นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 5:19 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ควบคุมกิเลส
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 25 ส.ค. 2018 4:32 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4539
"ผู้มีปัญญาแล้ว อย่าให้ความโกรธ
อย่าให้กิเลสควบคุมจิตใจ หากมีการพลั้งเผลอ
เราก็ให้อภัยตัวเอง ยกโทษให้ตัวเอง
เอาความผิดครั้งนี้ ไปปรับปรุง"

พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป





"จะเอาสุขทางโลก ก็ได้ทุกข์มาพร้อมกัน
เช่นคิดว่า สามี ภรรยา เป็นความสุข
ก็ได้รับทุกข์เพราะ สามี ภรรยา นั่นแหละ

อยากได้ลูก มีความสุขที่ได้ลูกหญิงลูกชาย
แต่ก็ได้รับทุกข์ เพราะลูกนั่นแหละ

จะเอาความรัก ก็ได้ความชังมาพร้อม
จะเอาอย่างเดียวไม่ได้ อยากได้หนึ่งแต่ได้สอง
เป็นกฎธรรมชาติอย่างนั้น"

หลวงปู่คำดี ปภาโส





ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
จะเจริญหรือเสื่อม
จะเกิดหรือจะดับว่า เป็นสิ่งที่เรา
"ไม่สามารถควบคุมบังคับได้"
สิ่งเดียวที่เราสามารถควบคุมบังคับได้
คือ “ใจของเรา”
.
ถ้าเราควบคุมบังคับใจของเรา
ให้.."ตั้งอยู่ในความสงบได้"
ใจของเราก็จะไม่เดือดร้อนกับ
เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ดี หรือ
เหตุการณ์ที่ไม่ดีก็ตาม
.
เพราะ..ใจไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น
"ใจเป็นเพียงผู้รับรู้"
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คือ ร่างกาย
แต่ร่างกายเขาก็ไม่มีการรับรู้
ร่างกายเขาเป็นเหมือนศาลาหลังนี้
เวลาที่ฝนตก ศาลาไม่รู้ว่าฝนตก
แต่คนที่อยู่ในศาลาคือ ..ใจ..
ที่รับรู้เรื่องของร่างกาย ..เป็นผู้รู้..
แต่ไม่รับรู้ผลกระทบจาก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
.
เหมือนคนที่นั่งในศาลา ก็ไม่รับรู้ถึง
ความเปียก.. เหมือนหลังคาศาลา
แต่หลังคาของศาลา
เขาไม่เดือดร้อนกับฝนตก
ปล่อยฝนตกไป เปียกก็เปียกไป
.
คนที่อยู่ในศาลา ถ้าไม่ต้องการ
ให้ฝนตก ต้องการให้ฝนหยุด
"ก็จะเดือดร้อนใจขึ้นมา"
แต่ถ้าไมได้ต้องการ..
ฝนจะตกก็ปล่อยตกไป
เพราะว่าไปห้ามเขาไม่ได้
"ใจก็จะไม่เดือดร้อน".
.......................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 20 /7/ 2556
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






" ถ้าองค์ไหนดำเนินตามรอยของผมจนชำนิชำนาญมั่นคง องค์นั้นย่อมเจริญก้าวหน้าอย่างน้อยก็คงตัวอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าองค์ไหนไม่ดำเนินตามรอยของผม องค์นั้นย่อมอยู่ไม่ทนนาน ต้องเสื่อมหรือสึกไป

ผมเองหากมีภาระมากยุ่งกับหมู่คณะการประกอบความเพียรไม่สม่ำเสมอ เพ่งพิจารณา ในกายคตาสติไม่ละเอียด จิตใจก็ไม่ค่อยจะปลอดโปร่ง

การพิจารณาอย่าให้จิตหนีออกนอกกาย อันนี้จะชัดเจนแจ่มแจ้งหรือไม่ก็ อย่าได้ท้อถอยเพ่งพิจารณาอยู่ ณ ที่นี่ละจะพิจารณาให้เป็นอสุภหรือให้เห็นเป็นธาตุก็ได้ หรือจะพิจารณาให้เห็นเป็นขันธ์หรือให้ เห็นเป็นไตรลักษณ์ได้ทั้งนั้น แต่ให้พิจารณาเพ่งลงเฉพาะเรื่องนั้นจริงๆ ตลอดอิริยาบถทั้งสี่

แล้วก็มิใช่ว่าเห็นแล้วก็จะหยุดเสียเมื่อไร จะเห็นชัดหรือไม่ชัดก็พิจารณาอยู่อย่างนั้นแหละ เมื่อพิจารณาอันใดชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยใจตนเองแล้ว สิ่งอื่นนอกนี้จะมา ปรากฏชัดในทีเดียวกันดอก "

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ว่า เช้าวันหนึ่งมีโยมพาหลานวัย 3 ขวบมาถวายอาหารให้ท่าน เด็กเห็นเงาะในฝาบาตรของหลวงปู่ก็อยากกิน หลวงปู่รู้ว่าเด็กคิดอะไรอยู่ จึงเรียกมานั่งใกล้ๆ แล้วถามว่า "อยากกินเงาะไหม" เด็กตอบว่า "อยากกิน" หลวงปู่จึงบอกว่า "มาแลกกัน ถ้าหนูนั่งสมาธิให้หลวงปู่เห็น หลวงปู่จะให้เงาะทั้งฝาบาตรเลย"

เด็กถามว่านั่งสมาธิทำอย่างไร หลวงปู่แนะนำว่าให้นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย พร้อมกับหลับตาและภาวนาไปด้วย เด็กถามต่อว่าภาวนาทำอย่างไร หลวงปู่แนะนำเป็นภาษาอีสานว่า "ให้ภาวนาว่า หมากเงาะ หมากเงาะ"

ด้วยความอยากกินเงาะ เด็กจึงนั่งสมาธิและภาวนาว่า "หมากเงาะๆๆ" ทีแรกเด็กภาวนาพลางเลียริมฝีปากไปพลาง เพราะอยากกินเงาะมาก แต่ไม่นานจิตก็เป็นสมาธิ รู้สึกสบาย สงบ เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง

มาลืมตาอีกทีเมื่อได้ยินเสียงระฆังดังขึ้น เห็นแต่หลวงปู่นั่งสมาธิอยู่ ไม่มีใครในศาลาเลย ผู้คนหายไปหมด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว เสียงระฆังดังขึ้นเพื่อเรียกพระเณรมากวาดลานวัด แสดงว่าเด็กนั่งสมาธิเป็นเวลานานถึง 8 ชั่วโมง

เด็กอยากกินเงาะก็จริง แต่หลวงปู่ก็รู้ว่าความอยากนั้นสามารถส่งเสริมให้เกิดสมาธิได้ หากใช้ให้เป็น เด็กไม่จำเป็นต้องลดละความอยากเสียก่อน จึงจะภาวนาได้ ขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องภาวนาว่า "พุท-โธ" อย่างที่นิยมทำกันก็ได้ ภาวนาว่า "หมากเงาะ" ก็ใช้ได้เช่นกัน

___________

เรื่องเล่าหลวงปู่ขาว อนาลโย : เขียนโดย พระไพศาล วิสาโล









เราอย่าไปหลงไปทางอภินิหาร
อย่าไปหลงไปทางไสยศาสตร์นะ
ต้องมาทางวิทยาศาสตร์ มาทางศาสนาพุทธ
โยมตั้งใจน่ะ ไม่ต้องให้หลวงพ่อเคาะหัวเพื่อให้สอบติดเนาะ

การเรียนหนังสือนี่คือ การไปทำความเข้าใจในข้อนั้นๆ น่ะ ถ้าโยมไม่เข้าใจไปท่องจำน่ะ ถึงเวลาสอบมันก็ลืม มันก็เครียด ต้องเข้าใจ ทุกอย่างต้องเข้าใจ เข้าใจแล้วก็ตอบปัญหาได้ ถึงแม้ข้อสอบมันจะหลอกมายังไง เราเข้าใจก็ตอบได้ เรียนหนังสือให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็ถามครู

เดี๋ยวนี้นะอินเทอร์เน็ตน่ะ อยากรู้อะไรส่วนใหญ่ก็รู้ได้ โยมต้องอดทนอย่าไปดูบันเทิงอย่าไปดูอะไรๆ น่ะ เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นน่ะ มันชอบไหลลงที่ต่ำ

ความสวยความหล่อมันช่วยเราไม่ได้นะ
มันต้องความรู้ ความสามารถ ความฉลาด ความอดความทน ความขยัน มันถึงช่วยเหลือได้
ใจของเราต้องสว่างไสว ไม่ให้ทุกอย่างครอบงำได้นะ ต้องเดินตามพระพุทธเจ้า

ทุกคนต้องเปรียบเสมือนต้นไม้อยู่กลางแจ้งน่ะ ดินดี ให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้แสงแดด ให้อากาศ ให้ออกซิเจน
จิตใจต้องอย่าให้มีขี้เกียจขี้คร้าน ถ้าความขี้เกียจขี้คร้านเหมือนหญ้าที่ปลูกอยู่ใต้ต้นไทรน่ะ คอยตั้งแต่จะตาย เพราะออกซิเจนไม่มี แสงแดดไม่มีเนาะ

โยมต้องเชื่อมั่นในตัวเองโยม อย่าไปคิดว่าโยมยังเด็กอยู่...มันไม่ใช่ หัวใจของเราทุกคนมันไม่ใช่เด็ก ไม่ใช่ผู้ใหญ่ สามเณรครั้งพุทธกาล เค้า ๗ ขวบ เค้าได้บรรลุพระอรหันต์นะ

(เวลา ๒๑.๐๐ น. เสียงระฆังดังขึ้น)
หลวงพ่อ : นั่นเห็นมั้ย...กาลเวลามันผ่านไป

__________________________________

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม
วันเสาร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๐


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO