นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 4:04 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: สละความโลภ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 22 ก.ค. 2018 9:08 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
“ถ้าไม่มีอะไรเป็นทาน
ก็สละความโลภ ความโกรธ
ความหลง นั่นแหละเป็นทาน”
หลวงปู่อว้าน เขมโก







"การที่เรามีโอกาสปฏิบัติธรรม
ที่ถูกทางเช่นนี้ มีน้อยมาก

หากปล่อยโอกาสให้ผ่านไป
เราจักหมดโอกาส พ้นทุกข์ได้ทัน
ในชาตินี้

แล้วเราจะหลง อยู่ในความเห็นผิด
อีกนานแสนนาน เพื่อที่จะพบธรรม
อันเดียวกันนี้"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล




นักปฏิบัติกราบเรียนถามว่า : กระผมพยายามหยุดคิด หยุดนึกให้ได้ตามที่หลวงปู่เคยสอน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จสักที ซ้ำยังเกิดความอึดอัดแน่นในใจสมองมึนงง แต่กระผลก็ยังศรัทธาว่า ที่หลวงปู่สอนไว้ย่อมไม่ผิดพลาดแน่ ขอทราบอุบายวิธีต่อไปด้วย

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ตอบว่า : ก็แสดงถึงความผิดพลาดอยู่แล้ว เพราะบอกให้หยุดคิดหยุดนึกก็กลับไปคิดที่จะหยุดคิดเสียอีกเล่า แล้วอาการหยุดจะอุบัติขึ้นได้อย่างไร จงกำจัดอวิชชาแห่งการหยุดคิดหยุดนึกเสียให้สิ้น เลิกล้มความคิดที่จะหยุดคิดเสียก็สิ้นเรื่อง
"หลวงปู่ดูลย์ อตุโล"




ความรักที่แท้จริงคือเมตตา ต้องเจริญ ต้องฝึกหัดทำบ่อยๆ แผ่เมตตา ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุข แต่อย่าไปแผ่เจาะจงกับบุคคลที่เรารักมาก มันจะเกิดเมตตาเทียมขึ้นมา เป็นความรักแบบความใคร่ ต้องแผ่ให้บุคคลที่เรารักพอประมาณก่อน ถ้าแผ่เจาะจง ท่านให้บุคคลที่เรานับถือบุคคลที่เรารักปานกลางก่อน แต่ถ้าแผ่รวม ๆ ทั้งหมดก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ถ้าเราแผ่เจาะจง ท่านไม่ให้แผ่ให้คนที่เป็นศัตรูก่อน จิตเราจะแผ่ไม่ออก แผ่ไปทีไรก็มีโกรธ ให้แผ่ให้คนที่รักปานกลางก่อน คนที่นับถือ จนจิตใจเรามีเมตตาดี ค่อยแผ่ไปคนที่รักมาก และคนที่เป็นศัตรูแผ่ให้สุดท้าย ถ้าแผ่ไปแล้ว ใจมันไม่ไป ก็กลับมาแผ่ให้ที่คนเราแผ่ได้ก่อน แล้วค่อยลองใหม่ กลับไปกลับมา ที่สุดแล้วก็จะทำได้

ถ้าจิตเราแผ่เมตตาให้ทุกคนได้เสมอเหมือนกัน มีความรัก ความปรารถนาดี ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่มีศัตรูคู่เวรอะไร มีเมตตาทั่วหน้าหมด จิตเราจะเป็นสมาธิ จะทำให้ได้ฌานด้วย เพราะฉะนั้น ก็ให้เราฝึกจิตให้มีเมตตา อันเป็นความรักที่แท้จริงด้วย

-หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
วัดมเหยงคณ์ จ. อยุธยา






...ถ้าสอนใจอยู่เรื่อยๆ
ก็จะปล่อยวางร่างกายได้
จะเข้าสู่ความสุขที่แท้จริง
คือ "ความสงบ"

.
ที่เกิดจากการปล่อยวางร่างกาย
ของตนและของคนอื่น
ปล่อยวางสิ่งของต่างๆ
ไม่ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้มาให้ความสุข

.
เพราะความสุขที่ได้
กับความทุกข์ที่ได้ไม่คุ้มกัน
ความสุขที่ได้นี้ได้เพียงเล็กน้อย
แต่ได้ความทุกข์มากกว่าหลายร้อยเท่า

.
ถ้ามีความรู้ที่ถูกต้องคือมีปัญญา
ก็จะเบื่อกับสิ่งต่างๆในโลกนี้
จะไม่อยากได้ ไม่อยากมีอยากเป็น
อยากได้อย่างเดียวก็คือ "ความสงบ"

...........................................
.
คัดลอก(กำลังใจ56) กัณฑ์437
ธรรมะบนเขา 11/3/2555
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





บันทึกธรรมภาษิต
ของ พระราชนิโรธรังสีฯ

(๑) ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ถ้ายังปฏิบัติไม่ถึงจิตถึงใจ ยังได้ชื่อว่าปฏิบัติไม่ถึงหลักธรรมของจริง เพราะธรรมทั้งหลายเกิดจากจิตจากใจอย่างเดียว

(๒) ความคิดนึกปรุงแต่ง สัญญาอารมณ์ทั้งปวง หรือสรรพกิเลสทั้งปวงเกิดจาก จิต นี้ทั้งนั้น เมื่อไม่มีสติควบคุมจิต แต่ตรงกันข้าม เมื่อมีสติควบคุมแล้วย่อมให้เกิดปัญญา

(๓) ผู้ไม่รู้เท่าเข้าใจที่ตั้งที่เกิดของ ขันธ์ห้า ขันธ์สี่ ขันธ์หนึ่ง ขันธ์ทั้งสามย่อมถูกกิเลสกลืนกินหรือครอบงำได้ นักปราชญ์ย่อมรู้เท่าเข้าใจที่ตั้งที่เกิดของขันธ์ห้า ขันธ์สี่ ขันธ์หนึ่ง แล้วท่านย่อมพ้นจากการครอบงำของมันได้

ขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ขันธ์สี่ ได้แก่ อรูปฌาน
ขันธ์หนึ่ง ได้แก่ สัญญาเวทยิตนิโรธ

(๔) กายคตาสติ ย่อมเป็นที่ตั้งของกัมมัฏฐานทั้งปวง กายอันนี้ถึงมันจะมีหรือไม่มี มันก็ถืออยู่ดีๆ นี้แหละ ยิ่งปฏิสนธิ ก็ยิ่งถือใหญ่ เจริญสมถะและวิปัสสนา ถ้าทิ้งกายเสียแล้ว จะไม่มีหลักเห็นชัดแจ้งในกัมมัฏฐานทั้งปวง

(๕) ผู้ใดไม่เห็นทุกข์ ผู้นั้นคือผู้ไม่เห็นธรรม ผู้ได้รับทุกข์ จนเหลือที่จะอดกลั้นแล้ว เมื่อหวนกลับเข้ามาถึงตัวนั่นแลจึงจะรู้จักว่าทุกข์นั้นแลคือ ธรรม ผู้เกลียดทุกข์เป็นผู้แพ้ ผู้พิจารณาทุกข์ คือ ผู้เจริญในทางธรรม

(๖) เมื่อสติตามกำหนดจิตแล้ว จิตจะไม่สับส่ายไปมา กิเลสทั้งหมดจะระงับได้ด้วย สติ ตัวเดียวเท่านี้

(๗) เมื่อสติตามกำหนดจิต รู้อยู่ทุกอิริยาบถ จิตจะค่อยรวมเข้าเป็นหนึ่ง นั่นคือ ใจ ซึ่งไม่มีการส่งส่ายไปมา มีแต่ผู้รู้เฉยๆ หรือเรียกว่าธาตุรู้ ก็ได้

(๘) ธาตุรู้เป็นผู้อยู่กลางๆ ไม่มีอาการใดๆ ทั้งหมด ฉะนั้นธาตุรู้จึงไม่มีความรู้สึกดีชั่วอะไร ธาตุรู้นี้ต้องมี สัญญา สังขาร อุปาทาน เข้าไปสัมปยุตจึงจะเกิดอาการต่างๆ ขึ้นมาได้ เช่น สังขารปรุงแต่งดีชั่วหยาบละเอียดต่างๆ จึงเกิดขึ้นมา เมื่อสังขารปรุงแต่งแล้ว ปัญญาเข้าไปตรึกตรองในสิ่งนั้นๆ จึงถอดเอาความดี ความชั่วออกมาตั้งไว้ให้ปรากฏเห็นชัดว่าอันนี้ดีอันนี้ชั่ว

(๙) นักปฏิบัติจิตทั้งหลาย จะปฏิบัติจิตเก่งที่สุดได้เพียงภวังคุปัจเฉทะเท่านั้น หรืออัปปนาฌาน มิฉะนั้นก็อัปปนาสมาธิ ทั้งสามอย่างนี้เป็นอาการจิตรวมคล้ายๆ กัน แต่มีอารมณ์เป็นเครื่องอยู่ต่างกันและรวมก็ต่างกัน ท่านจึงเรียกต่างกัน

ตัวอย่างเช่น ภวังคุปัจเฉทะ นั้น จิตจะรวมเป็นหนึ่งตัดอารมณ์ภายนอกทั้งปวงหมด แล้วก็ตั้งอยู่เป็นหนึ่งในที่เดียว จะไม่มีอารมณ์ใดๆ ทั้งหมดนอกจากอารมณ์ของภวังค์ อารมณ์ของของภวังค์นี้คล้ายๆ กับไปอยู่ในที่แจ้งแห่งหนึ่ง มีความรู้สึกแต่ในที่แจ้งนั้นจะเกิดนิมิตมีอาการต่างๆ เช่น เห็นรูปก็จะเพลินในรูปนั้น เห็นแสงสว่าง ก็จะเพลินในแสงสว่างนั้น เมื่อจิตถอนจากภวังคุปัจเฉทะแล้ว จะไม่รู้เรื่องอะไรทั้งหมด หรือรู้ก็เป็นลางๆ

อัปปนาฌาน เพ่งจิตอย่างเดียวจนจิตรวมเข้าเป็นหนึ่งเหมือนกันแล้วไม่รู้อะไรทั้งหมด เรียกว่า อัปปนาฌาน

อัปปนาสมาธินั้น เหมือนกับอัปปนาฌาน แต่รวมเข้าไปแล้วมีสติพิจารณาอารมณ์ของสมาธินั้นอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า อัปปนาสมาธิ

(๑๐) ผู้แสวงหาความสุข อยู่บนกองทุกข์แล้ว จะไม่เจอะความสุขเลยเด็ดขาด แต่ค้นหาความสุขในความทุกข์แล้ว ทุกข์นั้นจะหายไป

(๑๑) ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องกลับเข้ามาหาตัวเอง ถ้าเป็นโลกแล้วจะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา

(๑๒) ถ้าจะชนะโลกได้ ต้องเอาชนะตนเองเสียก่อน ความชนะโลกย่อมไม่มีแก่บุคคลที่ไม่ชนะตนเอง

(๑๓) สันติสุขเป็นความชนะของผู้ชนะโลกนี้ ผู้มีอำนาจดับโลกแต่หาสันติไม่ได้ ได้ชื่อว่า ผู้แพ้อยู่ร่ำไป

(๑๔) หากความเข้าใจของหมู่ชนใด คณะใดก็ตาม หรือในโลกนี้ทั้งหมดเห็นว่า ผู้จะเอาชนะโลกนี้ได้ต้องชนะตนเองเสียก่อนด้วยสันติวิธี เขาหาว่า นั่นเป็นความโง่ที่สุดของโลกนิยม หรือผู้มีแสนยานุภาพอันเกรียงไกร อย่างนี้แล้วสัจธรรมก็ควรเก็บไว้ในตู้ล็อคกุญแจเสียดีกว่า






ให้มีคำสัตย์คำจริงบังคับตน

ในพรรษานี้ขอให้มีความสัตย์ความจริงติดตัวติดใจบ้างนะ
เราจะทำอะไรในพรรษานี้ด้วยคำสัตย์คำจริงให้ทำอย่างจริงจัง
เช่น ใส่บาตรไม่ให้ขาดแม้วันหนึ่งไม่ให้ขาดเลยก็ให้เป็นอย่างนั้น
จะกี่องค์ก็ตาม แม้ที่สุดวันละองค์ก็ไม่ขาด
ความสัตย์ความจริงที่จะให้ทาน
ให้มีคำสัตย์คำจริงบังคับตนๆ
ถ้าไม่มีคำสัตย์คำจริงจิตใจมันเหลวไหล
เพราะกิเลสตัวเหลวไหลนั้นแหละพาให้จิตใจเหลวไหล

กิเลสตัวเดียวเท่านั้นที่ขวางหัวใจสัตว์โลกอยู่
ทำอะไรๆ ขึ้นชื่อว่าความดีไม่สะดวกเลย
ถ้าเป็นความชั่วแล้วไหลเลยๆ ถ้าเป็นความดีไม่สะดวก
คือกิเลสขวางหัวใจสัตว์โลกนั่นละ อย่าเอามาให้ขวางหัวใจเรา

เราตั้งสัจจะอธิษฐานไว้อย่างไร ให้ปฏิบัติตามนั้น
ยากลำบากไม่สนใจ
ให้เดินตามความสัตย์ความจริงที่ตั้งไว้แล้วโดยถูกต้อง
ไม่ให้คลาดเคลื่อน นั่นถูกต้องดี

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO