นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 4:10 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: อย่าพากันประมาท
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 01 ก.ย. 2018 7:02 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4539
"อย่าพากันประมาท ในความตาย
อย่านิ่งนอนใจ ความตายมาหาทุกเมื่อ
ทุกเวลา กะพร้อมตายทุกเมื่อทุกเวลา

บ่ว่าไผกะตาม ต้องลงสู่ความจริงโตนี้บ่มีเว้น
ให้ฟ้าวทำความดี อย่าพากันประมาท "

หลวงปู่แสง ญาณวโร





“ทุกสิ่งทั้งหลายในโลก ไม่มีอะไรถาวร
จะต้องเสื่อม โดยธรรมชาติธรรมดา
ทุกอย่าง ฉะนั้น จึงไม่ควรไปสนใจ
กับสิ่งที่ไม่ถาวรเหล่านี้

คนจะสวยจะงาม ก็ต้องแก่ และตาย
กุหลาบสวย ก็ต้องโรย ดอกบัวงาม
ก็ต้องร่วง มะม่วงสุกหอม ก็ต้องมีแมลงกิน

สิ่งที่ถาวร และไม่ตายนั้น คือ
ดวงจิตอย่างเดียว สิ่งนี้ จึงควรสนใจ
และรักษาให้มาก”

ท่านพ่อลี ธัมมธโร





“นิสัยอันไม่ดีอีกอันหนึ่ง ของพวกเรา
คือ เป็นคนเลือกงาน ตีราคาของตัวสูงเกินไป
จนไม่มีงานจักทำเสียเลย อย่างนี้ไม่ดี

จงนึกว่า ไม่มีใครกระโดดขึ้นตึกได้
โดยไม่มีบันได ทุกคนต้องเดินขึ้นไปทีละขั้น
จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง”

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ





“ใกล้ออกพรรษาแล้ว”…..และ “หลวงปู่แบนสนทนากับเด็กๆ”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันนี้ขึ้น 9 ค่ำใกล้ออกพรรษาแล้ว ตอนเช้าพระแสงอาทิตย์มาก็สว่าง ตอนเย็นแสงอาทิตย์ไปก็มืด เป็นอย่างนี้มาตลอดและจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป วันเข้าพรรษาทานข้าวอิ่ม ออกพรรษาเป็นเวลาทานข้าวมากทั้งนั้น……การทำใจของเราให้อยู่ในศีลในธรรม จะทำทั้งเข้าพรรษา จะทำทั้งออกพรรษา มีประโยชน์ทั้งนั้น….ไม่ใช่ออกพรรษา จะทำใจให้อยู่ในกรอบศีลธรรมไม่ได้ เหมือนกับเราหายใจ จะเลือกหายใจเฉพาะช่วงเข้าพรรษา แล้วไม่หายใจช่วงออกพรรษาก็ไม่ได้ เออ อย่าไปลองทำล่ะ……ทำใจของเราให้มีธรรม มีสติ ทำได้ทุกขณะ ทำใจของเราให้มีสติ จะเข้าพรรษาหรือออกพรรษาก็มีสติทั้งนั้น…….จบ

วันนี้มีเด็กๆวัยประถมและครอบครัวมากราบหลวงปู่แบน ท่านได้เมตตาสนทนากับเด็กๆว่า…
เอ้า….นี่(ในกลุ่มนี้)ใครเป็นที่1…..? เป็นที่หนึ่งในเรื่องอะไร….
อันดับ 1 คือ “เรียบร้อย”
อันดับ 2 คือ “เชื่อฟังคุณพ่อ คุณแม่”
อันดับ 3 คือ ” ไหว้พระ สวดมนต์”
อันดับ 4 คือ “เรียนเก่ง”
ทำไมเรียนเก่ง จึงเป็นอันดับ 4 เพราะเรียนหนังสือทางโลกก็ได้แต่ประกาศนียบัตรๆ ก็เอาไว้ใช้หาเงินกัน….

พุทธศาสนาเราสอนให้ตรวจสอบเจ้าของ วันนี้รื่นเริงกี่ครั้งจดบันทึกไว้ เป็นการส่งเสริมให้ตรวจสอบเจ้าของสม่ำเสมอ….คนในเมืองใหญ่ก็ดี เมืองเล็กก็ดี ตามป่าตามเขาก็ดี ต้องมีการตรวจสอบเจ้าของ ตา หู มันจะหาเรียนรู้สิ่งต่างๆไปเรื่อย…… เหมือนกระแสน้ำไหลเชี่ยว ต้องตะเกียกตะกาย ถ้าใครไม่ตะเกียกตะกาย แม้แต่จะทรงตัวอยู่กับที่ก็ยังไม่ได้ เดี๋ยวนี้กระแส(โลก)เค้าแรง ถ้าหากอยู่ห่างๆสักหน่อยจะดี ความเจริญของโลกคือสิ่งที่ยั่วเย้า เหมือนกระแสน้ำเชี่ยว…….จะข้ามฝั่งไปอีกฟากทางโน้นได้ ต้อง(ทรงตัว)อยู่ในกระแสน้ำเชี่ยวนั้นให้ “ปลอดภัย”…….. จบ (ธรรมะช่วงท้ายน่าจะสอนคุณพ่อคุณแม่เด็กๆ)

ธรรมเทศนาบางส่วน
หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์
21 ตุลาคม 2558







"ผ้าขี้ริ้วห่อทอง ท่านอยู่เหมือนคนหมดค่าหมดราคา พระท่านไปอยู่ที่ไหนผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมท่านไม่ต้องการอะไร การอยู่การกินการหลับนอนท่านไม่ต้องการความสวยงามอะไร ท่านจะต้องการความสวยงามเฉพาะจิตใจโดยลำพังเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจึงว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว ท่านอยู่สถานที่ใด ที่นั้นก็เหมือนผ้าขี้ริ้วใครไม่ปรารถนา ไม่ว่าการอยู่การกินการหลับการนอน ได้อะไรมาท่านใช้พอยังชีวิตให้เป็นไป แต่ส่วนใหญ่มุ่งต่อธรรมๆ ตลอดเวลา นั่นละผ้าขี้ริ้วห่อทอง คือทองคำในใจของท่าน ท่านบำรุงรักษาตลอดเวลา ก็สว่างขึ้นมาจ้าขึ้นมา นี่เรียกว่าผ้าขี้ริ้วห่อทอง

ทีนี้ผ้าย้อมทองคำห่อมูตรห่อคูถ พลิกปั๊บเลย มีแต่ชื่อแต่เสียง เป็นชื่อนั้นชื่อนี้เรื่อยๆ มีแต่ลมปาก ความจริงในหัวใจไม่มี มีแต่มูตรแต่คูถเต็มหัวใจ ขี้โลภขี้โกรธขี้หลงเต็มอยู่ในนั้นหมด ชื่อนั้นหยดย้อยจรดเมฆ ชั้นนั้นชั้นนี้ อย่างพระเรานี้ก็ฟาดตั้งแต่สมุห์ ใบฎีกาขึ้นไป สมุห์ ใบฎีกา ปลัด ขึ้นพระครู เจ้าฟ้าเจ้าคุณ สมเด็จ ประดับกันอย่างนี้เรื่อยๆ ถ้าจิตไม่มีธรรม ถ้าจิตมีธรรมประดับเท่าไรก็สวยงาม ข้างนอกก็สวยงาม ข้างในก็สวยงาม ถ้าหาตั้งแต่ทางนอก สวยงามตั้งแต่ทางนอกเท่านั้นเอง หลอกโลกเขา ภายในมีแต่มูตรแต่คูถ ใช้ไม่ได้เลย นี่ละภาษาธรรม"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๗





การภาวนาเปรียบได้กับการนิมนต์พระเข้าบ้าน

เวลาที่เรานั่งภาวนาให้นึกว่าร่างกายเรานี้เปรียบเหมือนกับบ้านการที่เราภาวนา“พุทโธ”เข้าไปมันก็เปรียบกับว่าเรานิมนต์พระเข้าไปในบ้านของเราการนิมนต์พระเข้าไปในบ้านนั้นก็ให้นึกถึงมรรยาทของโลกว่าเขาจะต้องทำอย่างไรกันบ้าง
๑. เขาจะต้องปูอาสนะไว้สำหรับท่าน
๒. หาน้ำดื่มหรืออาหารที่ดีๆมาถวาย
๓. ต้องสนทนาปราศรัยกับท่าน

๑. “การปูอาสนะ” นั้นก็ได้แก่การที่เรานึก “พุท” ให้ติดเข้าไปกับ
ลม; นึก “โธ” ให้ติดออกมากับลมเมื่อเรา ตั้งสติ คอยนึกกำหนดอยู่เช่นนี้
“พุทโธ” ก็จะแนบกับลมหายใจของเราอยู่เสมอ
ถ้าการนึกของเราพลาดไปจากลมขณะใดแล้วก็เท่ากับอาสนะของเราขาดและการปูอาสนะนั้นเขาจะต้องมีการปัดกวาดสถานที่ให้สะอาดเสียก่อนก็คือในชั้นแรกให้เราสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆและแรง ๆ
ปล่อยกลับออกมาก็เช่นเดียวกันสัก๒-๓ครั้ง
แล้วจึงค่อยๆผ่อนลมหายใจให้เบาลงทีละน้อย ๆจนพอดีที่เรา
จะจำได้แต่อย่าให้เกินพอดีไปหรือน้อยกว่าพอดีต่อจากนี้เราก็กำหนด
ลมหายใจพร้อมกับคำภาวนาว่า“พุทโธ ๆ” พระท่านก็จะเดินเข้าไปในบ้านของเรา
ถ้าใจของเราไปอยู่กับอารมณ์ภายนอกคือสัญญาอดีตอนาคตอันใดอันหนึ่งแล้วก็เท่ากับหนีพระออกไปจากบ้านของเราอย่างนี้ย่อมเป็นการผิดมรรยาท...ใช้ไม่ได้

๒. เมื่อพระท่านเข้ามาในบ้านของเราเรียบร้อยแล้วเราก็ต้องจัดหาน้ำหรืออาหารดีๆมาถวายและ

๓. สนทนากับท่านด้วยเรื่องที่ดีๆเรียกว่า“ธรรมปฏิสันถาร”
ส่วนอาหารที่ดีก็ได้แก่มโนสัญเจตนาหารผัสสาหาร
และวิญญาณาหารนี่เป็น“อามิสปฏิสันถาร”
อามิสปฏิสันถารนี้คือการปรับปรุงลมหายใจให้เป็นที่สบายของกาย และ จิตเช่นสังเกตดูว่าลมอย่างไหนเป็นคุณแก่ร่างกายลมอย่างไหนเป็นโทษแก่ร่างกายหายใจเข้าอย่างใดสะดวกหายใจออกอย่างใดสะดวกหายใจเข้าเร็ว-ออกเร็วสบายไหม ? หายใจเข้าช้า-ออกช้าสบายไหม ?
เราจะต้องทดลองชิมดูให้ดีนี่ก็เท่ากับว่าเป็นอาหารชนิดหนึ่ง

เพราะเหตุนี้การที่เรามาตั้งใจกำหนดอยู่ในลมหายใจจึงเรียกว่า“มโนสัญเจตนาหาร”แล้วเราก็ปรับปรุงลมหายใจจนรู้สึกว่าลมนั้นเรียบร้อยสะดวกสบาย
เมื่อสะดวกสบายอย่างนี้แล้วก็ย่อมจะเกิดคุณธรรมขึ้นในตนอย่างนี้จึงจะเรียกว่าเราต้อนรับท่านด้วยการบริโภคที่ดี
เมื่อท่านฉันอิ่มแล้วท่านก็จะต้องให้ศีลให้พรเราให้มีความสุขให้หายไปจากความทุกข์

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร






วิปัสสนานี้ มีผลอานิสงส์ใหญ่ยิ่งกว่าทาน ศีล พรหมวิหารภาวนา ย่อมทำให้ผู้เจริญนั้นมีสติไม่หลงเมื่อทำกาลกิริยา มีสุคติภพ คือ มนุษย์และโลกสวรรค์เป็นไปในเบื้องหน้า หากยังไม่บรรลุผลทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ถ้าอุปนิสัยมรรคผลมี ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นบรรลุมรรคผล ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้นั่นเทียว

อนึ่ง ยากนักที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะต้องตั้งอยู่ในธรรมของมนุษย์ คือ ศีล ๕ และกุศลกรรมบท ๑๐ จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชีวิตที่เป็นมานี้ ก็ได้ด้วยยากยิ่งนักเพราะอันตรายชีวิตทั้งภายใน ภายนอกมีมากต่างๆ การที่ได้ฟังธรรมของสัตตบุรุษคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ก็ได้ยากยิ่งนัก เพราะกาลที่ว่างเปล่าอยู่ ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนานนัก บางคาบ บางสมัย จึงจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสักคราวหนึ่ง เหตุนั้นเราทั้งหลายพึงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานี้เลย

หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล



ผู้ที่ถือศีล 5 ก็ให้มั่นใจเสียก่อนว่า ยังไงๆถ้าตั้งอยู่ในศีล 5 สมบูรณ์แล้วล่ะก็ เวลาล่วงลับดับไปก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์แน่นอน อันนี้เป็นเรื่องของพวกเราทั้งหลายที่ยึดถือเอาไว้เป็นเครื่องประดับของตนเอง คนมีศีลธรรมนี้ไปที่ไหนก็ไม่ตกต่ำ ไปบ้านใดเมืองใดไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว เพราะอะไร เพราะเป็นผู้ที่มีศีล เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในคุณงามความดีเป็นที่พึ่งของตน..
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป






“สอน..เราฝึกท่านให้เป็นพระนะ เราไม่ได้ฝึกท่านให้เป็นคน ถ้าท่านอยากจะเป็นพระผู้บริสุทธิ์แล้ว ท่านต้องอดทนละกิเลสทุกอย่างให้ได้”

..คำพูดขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ จึงเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้หลวงปู่สอนท่านยึดถือปฏิบัติ ท่านจึงตั้งปรารถนาให้กับตนเองว่า "ชาตินี้เราจะขอตายคาผ้าเหลือง ชาตินี้เราจะปฏิบัติให้ตนเองบริสุทธิ์เหมือนกับพ่อแม่ครูจารย์ชอบของเราให้ได้"..

หลวงปู่สอน อนุสาสโก พระอริยผู้ซ่อนกาย แห่งสำนักสงฆ์ผาล้อม อ.วังสะพุง จ.เลย





“เวลาเป็นของมีค่าสูง
อย่าประมาทเวลาอันเล็กน้อย
จงรีบทำความดีใส่ตนเสียโดยเร็ว
อย่าเห็นว่าเป็นของสายเสียแล้ว จะทำไม่ได้”

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร





“เวลาเป็นของมีค่าสูง
อย่าประมาทเวลาอันเล็กน้อย
จงรีบทำความดีใส่ตนเสียโดยเร็ว
อย่าเห็นว่าเป็นของสายเสียแล้ว จะทำไม่ได้”

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร





เวลากิเลสมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นทางกาย เกิดขึ้นทางวาจา เกิดขึ้นทางใจ รู้ทันมันเดี๋ยวนี้ มันก็ดับไปเดี๋ยวนี้แหละ ตัวสติมันปกครองอยู่เสมอ ถ้ามีสติอยู่ทุกเมื่อ มันบ่ได้คุบมันหละ ครั้นเกิดขึ้น รู้ทันมันก็ดับ รู้ทันก็ดับ รู้ทันก็ดับ คิดผิดก็ดับ คิดถูกก็ดับ พอไจไม่พอไจก็ดับลงทันทีที่ตัวสติ

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ




พระพุทธเจ้าสอนให้สันโดษในสิ่งเสพ
หรือในวัตถุบำเรอความสุข
แต่พระพุทธเจ้าสอนให้ไม่สันโดษในกุศลธรรม
หรือพูดให้คนยุคนี้เข้าใจง่ายขึ้นว่า
ให้ไม่สันโดษในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ประยุทธ์ ปยุตฺโต )


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO