของคุณน่ะ ได้บุญมากที่สุด

หลวงปู่หา สุภโร




"ทุกอย่างรวมอยู่ที่ความประพฤติ
คือฤกษ์ดี ฤกษ์ร้าย โชคดี โชคร้าย
เรื่องเคราะห์กรรม บาปบุญ อะไรทั้งหมดนี้
ล้วนออกไปจากความประพฤติ ของมนุษย์ทั้งนั้น"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล





เรื่อง "ผู้ละสักกายทิฏฐิได้เด็ดขาด คือพระอนาคามี"
สักกายทิฏฐิ ๒๐ มีตาม(ตำรา)ท่านกล่าวไว้ว่า พระโสดาบันบุคคลละได้โดยเด็ดขาด

แต่ทางด้านปฏิบัติของธรรมะป่า รู้สึกจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง เฉพาะสักกายทิฏฐิ ๒๐ นอกนั้นไม่มีข้อข้องใจในด้านปฏิบัติ จึงเรียนตามความเห็นของธรรมะป่าแทรกไว้บ้าง คงไม่เป็นอุปสรรคแก่การฟังและการอ่าน เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ทางปลดเปลื้องตามนัยของสวากขาตธรรมแล้วก็กรุณาผ่านไป อย่าได้ถือเป็นอารมณ์ขัดข้องใจ ผู้ละสักกายทิฏฐิ ๒๐ ได้เด็ดขาดนั้น เมื่อสรุปแล้วก็พอได้ความว่า ผู้มิใช่ผู้เห็นขันธ์ห้าเป็นเรา เห็นเราเป็นขันธ์ห้า เห็นขันธ์ห้ามีในเรา เห็นเรามีในขันธ์ห้า คิดว่าคงเป็นบุคคลประเภทไม่ควรแสวงหาครอบครัว ผัว-เมีย

เพราะครอบครัว (ผัว-เมีย) เป็นเรื่องของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นรวงรังของสักกายทิฏฐิที่ยังละไม่ขาดอยู่โดยดี ส่วนผู้ละสักกายทิฏฐิได้โดยเด็ดขาดแล้ว รูปกายก็หมดความหมายในทางกามารมณ์ เวทนาไม่เสวยกามารมณ์ สัญญาไม่จำหมายเพื่อกามารมณ์ สังขารไม่คิดปรุงแต่งเพื่อกามารมณ์ วิญญาณไม่รับทราบเพื่อกามารมณ์ ขันธ์ทั้งห้าของผู้นั้นไม่เป็นไปเพื่อกามารมณ์ คือประเพณีของโลกโดยประการทั้งปวง ขันธ์ห้าจำต้องเปลี่ยนหน้าที่ไปงานแผนกอื่นที่ตนเห็นว่ายังทำไม่สำเร็จ โดยเลื่อนไปแผนกรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

ผู้ละสักกายทิฏฐิ ๒๐ ได้โดยเด็ดขาด
คิดว่าเป็นเรื่องของ "พระอนาคามีบุคคล"

เพราะ(พระอนาคามี)เป็นผู้หมดความเยื่อใยในทางกามารมณ์ดังกล่าวแล้ว ส่วนพระโสดาบันบุคคลคิดว่าท่านรู้และละได้โดยข้ออุปมาว่า มีบุรุษผู้หนึ่งเดินทางเข้าไปในป่าลึก ไปพบบึงแห่งหนึ่งมีน้ำใสสะอาดและมีรสจืดสนิทดี แต่น้ำนั้นถูกจอกแหนปกคลุมไว้ ไม่สามารถจะมองเห็นน้ำโดยชัดเจน เขาคนนั้นจึงแหวกจอกแหนที่ปกคลุมน้ำนั้นออก แล้วก็มองเห็นน้ำภายในบึงนั้นใสสะอาดและเป็นที่น่าดื่ม จึงตักขึ้นมาดื่มทดลองดู ก็รู้ว่าน้ำในบึงนั้นมีรสจืดสนิทดี เขาก็ตั้งหน้าดื่มจนเพียงพอกับความต้องการที่เขากระหายมาเป็นเวลานาน เมื่อดื่มพอกับความต้องการแล้วก็จากไป ส่วนจอกแหนที่ถูกเขาแหวกออกจากน้ำก็ไหลเข้ามาปกคลุมน้ำตามเดิม เขาคนนั้นแม้จากไปแล้วก็ยังมีความติดใจ และคิดถึงน้ำในบึงนั้นอยู่เสมอ และทุกครั้งที่เขาเข้าไปในป่านั้น ต้องตรงไปที่บึงและแหวกจอกแหนออก แล้วตักขึ้นมาอาบดื่มและชำระล้างตามสบายทุกๆ ครั้งที่เขาต้องการ เวลาเขาจากไปแล้วแม้น้ำในบึงนั้นจะถูกจอกแหนปกคลุมไว้อย่างมิดชิดก็ตาม แต่ความเชื่อที่เคยฝังอยู่ในใจเขาว่า น้ำในบึงนั้นมีอยู่อย่างสมบูรณ์หนึ่ง น้ำในบึงนั้นใสสะอาดหนึ่ง น้ำในบึงนั้นมีรสจืดสนิทหนึ่ง ความเชื่อทั้งนี้ของเขา(อจลศรัทธา)จะไม่มีวันถอนตลอดกาล

(คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)





มีผู้มีศรัทธานำเครื่องฟอกไตมาถวาย แต่เขาก็ว่าเครื่องนี้ดีเกินไป มันใช้ต่างระบบกัน หลวงพ่อก็ว่าแปลกเหมือนกัน เครื่องไม้เครื่องมือ คงเหมือนกับเราได้โทรศัพท์ไอโฟน แต่เรามีแต่โทรเข้าโทรออก ประโยชน์ของเครื่องมันมหาศาล แต่ใช้ไม่เป็น เครื่องมันฉลาดกว่าคน คนมันโง่กว่าเครื่อง ก็ใช้ได้เท่าที่ตัวเองรู้ เครื่องมันฉลาดรอบรู้ทุกอย่าง แต่เราใช้มันไม่เป็น เหมือนเจ้านายโง่ใช้ลูกน้องไม่เป็น ก็ไม่รู้จะทำยังไง ตัวเองโง่ก็ยอมรับซะ ถ้ายังอวดฉลาดอีกก็ตายเลย เครื่องไม้เครื่องมือพังหมด ลูกน้องก็ระเนระนาดหมด เพราะผู้ใช้มันโง่ เครื่องมือมันฉลาดกว่า

นี่ล่ะพวกเรา ในโลกนี้ เราอย่าไปอวดอ้างว่าเราเฉลียวฉลาดทุกอย่าง ถ้าใครก็ตามอวดอ้างว่าเฉลียวฉลาดทุกอย่าง คนนั้นล่ะโง่ที่สุด เพราะว่ามันฉลาดทางหนึ่ง มันก็โง่ในทางอื่น ความโง่มันจะมีมากกว่า แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ยกให้เลย ยกมือท่วมหัวเลย เพราะท่านรู้ทุกอย่าง ท่านรู้ที่ไหน ท่านรู้ที่ใจของท่าน ท่านชำระจิตใจของท่านจนจิตใจของท่านบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ออกจากใจของท่าน

เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกไป จะเป็นไอโฟนหรือเรื่องอะไร จรวดดาวเทียมก็ตาม เครื่องยนต์กลไกก็ตาม เครื่องบินก็ตาม มันออกไปจากใจทั้งหมด ใจไปใช้สมองคิด ในเมื่อรู้เรื่องของใจแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันออกไปจากทางนี้ทั้งหมด มันคิดอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะมันมีความโกรธขึ้นมา มีนจึงคิดศาสตราอาวุธสังหารผู้อื่น หรือมันทำเพราะความรัก จึงทำสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อสิ่งนั้น หรือทำขึ้นเพราะความหลง จะอยู่ในโลกวัฏสงสารนานเท่านานจึงทำตัวนี้ขึ้นมา

พระอรหันต์ท่านรู้ต้นเหตุของเรื่องทั้งหลายทั้งปวง ความโลภมันออกไปทางนี้ ความโกรธออกไปทางนี้ ความหลงออกไปทางนี้ ราคะออกไปทางนี้ ท่านรู้เหง้าของมัน ท่านจึงตัดตัวนั้น ชำระตัวนั้น ปิดตัวนั้น ระงับตัวนั้น แปลว่าจบเรื่องทั้งหลายทั้งปวง นั่นคือพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริง จบเหตุแห่งเรื่องทั้งหลายทั้งปวง

แต่พวกเราท่านทั้งหลาย ไปว่าตัวเองฉลาด ไปหาตะครุบเงา เหมือนแมวไล่ตะครุบเงา ไม่ใช่ตะครุบหนูนะ ตะครุบหนูยังได้กินหนู นี่ตะครุบเงาหนู แมวหลงเงาหนูตะครุบไปเรื่อย เผลอ ๆ ไปโดนไม้เหลี่ยมหัวแตกอีก แมวหัวแตก

นี่ก็เหมือนกัน มนุษยชาติเราคิดว่าตัวเองฉลาด ตะครุบมาตะครุบไป เรื่องทั้งหลายทั้งปวง ผลที่สุดไม่ถึงร้อยปี แบมือทุกคน ข้าไม่เอาแล้ว ข้ายอมแล้ว ข้ารู้แล้ว เอาไปไม่ได้ ขนาดร่างกายของข้า ข้ายังจะทิ้งอยู่ อีกสักวันก็ต้องเผาไฟทิ้ง ถ้าไม่เผาไฟทิ้ง เหม็นแน่ ๆ พอตายแล้ว พวกก็รีบจัดการเลย เอาเข้าหีบเข้าโลง เอาไปเผาไฟ เอาไปฝังดิน ถ้าไม่อย่างนั้น มันเหม็น แล้วได้อะไร เอาอะไรจับใส่มือก็เท่านั้น เอาอะไรจับใส่ปากก็เท่านั้น แบกใส่บ่าก็เท่านั้น เอาใส่หีบใส่โลงก็เท่านั้น ไม่เอาสักอย่าง ไม่ใช่มันพอนะ มันเอาไปด้วยไม่ได้

นี่ล่ะ ขนาดร่างกายเราก็เอาไปไม่ได้ ความรู้สึกนึกคิดก็เตลิดเปิดเปิงไป ไม่มีขอบเขต ไม่รู้จะไปที่ไหน ถ้าหากไม่ได้ฝึกหัดดัดนิสัย ไม่ได้ฝึกฝนอบรม ไม่ได้บำเพ็ญคุณงามความดี ไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศล ใจดวงนั้นก็เตลิดเปิดเปิงไม่รู้ไปที่ไหน หลวงปู่มั่นท่านว่า ใจนี้เป็นนักท่องเที่ยวตัวยง ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร สูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไปได้ทั้งหมด ดวงจิตวิญญาณนี้ ถ้ายังมีกิเลสอยู่ แต่ถ้าหมดกิเลส ทำจิตใจให้บริสุทธิ์หลุดพ้น ไม่มีราคะ โทสะ โมหะแล้ว นั่นล่ะ นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง หยุดในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร หยุดในการท่องเที่ยว หยุดในการเคลื่อนไหว เพราะตัวที่จะพาไปถูกธรรมะอันบริสุทธิ์สกัดออกหมดแล้ว

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
พระธรรมเทศนา “ฉลาดตะครุบเงา”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒





ถาม : เพื่อนกำลังจะไม่อยู่ในโลกนี้ พรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเขา เขาไม่เคยปฏิบัติมาก่อน ควรบอกเขาก่อนจะไปอย่างไรดีคะ เพื่อให้เขาไปในที่ที่ดี

พระอาจารย์ : ก็อย่างนี้แหละ มันจะเอากันง่ายๆ บอกปั๊บไปได้ปุ๊บเลย แล้วคนที่มานั่งหลังคดหลังแข็งมานั่งรักษาศีลนี้ มันก็ไม่มีกำลังจิตกำลังใจที่จะปฏิบัติซิ รอให้เวลาใกล้ตายแล้วให้เพื่อนมาบอกว่า ไปที่ดีนะจ๊ะ พุทโธไปนะจ๊ะ

.
"ทั้งปีทั้งชาติไม่ยอมพุทโธ
เวลาจะตายมันจะมีกระจิตกระใจจะพุทโธหรือ"

.
อย่าไปทำอะไรเลยปล่อยให้เขาไปตามบุญตามกรรมของเขาเถอะ สายไปเสียแล้ว "เหมือนคนขึ้นเครื่องไปแล้ว" ไปทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว ปล่อยเขาไป เครื่องจะออกแล้ว.
.....................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 13/7/2559
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





คนเรามีความอยากมี อยากได้ อยากเด่น อยากดัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเป็นธรรมดาที่คนเราจะอยากมีเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น แต่หากเราใช้ชีวิตแบบ “อยู่ อย่าง อยาก” มากจนเกินไป ความรู้สึกแบบนี้จะทำให้ตัวเราเองไม่มีความสุข ไม่รู้สึกผิด ไม่ละอายใจ เพราะจิตใจคิดถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ และความรู้สึกของตนเองเป็นที่ตั้ง จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วสาระสำคัญของการมีชีวิตอยู่ของคนเรานั้น คือการที่จะทำให้ตัวเราเองและคนอื่นที่อยู่ร่วมกับเราได้อย่างมีความสุข มีความคิดคำนึงถึงกันและกันบนโลกใบนี้..

คติธรรมคำสอน
หลวงพ่อท่านเจ้าคุณอลงกต ติกฺขปญฺโญ
วัดพระบาทน้ำพุ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO