นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 25 เม.ย. 2024 11:53 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ให้เพียรดูจิตใจ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 29 ก.ค. 2018 8:52 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4539
"ทุกคนมีอดีต
แต่อย่าไปทุกข์กับอดีต
ทุกข์ไป มันก็แก้ไม่ได้
ของมันผ่านไปแล้ว
ไม่มีประโยชน์

อดีตที่ผิดที่พลาด
ที่เสีย ที่หาย มันทำให้เรามีวันนี้
มีเดี๋ยวนี้ จะไปแก้มันทำไม

โยมจะเป็นอะไรก็ตาม
เราทุกคนล้วนมีกรรม ปรุงให้เกิด
อย่าไปแก้ตอนที่มันส่งมาให้เกิด
ให้แก้จากวันนี้ไป อย่าคิดชั่ว อย่าทำชั่ว
อย่าพูดชั่ว อย่าหนีปัญหา"

หลวงปู่หา สุภโร





"ให้เพียรดูจิตใจ
ถ้าบาปครอบงำก็รู้
ถ้าจิตผ่องใสก็รู้
ถ้าใจจะเผลอ สติก็รู้
ก็ระลึกได้

จะโกรธจะว่าใคร
สติก็จะคอยเตือน
คอยห้ามและไม่ยึด
อโหสิกรรมให้เค้าไป
บาปกิเลส ก็จะเบาบาง

ใจเศร้าหมองขุ่นมัว
ก็คือทุกข์ คือบาป
ใจผ่องใสเบิกบาน ก็คือบุญ"

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ






"เมื่อมีจงให้ หากอยากได้จงทำก่อน"
หลวงปู่จันทร์ สิริจนฺโท





“การทำจริง ย่อมได้รับผลจริงอย่างไม่ต้องสงสัย สำคัญแต่ว่า ทุกคนจะยอม “ทำจริง” หรือไม่เท่านั้น พระพุทธเจ้าสลบไปกี่ครั้ง ท่านพระอาจารย์มั่นก็สลบไปกี่ครั้ง ประวัติครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ภาวนาสละตาย ซวนซบสลบไปแต่ละองค์ องค์ละกี่ครั้ง

ผู้ที่มารู้จัก มากราบไหว้ในภายหลังก็เห็นแต่ตอนที่ท่าน “ผ่าน” แดนตายกันมาแล้วจะมีกี่คนที่เข้าใจถึงคำที่ท่านกล่าวสั้น ๆ กันว่า ต้องทำความพากความเพียรอย่างเต็มที่ อย่างอุกฤษฎ์ ไม่ใช่ทำแบบย๊อก ๆ แย็ก ๆ แล้วก็ฝันถึงสวรรค์ นิพพานเอา ฝันก็ได้แค่ฝัน ได้แค่เงา คว้าได้แต่เงา ที่จะเป็นสมบัติของตนอย่างเต็มภาคภูมินั้นอย่าได้ฝันไป

โอวาทธรรม:พระคุณเจ้าองค์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน อ.วังสะพุง จ.เลย





“ พยายามทำจิตให้เป็นปกติสบาย ไม่ฟุ้งเฟ้อซ่านถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วภาวนาตั้งสติให้อยู่ในอารมณ์เดียว พอสมาธิเกิดจะเห็นแสงสว่างเหมือนแสงไฟฟ้า พิจารณาใช้ปัญญาวิปัสสนาต่อไป ถ้าหากภาวนาเท่าไรๆ จิตไม่สงบลงได้ ท่านให้ใช้ปัญญาเลยทีเดียว พิจารณาธาตุขันธ์ปัญจกกรรมฐาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หรืออการ ๓๒ หรืออะไรๆ ก็ได้ เช่น นรกสวรรค์ พุทธานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นต้น คิดนึกไปไตร่ตรองไปใจมันจะสงบลงเอง เมื่อได้ใช้ปัญญาชั่วขณะหนึ่งและจิตสงบ ก็ให้พักอยู่ในสมาธินั้นสักครู่หนึ่ง คือภาวนาเรื่อยๆ ไป ให้จิตเป็นสมาธิมากๆ ขึ้น แล้วจึงหวนกับมาใช้ปัญญาต่อไป ท่านเปรียบเหมือนกรรมกรทำงานแบกหาม เขาเรื่อมทำงานสองโมงเช้า พอเที่ยงเขาก็หยุดพักจริงๆ บ่ายโมงเขาก็เริ่มทำงานใหม่ จนบ่ายสี่โมงเย็นก็หยุดเลิกงาน คือทำงานเหนื่อยแล้วก็ต้องหยุดพักผ่อนชั่วคราว จึงทำงานต่อไปใหม่ การปฏิบัติทางจิตต้องทำอย่างนี้ ต้องให้จิตมีเวลาได้พักผ่อนบ้าง ขืนใช้ปัญญาตะบันไปไม่ถูกหลัก ขืนสงบเป็นสมาธิเสียเรื่อยก็ไม่มีประโยชน์ มันเหมือนกับสมาธิหัวหลักหัวตอ เป็นเสาไม้ตั้งโด่ไมมีประโยชน์อะไรเลย หรือเวลาที่จิตสงบเกิดนิมิตเห็นโน่นเห็นนี่ มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ให้พิจารณาสังขารว่าเป็นปฏิกูล ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ดูๆ ไปจนจิตละคลายความยึดมั่นถือมั่น ว่า เป็นอนัตตา ตัวตน สัตว์ บุคคล หญิง ชาย นั่นของเราของเขา พิจารณาจนเกิดเบื่อหน่ายในสังขารนี้ ให้ท่องคาถา ๒ บทนี้ไว้ให้ขึ้นใจ คือ...

สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธัมมา อนัตตา ติ.

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร





ผู้ที่ทำบุญ คือผู้มีบุญ
ผู้มีบุญ จึงจะได้ทำบุญ
บุญทำให้เกิดความสุข
บุญทำให้เกิดความสบายกาย
บุญทำให้เกิดความสบายใจ
ผู้มีบุญจึงเป็นผู้มีความสุข
ทั้งชาตินี้และชาติหน้า

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร






...จึงควรเจริญเมตตาไว้ให้มากๆ
"อย่าไปมีเวรมีกรรมกับใคร"

.
เพราะเมื่อมีแล้ว
จะตามข้ามภพข้ามชาติ
ไปไม่รู้จักจบจักสิ้น
ตายจากกันชาตินี้แล้ว
ชาติหน้ามาเจอกันอีก
ก็ต้อง..มีเวรมีกรรมกันอีก

.
ลองสังเกตดู คนบางคน
เราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย
แต่พอเห็นหน้าเห็นตาขึ้นมา
ก็เกิดมีความรู้สึก..
"เกลียดชังขึ้นมา"

.
ทั้งๆที่..ยังไม่รู้เลยว่า
เป็นใคร มาจากไหน
แต่ใจของเราลึกๆนั้น
รู้แล้วว่าเป็นเวรกันมา
จึงมีความรู้สึกไม่ชอบหน้ากัน

.
นี่แหละคือเรื่องของเวรของกรรม
"มันฝังลึกอยู่ ในจิตในใจ"
ไม่ต้องมีใครมาบอกว่า
เคยทำอะไรกันมาในอดีต
แต่พอมาเห็นกันปั๊บ ก็จะเข้าถึงกัน
ในเรื่อง ของเวรของกรรม

.
"จึงไม่ควรจองเวรจองกรรมกัน"
แต่..ควรเลิกจองเวรจองกรรมกัน.

....................................
.
คัดลอก(กำลังใจ 19) กัณฑ์217
ธรรมะบนเขา 26/6/2548
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรนี






"พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลพิเศษ"

ครั้งหนึ่งมีพระอาตันตุกะไปจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง จะเป็นด้วยสำคัญผิดในความรู้ระดับปริญญาของตนเอง หรือมีมิจฉาทิฏฐิมาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ทราบ แต่ละวันหลวงพี่เลยทำความเพียรด้วยการวิพากษ์ วิจารณ์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเรื่อย

พระพุทธเจ้ามีจริงเรอะ? ที่สอนๆ เล่าๆ กันมาว่า ปฏิบัติอย่างนั้นได้ผลอย่างนี้ ครูบาอาจารย์องค์นั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรทั้งหลายน่ะ..ไม่เชื่อหรอก

หลวงปู่ท่านได้ยินหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ วันหนึ่งลูกศิษย์ลูกหาก็ต้องสะดุ้ง เมื่อท่านกัดฟันเทศน์เสียงเข้ม เปรี้ยงปร้างออกมาว่า

"พระพุทธเจ้าน่ะ..พระองค์เป็นบุคคลพิเศษ คุณวิเศษของพระองค์เกิดจากการบำเพ็ญบารมีมานับอสงไขย เป็นคุณวิเศษเฉพาะ..ที่ความรู้ความสามารถของคนธรรมดาเข้าใจไม่ได้หรอก"

ลงท้ายหลวงปู่ก็สรุปเสียงหนักแน่น

"แกไม่เชื่อก็แล้วแต่แกสิ"

"คำโบราณท่านว่า..เสียงพระพุทธเจ้านั้นเป็นเสียงเหมือนนกการเวก ว่าอย่างนั้น..คือว่าไพเราะที่สุด ไม่เป็นเสียงกระแทกแดกดันเหมือนคนเรา คือ ไม่มีความโกรธออกมาในสำเนียงเสียงภาษา

และพระวรกายของพระพุทธเจ้าก็เป็นของวิเศษ เรียกว่า ทุกอย่าง ลูกกะตาก็เรียกว่า ตาดี มองได้ไกล ไม่เหมือนคนเราสมัยนี้ สมัยนี้สายตาสั้น สายตายาว สวมแว่นจึงเห็น ไม่สวมแว่นไม่เห็น พระพุทธเจ้าอายุ ๘๐ ปี ท่านไม่ได้สวมแว่น ไกลๆ ที่คนเรามองไม่เห็น พระองค์ก็มองเห็น

ตาท่านก็ดี โสตหูท่านก็ดี คือว่า ฟังเสียงได้ชัดเจน พระพุทธเจ้านั้นใครจะพูดยังไงท่านก็ได้ยิน นอกจากหูธรรมดาแล้วท่านยังมีหูทิพย์ เทวดาพูดจาปราศรัยกันที่ไหน พญาอินทร์พญาพรหมพูดจาที่ไหน พระสงฆ์สาวกพูดจาอย่างไร

ท่านได้ยินหมด เรียกว่า หูทิพย์ หูทิพย์นั้นเรียกว่า เป็นหูพิเศษ

ไม่ออกเสียงท่านก็ฟังออก มันได้ยินอยู่ภายใน

ดังนั้น คนสมัยพระพุทธเจ้า ได้เห็นพระพุทธเจ้าจึงพาให้ศรัทธาแก่กล้า มีความสามารถอาจหาญในการบำเพ็ญบุญบารมีต่างๆ ให้มากขึ้น ตัวอย่างใกล้ๆ ก็คือว่า "หลวงปู่มั่น" หรือท่านอาจารย์มั่นซึ่งเป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน"

"พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร"
วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่







#นี้หรือนักหวังธรรมนักปฏิบัติธรรมน่ะ!!
การภาวนามันเป็นปัตจัตตังรู้ไหม?
มันเป็นของเฉพาะตนรู้เฉพาะตนสิ
เข้าใจหรือไม่เข้าใจ
ตัวเรารู้ว่าเราโกหกตัวเองหรือเปล่า?
พอฟังแล้วมันบอกตัวเองรู้ มันรู้จริงไหม?
ไม่ใช่ว่าทำตัวเองเป็นผู้รู้เพื่อให้คนอื่นดูแล้วว่า...
โอ้...คนนี้เขารู้จริงหนอ!! จะให้เขาคิดอย่างนั้นหรอ?
ไม่อายที่นั่งหรอ ไม่อายลมหายใจ
ไม่อายไฟฟ้าบ้างหรอ?
อายบ้างสิเป็นมนุษย์แท้ๆว่าเป็นสัตว์ใจสูง
ยังหลอกลวงตัวเองหลวกลวงคนอื่นอีก

*******************************************

#เราทำติดต่อกันอยู่หรือไม่?
มีสติพิจารณานึกคิดได้ถูกต้องไหม?
ไม่ใช่ว่าเอากายตัวเองมาตั้งทนโท่ไว้เหมือนกับต่อไม้ ส่วนจิตส่วนใจมันไปอยู่ไหน ?
นั้นมันไม่ใช่ผู้ฟัง มันนักโกหก นักหลอกลวง
มันคิดถึงข้างนอกออกนอกโลก ออกนอกวัด
มันไปอยู่กับอะไรหมดล่ะ
จิตใจของเราต้องอยู่กับตัวเราเองสิ
เรานั่งอยู่สภาพไหน อยู่ลักษณะไหน
สติสัมปชัญญะอยู่พร้อมไหม ?
เมือสติสัมปชัญญะอยู่พร้อมกับตัวเรา มันสงบตรงนี้
ตัวสมาธิก็เกิดอยู่ตรงนี้ เรารู้ว่ามันไม่เคลื่อนไปไหน
เราพิจารณาเข้าไปสู่ร่างกาย มันก็เป็นสมาธิ
มันก็เกิดปัญญา

#การรักษาใจมั่นเรียกว่าสมาธิ
#การรักษาให้รอบรู้ในกายสังขารคือองค์ปัญญา
การไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพยไม่ประพฤติในกาม วาจาไม่ให้พูดเท็จพูดส่อเสียด คำหยาบ เฟ้อเจ้อ ใจไม่ละโมบปองร้าย ให้เห็นชอบตามคลองธรรม ให้เราปฏิบัติตรงนี้ อยู่ในวัดภายในเรานี้หมด และจะไปหาภาวนาที่ไหน?

...จิตมันเป็นของเหม็น ร่างกายก็เป็นของเหม็น เบียดเบียนกันจนเน่าเฟะ...แต่ก็ดีแล้วล่ะ!!
ถ้าเราเห็นของเน่าเฟะเราก็นำมาพิจารณาสิ
ให้มันเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาสิ จะมาหลงมันทำไมให้เป็นตัวเป็นตนล่ะ และเมือไหร่จะละ จะปล่อย
จะวางกันล่ะ"นักปฏิบัติ"

#นี้หรือนักหวังธรรมนักปฏิบัติธรรมน่ะ!!
ปฏิบัติจริงไหม? หรือหลอกลวงตัวเอง ไม่ใช่หลอกหลวงตัวเองน่ะ ไปหลอกลวงคนอื่นโดยปริยายอีก ข้อไหนล่ะ ข้อหลอกลวงน่ะ..... มุสาใช่ไหม ?

ธรรมะโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้ามันเป็นนามธรรม มันละเอียดมาก มันมหัศจรรย์มาก มันอยู่ภายในโน้น แล้วมาถือเอาเป็นตัวเป็นตนอีก เห็นไหม? "อทินนาทาน"เห็นมั้ยล่ะสุดท้ายมันก็เละแทะเน่าเปื่อย

ธาตุมันเป็นไปตามธาตุ
ส่วนตัวเดียวที่เหลือคือตัวผู้รู้มันไม่ตาย
มันไม่สลายเข้าใจมั้ยอย่างนี้น่ะ.....
ที่ตัวสลายคือตัวธาตุ

โอวาทคำสอนหลวงปู่สวาท ปัญญาธโร วัดโปร่งจันทร์ อ.คิชฌกูฏ จ.จันทบุรี






มีครั้งหนึ่งได้มีคณะแม่ชีและชีพราหมณ์(ผู้บวชถือศีล 8 จำนวนหนึ่งพากันมากราบนมัสการหลวงปู่ที่กุฎีเก่าของหลวงปู่อ่อนศรี ฐานวโร วัดถ้ำประทุน ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี (เวลาหลวงปู่มีกิจนิมนต์แถวชลบุรี, ระยองหรือเขต กทม.หลวงปู่จะมีเมตตาแวะมาพักให้ลูกศิษย์ลูกหาได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการกับองค์ท่านเสมอๆครับ) พอคณะแม่ชีและชีพราหมณ์ทั้งหลายเข้ามากราบนมัสการท่านที่ด้านในกุฎีแล้ว หลวงปู่จึงเมตตาทักทายไปว่า....

หลวงปู่ : โฮ้...พากันมาแต่ไส่น้อ ? คือพากันใส่ชุดขาวงามคักแท้ ข้างในสิงามจังซี่บ่น้อ ?

คณะแม่ชี : ซุ่มลูกหลานบวชอยู่วัด.....(ผู้เล่าจำชื่อวัดไม่ได้)พอดีมื้อนี้ฮู้ว่าปู่มาพักอยู่นี้ กะเลยชวนกันมากราบคาราวะปู่ข้าน้อย

หลวงปู่ : บวชมาดนล่ะบ่ ชุดคือยังขาวงามยุ ?

คณะแม่ชี : บ่กี่พรรษาดอกข้าน้อย

หลวงปู่ : อืม.....สาธุนำเด้อ
(คณะแม่ชีและญาติธรรมที่มากราบหลวงปู่ก็ได้สนทนากันกับหลวงปู่สักพัก ท่านก็นิ่งเงียบสักครู่) แล้วท่านก็เอ่ยขึ้นมาว่า...เสื้อผ้าภายนอกคนเฮานิ
เวลามันเปื้อน เวลามันสกปรกมากะยังฮู้จักพากันเอาไปซักฟอกยุเด้เนาะ ? ผงซักฟอกยี่ห้อหยังดีๆ น้ำยาซักอิหยังคักๆ กะยังพากันไปหาซื้อมาใช้ยุแม่นบ่ ? กะย้อนว่าอยากให้เสื้อผ้ามันขาว มันงาม บ่อยากให้ไผ่มองว่าเฮาสกปรกเด้เนาะ

คณะแม่ชี :แมนยูข้าน้อย

หลวงปู่ : ซักฟอกข้างนอกให้มันสะอาดแล้ว กะอย่าลืมพากันซักฟอกข้างในเจ้าของนำแน้เด้อ หมั่นซักหมั่นฟอกแน้ อย่าให้มันหมักหมม ทับทมคักหลาย มันหมักหมมมาจักภพจักชาติแล้ว บ่พากันเหม็นแน้บ่ ?

คณะแม่ชี : กราบสาธุๆ ลูกหลานสิจำไว้ข้าน้อย

หลวงปู่ : แล้วฮู้บ่ล่ะ ตัวซักตัวฟอกจิตใจเจ้าของน่ะ คืออิหยัง ?..........กะตัวพุทโธนั้นเด้ พากันหาให้เห็นเด้อ ตัวพุทโธน่ะ...ว่ามันเป็นตัวแบบได่ ต้องหาตัวพุทโธให้มันเห็นก่อนเด้ มันจังสิเอาไปซักไปฟอกกิเลสเจ้าของได่น่ะ

คณะแม่ชี : สาธุ ลูกหลานสิจำไว้ข้าน้อย

หลวงปู่ : อย่าพุทโธแต่ปากซื่อๆได่ 555 (หลวงปู่ขำเบาๆ) พากันไปหาให้เห็นเด้อ หาเห็นแล้วกะมาบอกกันแน้เด้อ ว่าเป็นตัวแบบได่ 555(หลวงปู่ขำเบาๆอีกรอบ)

สาธุ สาธุ สาธุ น้อมกราบในอุบายสอนธรรมหลวงปู่สมภาร ปัญญาวโร วัดป่าวิเวกพัฒนาราม อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ (พรรษาสูงสุดใน จ.บึงกาฬ ฝ่าย ธ.)







“เครื่องวัดคนอยู่ที่ความประพฤติ”

ให้รู้จักประมาณก็ให้รู้จักความพอดี มากเกินไปก็ไม่ดี น้อยเกินไปก็ไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องของปัจจัย ๔ ที่เราใช้ดูแลเลี้ยงดูร่างกาย อาหารกินมากเกินไปก็เกิดโทษ กินน้อยเกินไปก็เกิดโทษ ต้องกินให้มันพอดี กินมากเกินไปก็เกิดน้ำหนักเกิน เดี๋ยวก็โรคภัยไข้เจ็บเข้ามา ถ้ากินน้อยเกินไปซูบผอมขาดสารอาหารนี้ก็เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้เหมือนกัน ก็ต้องรู้จักความพอดี เหมือนใส่รองเท้านี่ รองเท้าก็ต้องขนาดพอดีใช่ไหม ถ้าใหญ่เกินไปก็หลวมใส่ไม่สบาย ถ้าเล็กเกินไปใส่ก็คับก็เจ็บเท้า ต้องหารองเท้าที่ขนาดพอดี เสื้อผ้าก็เหมือนกัน ถ้าใช้เสื้อผ้าก็ต้องรู้จักปริมาณความพอดีว่าเราต้องการมีกี่ชุดกัน ร่างกายเรามีร่างกายร่างเดียว เราต้องการมีเสื้อผ้าไว้สักกี่ชุดถึงจะพอ มีมากเกินไปก็จะทำให้เราเสียเงินเสียทองไปเปล่าประโยชน์ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรมากขึ้นมา เพราะหน้าที่ของเสื้อผ้าก็มีไว้เพื่อหุ้มห่อร่างกายอันนี้เท่านั้นเอง ปกปิดร่างกายป้องกันร่างกาย จะเป็นเสื้อผ้าราคาแพงหรือราคาถูกมันก็ทำหน้าที่ได้เหมือนกัน ทำไมต้องไปเสียเงินเยอะๆ เพื่อมาเอาเสื้อผ้าที่ทำหน้าที่ที่เสื้อผ้าราคาถูกก็ทำได้เหมือนกัน เช่นเสื้อตัวละ ๒๐๐ กับเสื้อตัวละ ๒,๐๐๐ มันต่างกันตรงไหน มันก็ทำหน้าที่ได้เท่ากัน มันปกปิดร่างกายหรือหุ้มห่อร่างกายปกป้องร่างกายได้เหมือนกัน

นี่เราต้องรู้จักประมาณว่าเราควรจะใช้แบบไหน อย่าไปหลงกับรสนิยมของสังคม เสื้อผ้าบางทีมาจากโรงงานอันเดียวกัน เพียงแต่อันหนึ่งมีตราอันหนึ่งไม่มีตรา พอมีตราก็ราคาแพงพอไม่มีตราขายตามตลาดนัดก็ราคาถูก แต่มันก็เหมือนกัน เอามาเปรียบเทียบกันมันก็เหมือนกัน เรื่องอะไรเราต้องไปเสียเงินมากๆ บางทีก็ต้องมีรสนิยม ถ้าใส่เสื้อถ้าไม่มีตราแล้วรู้สึกมันเชยไม่มีหน้าไม่มีตา กระเป๋าถ้าไม่มีตราแล้วใส่แล้วมันรู้สึกมันไม่มีหน้ามีตา กระเป๋าเขามีไว้ใช้ใส่ของไม่ใช่เหรอ มันไม่จำเป็นจะต้องมาเชิดหน้าชูตาเราหรอก กระเป๋าเขามีไว้เพื่อใส่ของ ให้เรารู้จักประมาณ รู้จักเหตุผลของการใช้สิ่งต่างๆ ว่าเราใช้เพื่ออะไร ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป ให้พอดีกับเเหตุกับผลที่เราต้องการมัน แล้วชีวิตเราจะสบายไม่ถูกกดดัน นี่ทุกวันนี้เราถูกกดดันด้วยรสนิยมของสังคม สังคมเขาเป็นคนวัดเรา วัดตัวเราว่าดีหรือไม่ดี เขาวัดอยู่ที่กระเป๋าที่เราใช้ วัดที่รองเท้าที่เราใส่ วัดที่รถที่เราขับ ความจริงนี่ไม่ใช่เป็นเครื่องวัดคน เครื่องวัดคนอยู่ที่ความประพฤติ ทางกายทางวาจา ว่ามีศีลมีสัจย์หรือเปล่า ว่าทำบาปหรือทำบุญ อันนี้แหละคือเครื่องวัดคนไม่ใช่เสื้อผ้า พระถึงไม่จำเป็นจะต้องมีเสื้อผ้าเหมือนญาติโยม พระสมัยพุทธกาลนี้ผ้าทำมาจากผ้าห่อศพ ผ้าที่ไม่มีใครต้องการแล้ว เพราะเสื้อผ้าไม่ใช่เป็นเครื่องวัดตัวพระ เครื่องวัดตัวพระก็คือตัวศีลธรรมที่มีอยู่ในใจของพระ พระที่มีศีลธรรมมากก็มีคุณค่ามาก พระพุทธเจ้านี่มีคุณค่ามากที่สุด รองลงมาก็พระอรหันตสาวก รองลงมาก็พระอนาคามี พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ มีอยู่ ๔ ขั้น เพราะมีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน นี่ก็คือเรื่องของการรู้จักประมาณ รู้จักความพอดี อย่ามีมากเกินไป อย่ามีน้อยเกินไป ร่างกายนี้ต้องมีปัจจัย ๔ ที่เหมาะสมกับฐานะของแต่ละคน.

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




"..ฝึกตนเองให้อยู่กับร้อนก็เป็น ให้อยู่กับเย็นก็ได้ ถ้าอยากสบาย ต้องอยู่กับทุกข์ให้เป็น เอาทุกข์เวทนานั้นแหละ มาฝึกฝนจิตใจของตนเองให้เข้มแข็ง.."
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม





การเอาจิตมาดูกาย พิจารณากาย
ทำไป เราเหมือนนักวิทยาศาสตร์น่ะ
มันเป็นการพิสูจน์เรื่องเร้นลับของธรรมชาติที่แท้จริง
นักวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ไม่ได้
เพราะเขาพิสูจน์วัตถุ เรานี่พิสูจน์ด้านจิตเลย

เพราะมนุษย์เราค้นหาโลกเนี่ย เขาก็สันนิษฐานว่าเป็นอย่างโน้นมั่งอย่างนี้มั่ง เป็นการสันนิษฐานหมดเลย ก็เรียกว่าเป็นการค้นหาความจริงนะ แต่จริงแบบสันนิฐาน ก็ค้นไปค้นมา ขุดไปขุดมา แต่เค้าคิดว่านั่นคือโบราณที่สุดแล้ว ซากมนุษย์ ซากอะไรก็แล้วแต่ ซากฟอสซิล ซากไดโนเสาร์

แต่เชื่อมั้ยว่าจิตเราเนี่ย เป็นของโบราณที่สุด มันอยู่หลายล้าน ๆ ปี มันยังไม่ดับ นั่นคือวัตถุชิ้นเดียวที่โบราณที่สุด แล้วก็บันทึกทุกอย่างไว้ทั้งหมด มันเกิดแต่ละชาติ ๆ มันเก็บอยู่ในนั้นหมด แต่เรานี่ยังคีย์ข้อมูลเข้าหาไม่ได้ เพราะอะไร จิตเราไม่นิ่ง จูนไม่ได้ มันก็เลยไม่รู้ข้อมูล ถ้าเราจะค้นหาข้อมูลของเรานี่ ทำจิตให้นิ่ง หมดกิเลสก่อนแล้วค่อยค้นหาข้อมูล ว่าเราเกิดมากี่ชาติ มันเป็นแฟ้มประวัติอยู่ในนั้นหมด มันเป็นของโบราณกว่าไดโนเสาร์ เต่าล้านปีอีกนะ

ในสมัยพุทธกาลมีพระภิกษุองค์หนึ่งระลึกชาติห้าร้อยกัปในคืนเดียว มันจะเป็นไปได้เชียวหรือ ถามว่ากัปนึงเท่าไหร่ กัปนึงประมาณปีไม่ได้ ถ้าเราสร้างกำแพงขึ้นมาสูง ๑๖ กิโล ยาว ๑๖ กิโล กว้าง ๑๖ กิโล ๑๐๐ ปีเอาเมล็ดผักกาดไปโยนทีนึง จนกว่าจะเต็ม นั่นล่ะกัปนึง อันนี้ ๕๐๐ กัป คืนเดียว ที่เค้าระลึกชาติได้เพราะเค้าค้นหาประวิติตัวเอง ที่จิตเรา เราก็ไปค้นดู เราเกิดเป็นใครอยู่ที่ไหน แล้วตายด้วยโรคอะไร เราคงจะสังเวชตัวเองนะ เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวตาย ๆ มาสุดที่ชาติปัจจุบัน น่าสมเพศเหลือเกิน เหนื่อยเหลือเกิน น่ะ แสดงว่าจิตของเราคิดไปไม่หยุดมาเป็นล้าน ๆ ปีมาแล้วนะ จนกระทั่งมาพิจารณาตัวเนี่ย มาบ่นว่าช้าเหลือเกิน โอ้ย เร็วแล้ว ๆ เราสร้างมาเยอะ มันสะสม นับไม่ถ้วน

เบื่อหรือยังโยม ไม่รู้จะเอาอะไรนะ มีแต่เนื้อหนังเน่า ๆ ทุกชาติเลย ไม่รู้ว่าหลงอะไรก็ไม่รู้ หลงขี้หลงเยี่ยวอยู่นี่แหละ นึกไปนึกมาก็ไม่มีสาระอะไร เหนื่อยเปล่า ๆ
ดูซิโยม เกิดมาสู้ชีวิตทุกอย่าง หากิน ตั้งแต่เด็ก โตมา เด็กก็เหนื่อยแบบเด็ก โตมาก็มีลูก มีเต้า แล้วสุดท้ายก็ตาย หมดเลย แล้วก็ได้อะไร ไม่ได้อะไร เหนื่อยน่ะ มันอะไร มันละครน่ะ โลกคือโรงละครนะ พวกเราก็แสดงละครกันไป เหนื่อยนะ พอเราเห็นเองเราก็เบื่อ เราก็ลา พระอรหันต์ทั้งหลายท่านก็ลา มันเบื่อนะ เพราะแสดงไปมันไม่จบเลย ก็พอโยมตายไปโยมก็ไปเกิดในท้องแม่ เกิดมาอีกโห มันเหนื่อยนะ ก็ได้ก้อนเนื้อก้อนขี้อีกแล้ว ก้อนนี้ก็ยังเบื่อ ๆ อยู่ แล้วมันคืออะไรล่ะชีวิต แล้วบางชาติก็เป็นผู้หญิง บางชาติก็เป็นผู้ชาย ไม่รู้ว่าเราเป็นใครกันแน่ เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย ทุกคนไม่มีหญิงชายหรอกแต่เป็นเพราะกรรมจำแนก ให้มาเกิดแล้วก็มาสมสู่กัน ให้หมู่สัตว์อื่นได้มาเกิดต่อไป ถ้าเราพิจารณาไป ๆ หญิงชายไม่มีเลย มีแต่ก้อนเนื้อเท่านั้นเอง เราไปหาจุดดั้งเดิมของมันเลยว่า เมื่อก่อนมันก็ไม่มีอยู่แล้ว

หลวงพ่อจรัญ ทกฺขญาโณ
ธรรมสถานเดือนเต็มดวง จ.นนทบุรี






"จิตของคนนี้เจือปนไปด้วยกิเลส" อันนี้ถูกต้อง
แต่กิเลสนี้ เกิดขึ้นมาจากอะไร เกิดขึ้นมาจาก "ตัณหา"
คือ ความรัก ความชัง ความรัก ความกำหนัดยินดี
ความชื่นชมยินดี อะไรต่างๆ ในจิตใจของคนเรานี้ อันนี้ก็เรียกว่า อาสวกิเลส

ทีนี้เกิดขึ้นจากอะไร ก็เกิดขึ้นจากตัวประสานงาน คือร่างกายอันนี้
ร่างกายอันนี้เป็นตัวประสานงาน ถ้าหากร่างกายนี้ไม่มี
กิเลส มันก็ไม่มีตัวประสานงาน ก็อยู่เฉยๆ
แต่ถ้าร่างกายนี้มี จิตใจนี้มี ร่างกายก็จะเป็นตัวประสานงาน
ที่จะให้เราเกิดกิเลส เกิดความรัก เกิดความชังขึ้น

เพราะฉะนั้น คำว่าทุกขังนี้ จึงปรากฏขึ้น
ในวิปัสสนาว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้
ท่านเรียกว่าเป็นความทุกข์ แล้วผู้ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ก็คือร่างกายอันนี้เกิดมา ร่างกายอันนี้แก่ ร่างกายอันนี้เจ็บ
ร่างกายอันนี้ตายทีนี้คนที่จะหลงรักหลงชังกันก็ต้องมีร่างกายนี้เป็นสื่อสัมพันธ์

มองเห็นตา มองเห็นศีรษะ แขน ขา มองเห็นร่างกายต่างๆ
แล้วเกิดความชอบ หรือเรียกว่าเกิดความพอใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายอันนี้ก็เป็นตัวสำคัญที่จะต้องจัดการในอันดับแรกของวิปัสสนา
จัดการอันดับแรกก็คือ หั่นร่างกายนี้ออกมาเป็นชิ้นๆ ให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุทั้ง ๔ "

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร






ญาติธรรมเอ๋ยศีล๕เราครบไหม?
มันครบ...แต่มันบริสุทธิ์หรือเปล่า!?
ให้ถามและตอบในใจเองนะ?
(ว่าด้วยเรื่องพิจารณาศีล๕ "ในทางวิปัสสนา")

#ศีลอยู่ที่ตัวเราน่ะอยู่ที่ธาตุอยู่ที่ขันธ์เรานี้น่ะ
แล้วถ้าเรารักษาล่ะ
ก็รักษาตัวเราให้สะอาดบริสุทธิ์นะ
ถ้าเราทำตัวเราไม่ดีแล้วล่ะ___
#ศีลข้อที่1
เป็นการฆ่าตัวเราเองออกจากมรรคผลรู้หรือเปล่า
เนรคุณผู้เป็นพ่อแม่รู้หรือเปล่า ร่างกายเรานี่
พ่อแม่ให้ของดีมาแล้ว ทำไมไม่รู้จักรักษา
พ่อแม่ให้ก้อนพระธรรมเพื่อให้พิจารณา
ปฏิบัติเข้าสู่มรรคเข้าสู่ผลไม่ใช่หรอ เราทำตามไหม?
ศีลข้อปาณาน่ะ ทำตามเจตนาที่พ่อแม่ให้มาไหม?
นอนอยู่ในท้องแม่ 10 เดือนไม่ใช่หรอ ?
โตขึ้นมาแล้วเป็นยังไง
เอาพระคุณท่านมาทำลายหรือเอามาสรรเสริญ
มาปฏิบัติให้บริสุทธิ์ให้สะอาด
ให้เป็นศีลให้เป็นแนวทางเข้าสู่มรรคผลไม่ใช่หรอ?

ทางเดินก็คือ "กายเรานี้แหละ"
ที่เป็นทางเดินของอริยมรรคน่ะ
เดินตรงนี้ไม่ใช่เดินข้างนอก
แล้วพ่อแม่ก็ให้เรือนกายเรามา
ก็มาสมมุติว่าเป็นตัวเป็นตนว่าเป็นตัวเองน่ะ มันไม่ใช่
พ่อแม่ก็บอกอยู่ว่าเป็นอนัตตา มันไม่เที่ยง
จะไปถือเป็นตัวเป็นตน มันไม่ได้ มันไม่ใช่อัตตา
เป็นแต่เพียงว่า...พ่อแม่ประชุมธาตุให้เท่านั้น
สร้างเรือนให้อยู่เท่านั้น
เมือลูกมายึดในเรือนกายอันนี้ก็ปฏิบัติให้มันดีสิ
สอนให้ทำดีไม่ใช่หรอ ?
หรือบอกให้เอาร่างกายไปทำชั่ว ?

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกให้เรารักษา กาย วาจา ใจให้สะอาดบริสุทธิ์ไม่ใช่หรอ แล้วพวกเราจะมาถือเป็นตัวเป็นตนอย่างนั้นหรอ ?

#ศีลข้อ2 อทินนา ไม่ให้ถือเอา ก็ยังมาถือเป็นตัวเป็นตนอีก

#ศีลข้อ3 กาเม เสพสุขอีก เสพสุขอะไรล่ะ ?
จะนั่ง จะนอน จะเดิน ก็มีแต่ของนิ่มๆทั้งนั้นแหละ
บางทีก็เสวยสุขแบบไหน เมถุน ผมไม่งามก็เอาหวี่มาแต่ง ผมขาวก็เอาสีมาย้อมอีกให้เป็นสีดำ คิ้วไม่งามก็เอาสอมาเขียน ปากไม่แดงก็เอาสีมาทา รู้มั้ยว่าเมถุนน่ะ ศีลข้อที่ 3 น่ะ เสพสุขรักสวยรักงามแต่งตัวนั้นแหละ เขาเรียกว่าเสพ เสพก็คือข้อเมถุน ศีลข้อกาเมนั้นน่ะ นี้พูดแต่หัวข้อน่ะ ให้คิดเองให้ใช้ปัญญาเอง

#ข้อที่4 มุสาล่ะ พูดเท็จโกหกหรือเปล่าล่ะ
เวลาจะทำอะไร เช่นตั้งใจว่าจะมาที่วัดน่ะ
ตั้งใจว่าจะมาภาวนา พอนั่งไปนิดหน่อย
เอ๋__กูจะนั่งท่านี้
กูจะอดทนตัวเองใช้ความเพียรพยายามของกู
พอมานั่งปั๊บถึง 5 นาทีหรือเปล่า
กิเลสมันลากไปแล้วใจเรา ทำให้เราโกหกตัวเอง
หลอกลวงตัวเอง เดินนั่งก็ไม่ได้อย่างที่คิด
จะฟังหรอ? ฟังได้ไม่กี่คำหรอก
โน้นในใจเทศน์ไปอีกแล้ว ถามใจตัวเองดูสิ
ใจมันพาวุ่นมันพาหลงไปผิด
แสดงตัวอาการอยู่ในใจโน้น กายโกหก ใจโกหก
วาจาโกหกอีก แล้วข้อสุราล่ะ ?

#ข้อที่5 สุราเมระยะ หมวดของหมักของดอง
มัชชะ=เป็นของเมา ปะมา = อย่าประมาท
แล้วรู้หรือเปล่าว่าเรานี้หลงอยู่ในสุรา ติดอยู่ในสุรา
นอนแช่อยู่ในสุราหรือเปล่า มันไม่ใช่สุราภายนอก
นี้บอกว่าสุราภายใน สุรามันมีรสชาดของสุรา
แต่รสชาดของความเมาเรานี้สิ
มันหมักหมมอยู่กี่ภพกี่ชาติ กี่กัลป์
ติดอยู่ในสุราภายในอันนี้ ตาคือเครื่องกลั้นกรอง
กลั้นกรองรูป รูปสวย รูปงามนี้เห็นมั้ย
หูก็กลั้นกรองเสียงเข้าไปแล้ว
จมูกก็กลั้นกรองกลิ่นเข้าไป ลิ้นก็กลั้นกรองรส
กายก็กลั้นกรองโผฎฐัพพะ มันกรองไปไหน
ลงไปไว้ที่หัวใจ ไปหมักไว้ที่นั้น เมือมันไปหมักแล้ว
มีหรอมันจะไม่เมา แล้วจะเอาใจไปเมากับมันทำไม

#สุราภายนอก ที่เขาขายกันตามร้านน่ะ
มันกินเช้าก็หายค่ำ กินค่ำก็หายเช้า
#แต่สุราภายในมันเมาจนมืดมน
เมากันมากี่ภพกี่ชาติกี่กัลป์กี่กัป เพราะมันเมาจนหลง หลงภพหลงชาติหลงเกิดอยู่นี้ ถามตัวเองน่ะ
ว่าตัวเองเมามั้ย เมารูป รส กลิ่น เสียงมั้ย
ดีไม่ดีเมาลูกเมาหลาน
เมาแก้วแหวนเงินทองสมบัติอีก
เมาจนหลงมาเมาข้างนอกหมดทีนี่
เพราะใจมันพาหลงพาเมา....

พระธรรมเทศนาหลวงปู่สวาท ปัญญาธโร วัดโปร่งจันทร์ อ.คิชฌกูฎ จ.จันทบุรี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO