นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 7:20 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: คำว่าภาวนา
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 13 ต.ค. 2018 3:26 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4539
“อย่าไปยินดี ในการทำชั่วของคนอื่น
เพราะ เราจะมีส่วนในบาปนั้นด้วย

แต่ให้ยินดี ในการประกอบคุณงามความดี
ของตน และของคนอื่น
เพราะ จะได้แต่บุญโดยฝ่ายเดียว”

หลวงปู่หลุย จันทสาโร





"อย่าพยายามทำคนอื่น ให้เหมือนใจเรา
เพราะเรา ก็ทำให้เหมือนใจคนอื่นไม่ได้"
หลวงปู่จันทร์ กุสโล






อย่าพากันน้อยเนื้อต่ำใจเด้อเฮ็ดไปโลด
บุญไผบุญมันเด้อ ให้จำเอาไว้โลด "ภาวนาเอา"
คำว่าภาวนาเอา...มันเป็นจั่งไดภาวนา : ภาวนาคือการนั่งสมาธิคะ, ภาวนาคือการหย่างจงกรมคะ, แมนอยู่ ทำวัตรสวดมนต์มันกะเป็นภาวนาคือกัน สิ่งไหนที่เราทำเป็นบุญที่พร้อมด้วย กาย วาจา ใจนะ "อาเสวิตายะ ภาวิตา ยะ พะหุลีกะตายะ" เพียรให้มาก กระทำให้มาก พยายามให้มาก อันนั้นแหละคือการภาวนา ภาวนาแปลว่าเจริญให้มันเกิดขึ้น ให้จำได้
นั่นคือการภาวนา มันบ่แมนว่าไปนั่งหลับตาซื่อๆ
กะว่าภาวนามันบ่แมน.....มันแมนอยู่ แต่มันบ่แมน
การท่องจำหนังสือท่องจำบทสวดการไหว้พระสวดมนต์อยู่นี่ นี่ละคือการภาวนา

...ลูกนะ เจ้านั่นละเป็นผู้สร้างธาตุขันธ์ให้เขา
สร้างสรณะ สงฆ์อันเป็นสรณะอยู่ไส่ที่ว่าสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งของเฮาอยู่ไส่ มันบ่แมนหัวโล้นห่มพระเหลือง(ท่านชี้ที่ตัวท่านเอง) คำว่าพระสงฆ์ที่เป็นสรณะนะเคยเห็นพระสงฆ์ละบ่ (เห็นละคะนั่งจับไมค์หัวโล้นๆนี่ละ) แมนบ่ฮึ.....คือสิตอบจั่งสิเนาะ??

...บ่แมน นี้เป็นสมมุติ สมมุติสงฆ์ข้างนอกนี่ คำว่าสงฆ์นอก สงฆ์ในที่เป็นสรณะที่พึ่งเฮาข้างในพุ่นนะ
ที่เฮาอาศัยพุ่นนะ เป็นสรณะเป็นที่พึ่งของเฮา ไม่งั้นจะว่าสังฆังสรณังคัชชามิบ่สะนะ ที่พึ่งอื่นไม่มีนอกจากพระสงฆ์ อยู่ไส่ละพระสงฆ์ที่เป็นที่พึ่งของเฮานะ อยู่ไส่ละที่ว่าเป็นพระธรรมเป็นที่พึ่ง อยู่ไส่ละที่ว่าพระพุทธที่ว่าเป็นที่พึ่งนะเห็นละบ่ พระพุทธก็องค์เหลืองๆละคะ นั่นๆองค์ใหญ่ๆอยู่ข้างหลัง พระธรรมก็คือหลวงพ่อพูดอย่างนั่นละว่าติ คือสวดมนต์สวดพรอยู่นั่นละว่าติ พระสงฆ์อยู่หัวโล้นๆนั่งเว้าอยู่นั่นละ โอ้ยกะจั่งแมนเว้าถืกฮ่ายเว้ย. แป๊ะเลยว่ะให้เข้าใจเด้อ

...คำว่าพระสงฆ์อันเป็นสรณะนี่ ถ้าสงฆ์บ่มีน่ะเฮากะบ่มีเป็นตัวเป็นตน บ่มีเกิดขึ้นมาเลย ถ้าบ่มีสรณะตัวนี้ ถ้าบ่มีพระสงฆ์บ่มีพระธรรม เฮาบ่เป็นตัวเป็นตนบ่ได้เกิดขึ้นมาดอก มาจากพระทั้ง ๔ องค์คือกัน ล้วนแต่เป็นกองสมมุติคือกัน คือมหาภูติ ๔ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม, มันเป็นพระได้จั่งได่ พระมหาปฐพีกะแปลว่าดินแมนบ่? พระมหานทีกะน้ำแมนบ่? พระเพลิงกะไฟ พระพายกะลม พระทั้ง ๔ นี้ประชุมกันจั่งเป็นกองขึ้นมา เป็นกองธาตุ กองธรรม กองขันธ์ขึ้นมานี่เป็นกองธรรมมาเป็นตัวเป็นตนนี่

...ไผเป็นผู้ประชุม พระอรหันต์สองพระองค์ คือพ่อคือแม่เฮา ธาตุน้ำเป็นพระคุณแม่ ธาตุดินเป็นพระคุณของพ่อ น้ำและดินมาประชุมกันเท่านั้นละไฟและลมก็เกิดขึ้น ธาตุทั้ง ๔ พระทั้ง ๔ จึงมาประชุมกันจึงเป็นก้อนขึ้นมา จิตของเฮาคือตัวพุทธะมาอาศัยสรณะมาถือเอาสรณะอันเป็นพระคุณของพ่อแม่เฮา มาถือเอาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เฮาพุ่นนะ มาถือเอามาถือสรณะพากันเข้าสรณะแล้ว ยังว่าเจ้าของมาเอาสรณะบาดหนิ แลนหา(วิ่งหา)สรณะเจ้าของบาดหนิ....ตาย!!

"สรณะกะคือธาตุ ๔ ดิน,น้ำ,ไฟ,ลม, ที่พ่อแม่ประชุมธาตุขันธ์ให้นั่นละ เฮามาถือเอาสรณะอันนี้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังถือเอาสรณะตัวนี้น่ะ"

ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา
หลวงปู่สวาท ปัญญาธโร วัดโปร่งจันทร์ อ.คิชฌกูฏ
จ.จันทบุรี ในงานมุทิตาจิตหลวงปู่สมภาร ปัญญาวโร
วัดป่าวิเวกพัฒนาราม อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ
ในวันที่ ๔-๕ สิงหาคม ๒๕๖๑







เราผู้มีโอกาสวาสนาพอประมาณ ได้อุบัติเกิดมาเป็นร่างมนุษย์มีอวัยวะสมบูรณ์ ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาแต่ ปุพเพ จ กตปุญฺญตา คือ เคยสั่งสมคุณงามความดีสืบทอดกันมาเป็นลำดับ จนปรากฏผลเป็นผู้มีคุณค่ายิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลาย นับว่าเป็นผู้มีคุณค่าอันดับหนึ่ง อันดับต่อไป โปรดพยายามนำเอาผลกำไรอันเกิดจากกรรมดีนี้เป็นต้นทุนหมุนหาความดี ได้แก่การบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ให้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นภายในกาย วาจา ใจ ก็จะเพิ่มพูนความดีขึ้นไปอีกไม่มีสิ้นสุด แม้จะยังมีการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอยู่ เราก็พอมีทางหลีกเลี่ยงจากความทุกข์ได้พอประมาณ และมีโอกาสประสบสุขในวงของสัตว์ผู้มีความทุกข์เช่นเดียวกับเรา จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง คือความพ้นทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง

แต่ผู้มีความมุ่งหน้าพยายามแก้ไขตนให้พ้นจากทุกข์ในชาติปัจจุบันนี้ จะไม่ขอมาสู่กำเนิดอันเป็นภพเกิดแล้วต้องตายในโลกทนทุกข์ทรมานนี้แล้ว ผู้นั้นโปรดมีเข็มทิศคือใจมุ่งมั่นต่อความเพียร การรักศีลก็ไม่มีสิ่งใดจะรักยิ่งไปกว่า แม้ชีวิตจิตใจก็ยอมพลีได้เพื่อศีลที่รักยิ่งนั้น ไม่ย่อมล่วงเกินฝ่าฝืนทั้งที่แจ้งและที่ลับ ทางด้านสมาธิ คือการอบรมใจเพื่อความสงบ ปราศจากข้าศึกอันเป็นเหตุที่จะบ่อนทำลายความสุขภายในใจ ก็พยายามอบรมให้เกิดมีขึ้นด้วยความเพียรไม่ลดละ

การอบรมใจเพื่อความสงบ จะกำหนดอาการส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกาย หรือจะกำหนดใจตามรู้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก็ดี จะกำหนดธรรมบทใดบทหนึ่งมีพุทโธ เป็นต้น ที่ถูกกับจริตของตนก็ดี หรือจะกำหนดลมหายใจเข้าออกซึ่งปรากฏอยู่กับตัวทุกขณะก็ดี จงเป็นผู้มีสติรอบคอบ รอบรู้กับอาการแห่งธรรมที่ตนกำหนดพิจารณาอยู่ จนปรากฏเป็นปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรม คือจิตกับบทธรรมสัมปยุตกันอยู่ด้วยสติทุกขณะที่ทำการอบรม อย่าให้พลั้งเผลอ จนปรากฏว่าจิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ไม่มีการแตกแยกจากกันแม้ขณะเดียว จะเป็นไปเพื่อความสงบ และพ้นทุกข์ไปโดยลำดับในชาตินี้โดยไม่ต้องสงสัย

หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๖


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot], Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO