นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 19 เม.ย. 2024 3:35 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ควบคุมความคิด
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 25 เม.ย. 2018 5:21 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4532
"ควบคุมความคิดให้เข้าสู่ความสงบ"

เราจึงต้องฝึกควบคุมความคิดของเรา การฝึกสตินี่แหละเป็นการดึงใจดึงความคิดของเราไว้ เบื้องต้นก็ให้ดึงเข้ามาสู่ความว่างสู่ความเป็นกลาง ทำอะไรก็อย่าไปคิดปรุงแต่ง ให้เพียงสักแต่ว่ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ กำลังรับประทานอาหารก็ให้รู้ว่ากำลังรับประทานอาหาร ไม่ต้องไปปรุงแต่งให้รู้เฉยๆ สักแต่ว่ารู้ กำลังอาบน้ำ กำลังแปรงฟัน กำลังหวีผม กำลังแต่งตัว กำลังทำอะไรอยู่ ก็ให้ใจรู้อยู่กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ถ้าไม่ดึงใจไว้ให้รู้กับการกระทำของร่างกาย ใจจะคิดเรื่อยเปื่อย ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่ใจไปคิดถึงลูกที่อยู่ต่างประเทศโดยไม่รู้สึกตัว ทำอะไรก็จะผิดพลาด หรือสงสัยว่าทำไปแล้วหรือยัง เพราะใจไม่ได้รู้อยู่กับการกระทำ ไปรู้อยู่กับเรื่องที่กำลังคิดปรุงแต่ง อย่างนี้แสดงว่าขาดสติ ไม่สามารถควบคุมความคิดปรุงแต่งได้ ปล่อยให้คิดเรื่อยเปื่อย ถ้าเป็นอย่างนี้เวลานั่งทำสมาธิให้ใจสงบก็จะไม่สงบ เพราะใจจะสงบได้ต้องหยุดความคิดปรุงแต่ง ต้องมีสติคอยดึงไว้ เช่น การบริกรรมพุทโธ เป็นการดึงความคิดปรุงแต่งไม่ให้คิดปรุงแต่ง ให้คิดแต่คำว่าพุทโธพุทโธอย่างเดียวจะได้ไม่มีอารมณ์ ทำให้ใจเป็นกลาง ทำให้ใจว่าง ทำให้หยุดคิดได้ รวมเข้าสู่ความสงบได้

ถ้าไม่ชอบคำบริกรรม ใช้การดูลมหายใจเข้าออกก็ได้ แต่ต้องสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ อย่าไปคิดเรื่องอื่น ให้รู้อยู่กับเรื่องของลมอย่างเดียว หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก ให้รู้อยู่ตรงจุดเดียว อย่าตามลมเข้าตามลมออก ให้อยู่แถวปลายจมูก เวลาลมเข้าออกจะสัมผัสอยู่แถวปลายจมูก ให้รู้อยู่ตรงนั้น เฝ้าดูอยู่ตรงนั้น อย่าไปบังคับลมหายใจ จะหยาบจะละเอียด จะหายใจสั้นหายใจยาว ก็ให้รู้ตามความจริง ไม่ต้องบังคับ ให้ใช้ลมเป็นที่ผูกใจด้วยสติ ถ้าใจเป็นเหมือนเรือ สติก็เป็นเหมือนเชือก ลมหายใจก็เป็นเหมือนเสาของท่าเรือ ถ้าผูกเรือไว้กับเสา น้ำก็จะไม่พัดพาให้เรือลอยไปได้ เรือก็จะจอดนิ่ง ใจก็เช่นเดียวกัน ถ้ามีสติรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก รู้อยู่กับการบริกรรมพุทโพุทโธไม่ช้าก็เร็วใจก็จะสงบนิ่ง พอสงบแล้วก็จะมีความสุขสบาย เบาอกเบาใจ ตอนนั้นจะไม่รับรู้การเจ็บปวดของร่างกาย ถ้ารู้ก็จะไม่รำคาญใจ รู้ว่าชาหรือเจ็บตรงนั้นมันปวดตรงนี้ แต่ไม่รู้สึกทรมานใจ เพราะใจไม่มีปฏิกิริยากับความเจ็บของร่างกายนั่นเอง

นี่คือการควบคุมความคิดให้เข้าสู่ความสงบ แต่ความสงบของสมาธินี้มีระยะเวลา อยู่ได้สักระยะหนึ่งแล้วก็จะถอนออกมา ต้องออกมาปฏิบัติภารกิจอื่นๆ พอถอนออกมาใจจะเริ่มคิดปรุงแต่ง ถ้าไม่ต้องคิดเรื่องภารกิจต่างๆ ก็ให้ใจคิดไปในทางปัญญา ให้เตรียมรับกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่จะต้องเกิดขึ้น เช่น ให้พิจารณาร่างกายว่าสักวันหนึ่งต้องแก่ลงไป ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องตายไป เช่นเดียวกันกับร่างกายของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นคนใกล้ชิดหรือเป็นคนที่ไม่รู้จัก ก็เป็นเช่นเดียวกัน ต้องสอนให้ใจรู้และรับความจริงนี้ให้ได้.

ธรรมะบนเขา “จุลธรรมนำใจ ๒๓”

วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๓

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




“ศีลข้อนี้เขามีไว้เพื่อให้เราเป็นมนุษย์”

ถาม : ศีลข้อสามถ้าเกิดว่าเรามีอะไรกับแฟนโดยที่เรายังไม่ได้แต่งงาน กับแฟนเรานะครับ มันผิดศีลไหมครับ

พระอาจารย์ : ก็ศีลข้อนี้เขามีไว้เพื่อให้เราเป็นมนุษย์ไง เข้าใจไหม มนุษย์เวลาเราจะมีแฟนเราจะมีการร่วมหลับนอนกันเราจะต้องทำให้เป็นแบบสามีภรรยากัน เพราะว่ามันมีความรับผิดชอบที่จะต้องตามมาต่อกันและกัน แล้วก็ต่อลูกที่ออกมาด้วย ถ้าเราไปอยู่แบบไม่ได้มีแบบถูกประเพณีแล้วก็อยู่แบบสุนัขนี้ สุนัขเขาก็ไม่แต่งงานกัน เวลาท้องเขาก็ไม่เลี้ยงดูกัน เขาก็ปล่อยให้กลายเป็นภาระของสังคมไป ถ้าเราอยากจะอยู่กันแบบมนุษย์อย่างมีความร่มเย็นเป็นสุข เราก็ต้องมีความรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ ก็ต้องทำกันแบบให้มันถูกต้องตามประเพณีของมนุษย์ มนุษย์ก็คือต้องมีการรับรู้ของจากครอบครัวทั้งสองฝ่าย ของพ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหายเพื่อจะได้ไม่มีใครมายุ่งกันไง แต่ถ้าทำแบบไม่มีประเพณีก็แบบสุนัขเนี่ย สุนัขมันเดี๋ยวมันก็ไปนอนกับคนนั้นตัวนั้นตัวนี้แล้วแต่มันจะเจอใครมันก็นอนกันวุ่นไปหมด แล้วถ้าเกิดมีการตั้งครรภ์มันก็ สมัยนี้ก็มีวิธีทำแท้งกัน มันก็ไปทำบาปกันอีก หรือถ้าปล่อยให้คลอดออกมาบางทีเขาไม่เลี้ยงดูกัน ทิ้งให้เป็นภาระของสังคม เขาถึงต้องตั้งกฎข้อนี้ไว้เพื่อให้เราอยู่แบบมนุษย์กัน แต่กิเลสมันชอบอยู่แบบสุนัข เข้าใจไหม มันทันใจไง มันไม่ต้องมารอขออนุญาตกัน ไม่ต้องมารอจดทะเบียนกัน ไม่ต้องมาประกาศให้ชาวบ้านรู้กันว่าเราเป็นของกันและกัน เพื่อจะได้ไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวกัน อันนี้เป็นเรื่องของประเพณีเท่านั้นเอง แล้วมันจะทำให้เรามีคู่อย่างมีความสุข เพราะต่างฝ่ายต่างก็จะรู้หน้าที่ของตน มีความซื่อสัตย์ต่อกัน เป็นของกันและกันคนอื่นจะมายุ่งก็ปฏิเสธเขาไป

ถาม : อย่างนี้ถ้าเกิดว่าเราจะคิดยังไงให้ใจไม่เศร้าหมองถ้าเรายังทำไม่ได้ แต่ว่าเรามีความรับผิดชอบในลักษณะที่ว่าเราไม่ได้ที่จะไปเหมือนกับไปมีหลายคน

พระอาจารย์ : ก็คิดว่าเราไม่ได้เป็นมนุษย์ก็แล้วกัน คิดว่าเราเป็นเดรัจฉานไป ใจเรามันเสื่อมลงไปเป็นเดรัจฉาน ก็ยอมรับซะว่าเราเป็นสุนัขก็จบ (หัวเราะ) ถ้าเป็นสุนัขนี้ก็ไม่ต้องไปแต่งงานกับใคร ไปตามบาร์ตามผับที่ไหน เจอกันก็หิ้วกันไป.

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๑

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






...ตัวรู้นี่มันต้องการ
"ความสงบ" อย่างเดียว

.
ถ้าตัวรู้มันมีความสงบแล้ว
"มันจะไม่หิวกับสมมุติ"
จะไม่หิวกับลาภยศ สรรเสริญ

.
ดังนั้นเราต้อง
"มาสร้างความสงบให้กับตัวรู้"

.
ถ้าตัวรู้มีความสงบแล้ว
"ตัวรู้ไม่หิว" จะรู้ทันสมมุติ

.
ถ้าตัวรู้ไม่มีความสงบ "มันหิว"
มันจะต้องหลงกับสมมุติ
จะต้องไปกับสมมุติ เท่านั้นเอง.
................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 20/4/2561
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี




...อย่าทิ้งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
ให้ยึดพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
เป็นครูเป็นอาจารย์ แล้วจิตใจของเรา
"มีแต่จะเจริญไปโดยถ่ายเดียว"
จนถึงขั้นสูงสุด ขั้นที่เราไม่ต้อง
กลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีกต่อไป

.
พวกเราโชคดี ชาตินี้เราได้มาเจอ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
อย่าเป็นแบบพวกไก่ได้พลอย
รู้จักไก่ได้พลอยไหม
ไก่เวลามันขุดคุ้ยมันหาอะไร
มันหาแต่ตัวหนอนตัวไส้เดือน
เวลามันเจอพลอยเพชรมันเขี่ยทิ้งหมด
เพราะมันไม่รู้คุณค่าของเพชรของพลอย
เพราะมันกินไม่ได้

.
แต่พวกเราไม่ใช่เป็นไก่
เรารู้คุณค่าของพระรัตนตรัย
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ผู้ที่จะสอนให้เราทำบุญ ละบาป
ผู้ที่จะสอนให้เราชำระความอยากต่างๆ
ให้หมดไปจากใจ
......................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 24/4/2561
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





หลวงปู่ชา สุภทฺโท ท่านเตือนว่า ... "ระวังจิตที่คิดผิด"

....เคยเห็นผู้ปฏิบัติธรรม ชอบเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม แต่เมื่อใดใจไม่สบาย บางทีก็ไปหาหมอดู ให้เขาดู ว่าเป็นอะไรไหม?

หมอดูทายว่าปีนี้ระวังนะ ไปรถไปเรือต้องระวังอุบัติเหตุ คนที่ไม่รู้เรื่องกรรม ไม่เชื่อการกระทำของตัวเองก็กลัว

กลัวจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

นี่คือ จิตที่คิดผิด ไม่มีปัญญา ไม่มีการพิจารณา

ให้ทำจิตใจเชื่อมั่นในการกระทำ เชื่อเหตุผล เชื่อมั่นในความจริง ไม่ตื่นเต้นกับคำเล่าลือ เรื่องมงคลตื่นข่าว ไม่ตื่นเต้นกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เป็นผู้อยู่นิ่งด้วยปัญญา เชื่อว่าทุกอย่างเกิดจากเหตุ ถ้าต้องการผลดี ก็ต้องทำเหตุที่ดี.

"หลวงปู่ชา สุภทฺโท"





"เจตนาดี ย่อมนำไปสู่ปลายทางที่ดี"

....ต้นทางสายบุญทั้งหลายนั้น เกิดจากจิตที่เป็นกุศล คำว่าจิตเป็นกุศลคือจิตมีปัญญาในการทำความดี

บุญกุศลทุกอย่างนั้นเริ่มต้นจากเจตนาที่ดีก่อน เปรียบดั่งสาครไหลลงทะเลหลวง

บุญกุศลทั้งหลายที่กระทำมานั้น สุดท้ายปลายทางจะไหลลงไปรวมกันที่มหาสมุทรทะเลหลวง นิพพานธาตุ"

"หลวงปู่ชอบ ฐานสโม"




ทำดีแม้น้อย ด้วยใจอันบริสุทธิ์
ดีกว่าทำมากด้วยใจริษยา
หรือความเย่อหยิ่งจองหองและมายาสาไถย
ทำเล็กน้อยแต่ให้ดีจริง ๆ ทำด้วยความเมตตากรุณา
ย่อมเป็นคุณประโยชน์มาก
เหมือนแก้วหัวแหวนอันมีน้ำบริสุทธิ์ก็ย่อมจะมีค่ามาก
ตายเสียด้วยทำความดี
ประเสริฐกว่าที่ เป็นอยู่ด้วยทำความชั่ว
เพราะว่าตายด้วยทำความดีนั้น
จะมีสิ่งที่ต้องเสียไปก็แต่เพียงร่างกาย เท่านั้น
แต่จิตนั้นจะผ่องใสเป็นปกติดีอยู่
เป็นอยู่ด้วยทำความชั่วนั้น ถึงจะดีก็แต่ร่างกายเท่านั้น
แต่จิตใจนั้นจะเศร้าหมองหาดีไม่
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
คัดจากหนังสือ พระอริยเจ้าผู้เป็นดั่งเศรษฐีธรรม โดยพระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร





“ถ้าพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม พวกเปรตพวกผีนี้ใครจะไปเก่งยิ่งกว่าท่านอาจารย์มั่น โอ๊ย เวลาท่านเล่าอัศจรรย์ น้ำตาร่วงนะ หันหน้าเข้าฝาเรา คืออัศจรรรย์ น้ำตาร่วง อัศจรรย์ถึงท่านเล่าถึงพวกเปรตพวกผี พวกสัตว์นรก โน่นเห็นไหม จากนั้นก็เล่าถึงพวกเทพ สวรรค์ พรหมโลก พวกเหล่านี้มากราบท่านทั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชก็มา นำคณะมา มานี้กฎระเบียบเขาดีมาก ว่างั้นนะ มานี้มีองค์เดียวที่จะฝากปัญหากันเข้ามา หาผู้เดียวเป็นผู้ถามปัญหามา เวลาพวกเทพทั้งหลายมาฟังเทศน์กับท่าน ฝากปัญหามาถามปัญหา ท่านก็ตอบๆ ปัญหาภายในใจ อย่างนี้เป็นประจำ

ท่านพิสดารมากนะพ่อแม่ครูจารย์ จึงได้ปรากฏชื่อลือนามมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เฉพาะอย่างยิ่งประวัติของท่านที่เราเขียนก็ไม่มากนัก ก็ได้พอหอมปากหอมคอ มาอ่านกัน เราได้อุตส่าห์พยายามเขียน เหตุที่จะเขียนนี้ก็คือว่า ตอนนั้นท่านเริ่มป่วยนะ เราก็พูดตรงๆ จิตของเรากำลังหมุนติ้วๆ ไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืน ต้องได้บังคับด้วยพุทโธให้สงบ ไม่งั้นมันจะพุ่งๆ ทางสติปัญญา เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ เป็นความเพียรฆ่ากิเลสโดยลำพัง ได้รั้งเอาไว้ๆ ไม่รั้งมันจะตายจริงๆ ความเพียรทางด้านนี้นะ จิตกับกิเลสตัณหา สติปัญญากับกิเลสตัณหามันฟัดกันนี้ ถึงขั้นธรรมะฆ่ากิเลสฆ่าอย่างนั้นแหละ"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐





"ใครจะดุร้ายป้ายสี
ก็ให้นึกว่าเขาจะต้องตาย
เราคือกายกับจิต ก็ต้องตายจากกันไป
จะมาโกรธ มาโลภ มาหลง
มายึดหน้าถือตา ยึดอะไรต่อมิอะไรไปทำไม
จงปล่อยวางให้มันหมดสิ้นไป"

-:- หลวงปู่สิม พุทธาจาโร -:-





“การภาวนา
ต้องกำหนดดูที่ลมหายใจ
ถ้ามีเวลาสำหรับหายใจ
ก็ต้องมีเวลาสำหรับภาวนา”

-:- หลวงปู่ดูลย์ อตุโล -:-





"แม้เราจะไปลอบทำอยู่คนเดียว
ทำความชั่ว มันก็ชั่วอยู่นั่นแหละ
ทำความดีอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็น
มันก็ยังดีอยู่นั้นเอง"

-:- หลวงปู่ชา สุภัทโท -:-





"วันๆ หนึ่ง นึกถึงตนกี่ครั้ง
นึกถึงความตายกี่ครั้ง
รู้ไหมว่า ตัวเองมันแก่เฒ่าทุกวัน
อะไรบ้าง จะเป็นสมบัติของตน"

-:- หลวงปู่จาม มหาปุญโญ -:-


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO