นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 9:11 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: สงบใจ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 22 เม.ย. 2018 5:19 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4511
โยม : หลวงตาเจ้าคะ บูชาธรรม ๕๐๐ บาทเจ้าค่ะ
.
หลวงตา : บูชาหรือไม่บูชาเราไม่ว่าละ ขอให้เป็นคนดีก็แล้วกัน เราไม่ได้เทศน์เพื่อเอาเงินบาทเงินสตางค์ของใคร เทศน์เพื่อให้เป็นคนดี ถ้าเทศน์มันไม่เป็นหน้าเป็นหลังแล้ว เอาทองคำกองเท่าภูเขามาให้เรา เราปัดทีเดียวทองคำตกแม่น้ำโขง มันมีคุณค่าเท่าคนเหรอทองคำ สมบัติเหล่านี้เราหามา หาเพื่อพี่น้องชาวไทยให้เป็นคนมีความอบอุ่น ความเป็นคนดีรักษาชาติบ้านเมืองให้สงบร่มเย็น นี่เราต้องการอย่างนี้ต่างหากนะ ทองคำมีคุณค่าขนาดไหนสู้คน ๆ เดียวได้เหรอ นั่น คน ๆ หนึ่งมีค่าขนาดไหนถ้าปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี พระพุทธเจ้าเลิศพระองค์เดียวเห็นไหม พระสาวกทั้งหลาย สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เลิศกว่าทองคำขนาดไหน ท่านหาอย่างนั้นหาคนดี อันนี้เป็นเครื่องหมายที่จะรักษาคนเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นส่วนรวมกัน ให้มีความสงบร่มเย็นเป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นเนื้อเป็นหนังของตน และปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี รักษาสมบัติอันดีนี้ให้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้นเองเข้าใจ เราไม่ได้มาหาอะไรนี่ เอามาเป็นกัณฑ์ท่งกัณฑ์เทศน์ คนไม่ดีจับคืนเดี๋ยวนี้วะ ถ้าดีแล้วไม่ให้เราก็ไม่ว่าเข้าใจไหม มันก็มีเท่านั้นแหละ

.....................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
"มีศาสนาติดตัวบ้าง"




คิดหมิ่นเหม่ไม่ได้ อุปมาเปรียบเหมือน
"ขาข้างหนึ่งเหยียบประตูนิพพาน
อีกขาข้างหนึ่งเหยียบปากกระทะทองแดง
สามารถจะตกนรกได้ภายในฉับพลัน"
สำหรับชีวิตนักบวช ถ้าทำดีก็ได้บุญมาก
ถ้าทำชั่วก็ได้บาปมาก...
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี





ถ้าพิจารณาดีๆ ก็จะรู้ว่าอันนั้นเกิดมาแล้วก็ดับไป
อันนี้เกิดมาแล้วก็ดับไป มีแต่สัญญาเท่านั้น
เอาเรื่องใหม่มาพิจารณาเป็นลูกโซ่ เอาคืนเป็นคืน วันเป็นวัน
อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์ เรื่องการละวางมันวางไปหมดนะ
เพราะมันได้แยกแล้ว แยกกิเลสกับธรรมแล้ว
แต่พวกเรานี่ มีแต่พากันตะครุบเงา หลงเงาตัวเอง
นั่งเข้าๆ เวทนามากก็นอนเลย กรนครอกๆ
กิเลสมันไชโยนะ เพราะมันชนะ
เดินจงกรมเหมือนกัน ส่งจิตออก
แล้วก็ยังจะมาอวด ว่าตัวเองทำความเพียร
ครูบาอาจารย์ท่านทำจริงนะ มาทำเล่นๆ ไม่ได้
ถ้าจะเอาตัวเองก็ต้องทำขนาดนั้นเลย
แต่ไม่เห็นครูบาอาจารย์ท่านตายนะ

...................................................................

หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
คัดจากหนังสือ เศรษฐีธรรม





"ถ้าใครยังคิดว่า
สมาธิ ต้องนั่งสมาธิหลับตา
ภาวนา คนนั้นยังโง่อยู่
ถ้าผู้ใดเข้าใจว่า
สมาธิ เราทำได้ตลอดเวลา
ทุกลมหายใจ ผู้นั้นเข้าใจถูก

สมาธิ คือ การกำหนดสติ
รู้อยู่ในชีวิตประจำวัน
ในปัจจุบันตลอดเวลา
เรามาฝึกสมาธิ เพื่ออบรมจิตของเรา
ให้มีพลังงาน มีสติสัมปะชัญญะ
มีปัญญา เพื่อให้จิตของเรานี้
เป็นลูกศิษย์ ของพระพุทธเจ้า
โดยอัตโนมัติ เมื่อจิตมีสภาะวะ รู้ ตื่น
เบิกบาน ก็ได้ชื่อว่า จิตมีคุณธรรม
มีความเป็นพุทธะ"

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย





เวลาเรามีความทุกข์ แทนที่จะไปโทษสิ่งนอกตัว เราควรย้อนกลับมาดูตัวเองว่าเป็นเพราะเราไปยึดติดกับมัน จนทำให้เกิดปฏิกิริยาเกินเหตุหรือเปล่า เพื่อนร่วมงานอาจพูดถึงเราด้วยความรู้สึกธรรมดา แต่เราไปคิดปรุงแต่งว่าเขาไม่พอใจเรา เขาไม่ทักเรา เราก็ไปคิดว่าเขาโกรธเรา ทั้งๆ ที่เขาอาจมองไม่เห็นเราก็ได้ หรือเขาอาจกำลังมีความทุกข์อยู่ในใจก็ได้ ถ้าเราหันมามองตัวเองบ้าง เราก็อาจพบว่าปัญหาอยู่ที่ใจของเราเองที่ปรุงแต่งเกินเหตุ

คนที่แพ้เกสรดอกไม้ หรือแพ้ฝุ่นละอง วิธีแก้ก็คือกินยาเพื่อกดภูมิคุ้มกัน หรือทำให้มันปราดเปรียวว่องไวน้อยลง หรือทำให้ประสาทตื่นตัวช้าลง นั่นเป็นเรื่องของกาย แต่ในเรื่องของจิตใจ สิ่งที่ทำให้ใจหายตื่นเต้นตูมตามหรือมีปฏิกิริยาเกินเหตุก็คือสติ เราแพ้อะไร เรากลัวอะไร เราไปติดยึดกับอะไรจนเกินเหตุ ก็ต้องจัดการด้วยการมีสติให้มากๆ ไม่มีอะไรที่จะดีกว่าสติ

สติช่วยให้ใจนิ่งลง ปล่อยวางได้มากขึ้น ไม่วิตกกับสิ่งต่างๆ จนเกินเหตุ แม้จะเกิดโทสะ แต่เมื่อมีสติ ก็จะวางมันลงได้ แทนที่จะปรุงแต่งไปในทางที่ทิ่มแทงทำร้ายตัวเอง ก็วางใจเป็นกลาง ๆ เห็นมันเป็นธรรมดา หรือเป็นเช่นนั้นเอง ใครตำหนิ แทนที่จะโกรธ สติก็ช่วยให้ใจไม่โกรธง่ายๆ ปล่อยวางได้เร็วขึ้น

นอกจากทำให้ใจนิ่งได้แล้ว ยังช่วยให้มองในทางบวกได้ด้วย เช่น มองว่าที่เขาตำหนิก็ดีนะ ทำให้เราเห็นในสิ่งที่มองข้ามไป มีคนบอกว่าปรปักษ์หรือศัตรูมีประโยชน์ตรงที่ช่วยให้เราเห็นความจริงอีกด้านหนึ่งของเราที่เพื่อนๆ ไม่เคยบอกเรา มองแง่นี้เราก็ได้ประโยชน์จากศัตรู จึงไม่ควรรังเกียจ ผลักไส หรือปิดหูปิดใจไม่รับฟังเขา

ข้อธรรม คำสอน พระไพศาล วิสาโล





ผู้ที่ต้องการรสแห่งธรรม จำเป็นต้องปิดมือถือ
อย่าเปิด อย่าไปสนใจกับเหตุการณ์ต่าง ๆ
เพราะถ้าไปรับรู้ข่าวสารเรื่องราวแล้ว
ก็ทำให้ใจวุ่นวายได้ ทำใจให้สงบไม่ได้

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
๑๗ เมษายน ๒๕๕๙




โลกใบนี้ ไม่เคยให้ความสมหวังกับใคร
มีคนไหนบ้างไม่ร้องไห้ เผ็ดร้อน แสบสัน
เจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหนก็เจอมาแล้ว
ผ่านมาหมดแล้ว อย่าไปเสียเวลาอีกเลย
อุทิศตัวให้เป็นประโยชน์สูงสุดของการเกิดดีกว่า

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร





"ถ้าเราทำดีพูดดี
คนอื่นเขาว่าเราทำไม่ดี
ก็ไม่เป็นไร เมื่อเราทำดีแล้ว
คนอื่นว่าไม่ดี มันเป็นเรื่องของเขา

เราอย่าไปทิ้งความดี ของเรา
ความดีมันอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่คนอื่น
อย่าลืมว่ากรรมใคร ก็เป็นของคนนั้น
อย่ายึดมั่น และอย่าจับตาดูผู้อื่น"

หลวงปู่ชา สุภัทโท




หลวงตามหาบัวเล่า
ถึงคำสอนของหลวงปู่มั่น...

" ท่านมหา มรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน ? ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ฟ้าอากาศเป็นฟ้าอากาศ แร่ธาตุต่าง ๆ เป็นของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นมรรคผลนิพพาน เขาไม่ได้เป็นกิเลส กิเลสจริง ๆ มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่หัวใจ ขอให้ท่านกำหนดจิตจ่อด้วยสติที่หัวใจ ท่านจะเห็นความเคลื่อนไหวของทั้งธรรมของทั้งกิเลสอยู่ภายในใจ แล้วขณะเดียวกัน ท่านจะเห็นมรรคผลนิพพานไปโดยลำดับลำดา..."

"ท่านมหาก็นับว่าเรียนพอสมควรจนปรากฏนามเป็นมหา"

ผมจะพูดธรรมให้ฟังเพื่อเป็นข้อคิด แต่อย่าเข้าใจว่าผมประมาทธรรมของพระพุทธเจ้านะ เวลานี้ธรรมที่ท่านเรียนมาได้มากได้น้อย ยังไม่อำนวยผลประโยชน์ให้ท่านสมภูมิที่เป็นเปรียญนอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการภาวนาของท่านในเวลานี้เท่านั้น เพราะท่านจะอดเป็นกังวลและนำธรรมที่เรียนมานั้นเข้ามาเทียบเคียงไม่ได้ในขณะที่ทำใจให้สงบ ดังนั้น เพื่อความสะดวกในเวลาจะทำความสงบให้แก่ใจ ขอให้ท่านที่จะทำใจให้สงบยกบูชาไว้ก่อนในบรรดาธรรมที่ท่านได้เรียนมา...

ต่อมาเมื่อถึงกาลที่ธรรมซึ่งท่านเรียนมาจะมาช่วยสนับสนุนให้ท่านได้รับประโยชน์มากขึ้นแล้ว ธรรมที่เรียนมาทั้งหมด จะวิ่งเข้ามาประสานกันกับทางด้านปฏิบัติและกลมกลืนกันได้อย่างสนิท ทั้งเป็นธรรมแบบพิมพ์ ซึ่งเราควรจะพยายามปรับปรุงจิตใจให้เป็นไปตามนั้น แต่เวลานี้ผมยังไม่อยากจะให้ท่านเป็นอารมณ์กับธรรมที่ท่านเล่าเรียนมา...

อย่างไรจิตจะสงบลงได้หรือใช้ปัญญาคิดค้นในขันธ์ ก็ขอให้ท่านทำอยู่ในวงกายนี้ก่อน เพราะธรรมในตำราท่านชี้เข้ามาในขันธ์ทั้งนั้น แต่หลักฐานของจิตยังไม่มี จึงไม่สามารถนำธรรมที่เรียนมาจากตำราน้อมเข้ามาเป็นประโยชน์แก่ตนได้ และยังกลายเป็นสัญญาอารมณ์คาดคะเนไปที่อื่น จนกลายเป็นคนไม่มีหลักเพราะจิตคิดปริยัติในลักษณะไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านตั้งใจปฏิบัติไม่ท้อถอย วันหนึ่งข้างหน้าธรรมที่กล่าวนี้จะประทับใจท่านแน่นอน "





คนที่ถือกำเนิดเป็นคนนั้น ยังไม่จัดเป็นคนโดยสมบูรณ์ เพราะเหตุเพียงเกิดมามีรูปร่างเป็นคน ต่อเมื่อมีการปฏิบัติ ประกอบด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสมกับความเป็นคน จึงเรียกว่าเป็น คนโดยธรรม เมื่อมีธรรมของคนสมบูรณ์ จึงจะเชื่อว่าเป็นคนโดยสมบูรณ์ แม้คำในหิโตประเทศก็กล่าวว่าการกิน การนอน ความกลัวและการสืบพันธ์ของคนและดิรัจฉานเสมอกัน แต่ธรรมของคนและดิรัจฉานเหล่านั้นแปลกกว่ากัน เว้นจากธรรมเสีย คนก็เสมอกับดิรัจฉาน

-สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๙





สงบใจ เพราะไม่รับรู้อะไร - เปราะบางและไม่ยั่งยืน

นักปฏิบัติธรรมจะคุ้นเคยกับความสงบประเภทนี้ คือ เวลาที่อยากได้ความสงบก็จะปิดตา ให้จิตอยู่กับที่ เช่น อยู่กับลมหายใจ อาจจะมีคำบริกรรมเพื่อเกาะเกี่ยวใจไว้ไม่ให้ไปรับรู้อะไรทั้งอดีต อนาคต หรือปัจจุบันรอบตัว ก็จะได้ความสงบสมใจ
แต่ความสงบแบบนี้มีข้อจำกัด คือ ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมมาก หากเรากำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องแอร์ แล้วมีใครสักคนส่งส่งไอจาม หรือหากมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมากลางห้อง หรือมีเสียงรบกวนจากภายนอก ใจเราก็ไม่สงบแล้ว...นักปฏิบัติธรรมหลายคนจะพบว่าความสงบใจที่เกิดจากการไม่รับรู้อะไรนั้น มันค่อนข้างจะง่อนแง่นคลอนแคลนง่าย

นักปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง ปฏิบัติธรรมอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน ขณะปฏิบัติอยู่ก็สงบมาก เวลาย่างเท้าซ้าย ขวา จิตก็นิ่งอยู่กับการเคลื่อนที่ของร่างกาย ปฏิบัติธรรมจนถึง ๔ - ๕ โมงเย็น ครั้นได้เวลาเลิกก็กลับลงมาจากห้องประชุมเพื่อจะขับรถกลับบ้าน มาพบว่ารถของตนเองถูกรถอีกคันจอดซ้อนคัน เกิดโมโหขึ้นมาทันที ส่งเสียงด่ารุนแรงมาก ความสงบที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันอันตรธานหายไปเพราะประสบกับสิ่งที่ไม่สมควร ไม่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ขัดใจ จิตจึงกระเพื่อม โทสะเกิด ผลก็คือใจไม่สงบเสียแล้ว

อย่าคิดว่าถ้าเราใจสงบเพราะตัดการรับรู้แล้ว เราจะพบสิ่งที่น่าพอใจไปตลอด เราต้องยอมรับความจริงว่า เราไม่สามารถจะพบเจอเหตุการณ์ที่น่าพึงพอใจได้ตลอดเวลา แม้วันนี้อาจจะไม่มีอะไรขัดใจเรา แต่พรุ่งนี้ก็อาจจะมี เราไม่สามารถบังคับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่แวดล้อมเราให้ถูกใจเราได้ทั้งหมด แม้แต่คนใกล้ชิด เช่น ลูก สามี ภรรยา ลูกน้อง ก็อาจทำอะไรที่ไม่ถูกใจเราได้ นับประสาอะไรกับคนไกลตัว ดินฟ้าอากาศ การจราจร และเราก็หนีมันไม่พ้น...

เราต้องเจอ ต้องสัมผัส ต้องได้ยิน ได้เห็นได้รับรู้สิ่งที่ไม่ถูกใจเรา เราตัดการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ไม่ให้มีการรับรู้ได้เพียงชั่วคราว สุดท้ายก็ต้องออกมารับรู้ เพราะฉะนั้น หากเราพึ่งแต่ความสงบแบบนี้ก็คงไม่พอ

พระไพศาล วิสาโล





ทุกวันนี้เราก็เป็นชาวพูดมากกว่าชาวพุทธ พูดจริงแต่ไม่ค่อยทำ ชาวพูด พูดเฉยๆ เราไม่ได้เป็นชาวพุทธเพราะทะเบียน เราเป็นชาวพุทธเพราะความเพียร เราเพียรพยายามเลิกละสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม พยายามบำเพ็ญสิ่งที่ดีงามในชีวิต พยายามทำสมาธิภาวนาให้เกิดปัญญาในการแก้ปัญหาในชีวิต

-ชยสาโร ภิกขุ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO