นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 24 เม.ย. 2024 5:47 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 19 มี.ค. 2018 8:20 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4537
อนึ่ง ภิกษุใด ถืออัพโภกาสิกาธุดงค์, ชะรอยในปางก่อนภิกษุนั้นจะ
เป็นโจรปล้นบ้านเขาเป็นแน่; เพราะโทษที่ทำเรือนเขาให้ฉิบหาย เดี๋ยวนี้จึง
ต้องอยู่แต่ในที่แจ้ง ไม่ได้อาศัยในเสนาสนะ ด้วยผลวิบากแห่งกรรมอันนั้น.
อนึ่ง ภิกษุใด ถือเนสัชชิกธุดงค์, ชะรอยในปางก่อนภิกษุนั้น จะเป็นโจร
ปล้นในหนทางเปลี่ยวเป็นแน่; เพราะโทษที่จับคนเดินทางมาผูกมัดให้นั่งแกร่ว
อยู่ เดี๋ยวนี้จึงต้องนั่งแกร่วไม่ได้นอน ด้วยผลวิบากแห่งกรรมอันนั้น; ศีลของ
เธอไม่มี ความเพียร (ทรมานกิเลส) ของเธอไม่มี พรหมจรรย์ของเธอไม่มี."
เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสเช่นนี้ พระเถรเจ้าก็นิ่งอั้น ไม่ทูลถวายวิสัชนา
อย่างไรอีกได้. ราชอมาตย์ทั้งหลายนั้นจึงกราบทูลว่า "พระเถรเจ้าเป็นคนมี
ปัญญา, แต่ไม่กล้า จึงมิได้ทูลถวายวิสัชนาอย่างไรอีกได้." ครั้นพระเจ้ามิลินท์
ทอดพระเนตรเห็นพระเถรเจ้านิ่งอั้น ก็ตบพระหัตถ์ ทรงพระสรวลแล้ว ตรัสกะ
อมาตย์ทั้งหลายว่า "ชมพูทวีปนี้ว่างเปล่าทีเดียวหนอ, ไม่มีสมณะพราหมณ์ผู้
ไหน สามารถจะเจรจากับเรา บรรเทาความสงสัยเสียได้" ดังนี้แล้ว, เหลียว
ทอดพระเนตรเห็นหมู่อมาตย์มิได้หวาดหวั่นครั่นคร้าม มิได้เก้อเขิน จึงทรง
พระราชดำริว่า "ชะรอยจะมีภิกษุอะไรอื่น ๆ ที่ฉลาดสามารถจะเจรจากับเรา
อีกเป็นแม่นมั่น, ชาวโยนกเหล่านี้จึงไม่เก้อเขิน" ดังนี้แล้ว, ตรัสถามอมาตย์
ทั้งหลายนั้นว่า "ยังมีภิกษุอะไรอื่น ที่ฉลาดสามารถจะเจรจากับเรา บรรเทา
ความสงสัยเสียได้ อีกบ้างหรือ ?"
ในกาลนั้น พระนาคเสนเถรเจ้าอยู่ที่สังเขยยบริเวณนั้น กับภิกษุสงฆ์
แปดหมื่นรูป, เทวมันติยอมาตย์จึงกราบทูลว่า "ขอพระองค์ทรงรอก่อน ยังมี
พระเถระอีกรูปหนึ่งชื่อว่านาคเสน เป็นบัณฑิต มีปัญญาเฉียบแหลมว่องไว
กล้าหาญ เป็นพหุสุต พูดไพเราะ มีความคิดดี บรรลุบารมีธรรม แตกฉานใน
พระจตุปฏิสัมภิทา สามารถทราบเหตุผล ฉลาดในโวหาร มีปฏิภาณคล่องแค
ล่ว, บัดนี้ท่านอยู่สังเขยยบริเวณ, พระองค์เสด็จไปถามปัญหากะท่านเถิด,
ท่านสามารถจะเจรจากับพระองค์บรรเทาความสงสัยเสียได้."


พอพระเจ้ามิลินท์ได้ทรงสดับเสียงออกชื่อว่า นาคเสน ดังนั้น ให้ทรง
กลัวครั่นคร้ามสยดสยอง (แข็งพระหฤทัย) ตรัสถามเทวมันติยอมาตย์ว่า "
ท่านสามารถจะเจรจากับเราได้หรือไม่ ?"
เทวมันติยอมาตย์กราบทูลว่า "หากว่าจะเจรจากับเทพเจ้าซึ่งมีฤทธิ
อำนาจ มีท้าวโกสีย์เป็นต้นหรือกับท้าวมหาพรหม ท่านยังสามารถ, เหตุไฉน
จักไม่อาจเจรจากับมนุษย์ได้เล่า."
พระเจ้ามิลินท์จึงรับสั่งให้เทวมันติยอมาตย์ใช้ทูตไปแจ้งแก่ท่าน, ครั้น
ท่านถวายโอกาสแล้ว, ก็เสด็จไปสู่สังเขยยบริเวณ.
เวลานั้น พระนาคเสนเถรเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์แปดหมื่นรูปนั่งอยู่ที่
มณฑลมาลก (วิหารกลม) พระเจ้ามิลินท์ได้ทอดพระเนตรเห็นบริษัทของพระ
เถรเจ้าแต่ไกลแล้ว, ตรัสถามเทวมันติยอมาตย์ว่า "นั่นบริษัทของใคร จึงใหญ่
ถึงเพียงนี้."
เทวมันติยอมาตย์กราบทูลว่า "บริษัทของพระนาคเสนเถรเจ้า" ท้าว
เธอก็ยิ่งทรงครั่นคร้ามขามขยาด แต่เกรงราชบริพารจะดูหมิ่นได้ จึงสะกดพระ
ทัยไว้มั่น ตรัสแก่เทวมันติยอมาตย์ว่า "ท่านอย่าเพ่อบอกตัวพระนาคเสนแก่
เราเลย, เราจะหาพระนาคเสนให้รู้จักเอง, ไม่ต้องบอก."
เทวมันติยอมาตย์กราบทูลว่า "จะทรงทอดพระเนตรหาพระนาคเสนให้
รู้จักเองนั้นชอบแล้ว."
ในพระภิกษุสงฆ์นั้น พระนาคเสนเถรเจ้า อ่อนกว่าภิกษุสี่หมื่นรูป ซึ่ง
นั่งอยู่หน้า, แก่กว่าภิกษุสี่หมื่นรูป ซึ่งนั่งอยู่หลัง. พระเจ้ามิลินท์ทอดพระเนตร
ภิกษุสงฆ์ทั้งข้างหน้าข้างหลังและท่ามกลาง ได้ทอดพระเนตรเห็นพระนาค
เสนเถรเจ้านั่งอยู่ในท่ามกลางแห่งภิกษุสงฆ์ (มีท่าทางองอาจ) ปราศจาก
ความกลัวและครั่นคร้าม, ก็ทรงทราบโดยคาดอาการว่า "องค์นั้นแหละพระ
นาคเสน" ดังนี้แล้ว ตรัสถามเทวมันติยอมาตย์ว่า "องค์นั้นหรือพระนาคเสน."



เทวมันติยอมาตย์กราบทูลรับว่า "พระพุทธเจ้าข้า องค์นั้นแหละ พระ
นาคเสน, พระองค์ทรงรู้จักท่านถูกแล้ว." พระเจ้ามิลินท์ทรงยินดีว่า "พระองค์
ทรงรู้จักท่านถูกแล้ว." พระเจ้ามิลินท์ทรงยินดีว่า "พระองค์ทรงรู้จักพระนาค
เสนเอง ไม่ต้องทูล." พอทรงรู้จักพระนาคเสนแล้ว ก็ทรงกลัวครั่นคร้ามสยด
สยองยิ่งขึ้นกว่าเก่าเป็นอันมาก.
พาหิรกถาเรื่องนอกปัญหา จบ

มิลินทปัญหา
วรรคที่หนึ่ง
๑. นามปัญหา ๑

ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์ เสด็จเข้าไปใกล้พระนาคเสนเถรเจ้าแล้ว ทรง
ทำพระราชปฏิสันถารกับพระเถรเจ้า ด้วยพระวาจาปราศรัยควรเป็นที่ตั้งแห่ง
ความยินดี และควรเป็นที่ให้ระลึก
อยู่ในใจเสร็จแล้ว เสด็จประทับส่วนข้างหนึ่ง. แม้พระเถรเจ้าก็ทำปฏิสันถาร
ด้วยวาจาปราศรัย อัน
เป็นเครื่องทำพระหฤทัยของพระเจ้ามิลินท์ ให้ยินดีเหมือนกัน.
ครั้นแล้ว พระเจ้ามิลินท์ ตรัสถามพระเถรเจ้าว่า "ชนทั้งหลายเขารู้จัก
พระผู้เป็นเจ้าว่าอย่าง
ไร, พระผู้เป็นเจ้ามีนามว่าอย่างไร."
พระเถรเจ้าทูลตอบว่า "ชนทั้งหลายเขารู้จักอาตมภาพว่า 'นาคเสน,'
ถึงเพื่อนสพรหมจารี
ทั้งหลาย ก็เรียกอาตมภาพว่า 'นาคเสน,' แต่โยมตั้งชื่อว่า 'นาคเสน'
บ้าง ว่า 'สูรเสน' บ้าง ว่า
'วีรเสน' บ้าง ว่า 'สีหเสน' บ้าง, ก็แต่คำว่า 'นาคเสน' นี้ เป็นแต่เพียงชื่อที่นับ
กัน ที่รู้กัน ที่ตั้งกัน ที่
เรียกัน เท่านั้น, ไม่มีตัวบุคคลที่จะค้นหาได้ในชื่อนั้น."
ขณะนั้น พระเจ้ามิลินท์ตรัสประกาศว่า "ขอพวกโยนกอมาตย์
ห้าร้อย และภิกษุสงฆ์
แปดหมื่น จงฟังคำข้าพเจ้า, พระนาคเสนองค์นี้ กล่าวว่า "ไม่มีตัวบุคคลที่
จะค้นหาได้ในชื่อนั้น,"
ควรจะชอบใจคำนั้นได้ละหรือ." แล้วจึงตรัสถามพระนาคเสนว่า "ถ้าว่าไม่มีตัว
บุคคลที่จะค้นหาได้,
ใครเล่าถวายจตุปัจจัย คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัช แก่พระ
ผู้เป็นเจ้า, ใครฉัน
จตุปัจจัยนั้น, ใครรักษาศีล, ใครเจริญภาวนา, ใครทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง.
ใครฆ่าสัตว์มีชีวิต,
ใครถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว, ใครประพฤติผิดในกามทั้งหลาย, ใคร
พูดเท็จ, ใครดื่มน้ำ
เมา, ใครทำอนันตริยกรรมห้าอย่าง; เหตุนั้น ไม่มีกุศล, ไม่มีอกุศล, ไม่มีผู้ทำ
เองก็ดี ผู้ใช้ให้ทำก็ดี ซึ่ง
กรรมที่เป็นกุศลและอกุศล, ไม่มีผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วนะซิ, ถ้าผู้
ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้า
ตาย ไม่เป็นปาณาติบาตแก่ผู้นั้นนะซิ, อนึ่ง อาจารย์ก็ดี อุปัชฌาย์ก็ดี
อุปสมบทก็ดี ของพระผู้เป็น
เจ้าก็ไม่มีนะซิ; พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า "เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายเรียกอาตม
ภาพว่า 'นาคเสน' ดัง
นี้, อะไรชื่อว่า นาคเสนในคำนั้น, ผมหรือ พระผู้เป็นเจ้า ชื่อว่านาคเสน."
เมื่อพระเถรเจ้าทูลว่า "มิใช่." จึงตรัสไล่ต่อ ๆ ไปจนตลอดอาการ
สามสิบสองโดยลำดับว่า
"ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด
ไต ปอด ไส้ สายรัดไส้
อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี มวก หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำ
ลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
มันในสมอง แต่ละอย่าง ๆ ว่าเป็นนาคเสนหรือ ?"
พระเถรเจ้าก็ทูลตอบว่า "มิใช่."-
จึงตรัสไล่ว่า "เบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่
ละอย่าง ๆ ว่าเป็น
นาคเสนหรือ ?"
พระเถรเจ้าก็ทูลตอบว่า "มิใช่."
จึงตรัสไล่ว่า "รวมทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือชื่อว่า
นาคเสน, หรือนาคเสน
จะมีนอกจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ."
พระเถรเจ้าก็ทูลตอบว่า "มิใช่ ๆ ทุกข้อ." เมื่อเป็นทีฉะนี้แล้ว จึงตรัสเย้ย
ว่า "ข้าพเจ้าถาม
พระผู้เป็นเจ้าไป ก็ไม่พบว่าอะไรเป็นนาคเสน, หรือเสียงเท่านั้นแหละเป็นนาค
เสน, หรืออะไรเป็น
นาคเสนในคำนั้น, พระผู้เป็นเจ้าพูดมุสาวาทเหลวไหล, ไม่มีนาคเสนสัก
หน่อย."
เมื่อพระเถรเจ้าจะถวายวิสัชนาแก้ปัญหานั้น จึงทูลบรรยายเป็น
ปราศรัย เพื่ออ้อมหาช่อง
ให้พระเจ้ามิลินท์ ตรัสตอบให้ได้ที อย่างนี้ก่อนว่า "พระองค์เป็นพระมหา
กษัตริย์เจริญในความสุข
ล่วงส่วนแห่งสามัญชน, พระองค์เสด็จมาถึงกำลังเที่ยง พื้นแผ่นดินกำลังร้อน
จัด ทรายตามทางก็
กำลังร้อนจัด ถ้าทรงเหยียบก้อนกรวดกระเบื้องและทรายที่กำลังร้อนจัด เสด็จ
พระราชดำเนินมา
ด้วยพระบาทแล้ว พระบาทคงจะพอง, พระกายคงจะลำบาก, พระหฤทัยคง
จะเหนื่อยอ่อน, พระ
กายวิญญาณที่กอปรด้วยทุกข์คงจะเกิดขึ้นเป็นแน่, พระองค์เสด็จพระราช
ดำเนินมาด้วยพระบาท
หรือด้วยราชพาหนะ ?"
พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า "ข้าพเจ้าไมได้เดินมา, ข้าพเจ้ามาด้วยรถ."
พระเถรเจ้าได้ทีจึงทูลว่า "ถ้าพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาด้วยรถ,
ขอจงตรัสบอกแก่อา
ตมภาพว่า อะไรเป็นรถ งอนหรือเป็นรถ."
พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า "มิใช่."
พระเถรเจ้าจึงทูลถามต่อไปอีกว่า "เพลา ล้อ เรือน คัน แอก สายขับ
แส้ แต่ละอย่าง ๆ ว่า
เป็นรถหรือ ?"
พระเจ้ามิลินท์ก็ตรัสตอบว่า "มิใช่."
พระเถรเจ้าทูลถามว่า "หรือสัมภาระเหล่านั้นทั้งหมดเป็นรถ, หรือว่ารถ
นั้นสิ่งอื่นนอกจาก
สัมภาระเหล่านั้น ?"
พระเจ้ามิลินท์ก็ตรัสว่า "มิใช่."
พระเถรเจ้าจึงทูลเป็นคำเย้ยว่า "อาตมภาพทูลถามพระองค์ไปก็ไม่พบ
ว่า อะไรเป็นรถ, หรือ
เสียงเท่านั้นแหละเป็นรถ, หรืออะไรเป็นรถในคำนั้น, พระองค์ตรัสมุสาวาท
เหลวไหล, ไม่มีรถสัก
หน่อย พระองค์เป็นถึงยอดพระเจ้าแผ่นดินทั่วพื้นชมพูทวีป, พระองค์ทรงกลัว
ใครจึงต้องตรัสมุสา
เช่นนี้ ขอโยนกามาตย์ห้าร้อย กับภิกษุสงฆ์แปดหมื่น จงฟังคำข้าพเจ้า, พระ
เจ้ามิลินท์พระองค์นี้
ตรัสว่า 'พระองค์เสด็จมาด้วยรถ.' ข้าพเจ้าทูลให้ทรงแสดงว่า อะไรเป็นรถ ก็
ทรงแสดงให้ปรากฏไม่
ได้, ควรจะชอบใจคำที่ตรัสนั้นได้ละหรือ ?"-
เมื่อพระเถรเจ้ากล่าวฉะนี้แล้ว โยนกามาตย์ห้าร้อย ได้ถวายสาธุการ
แก่พระเถรเจ้าแล้ว ทูล
พระเจ้ามิลินท์ว่า "บัดนี้ถ้าพระองค์สามารถ ก็ตรัสแก้ปัญหานั้นเถิด."
พระเจ้ามิลินท์ จึงตรัสกับพระเถรเจ้าว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้พูดมุสา, อาศัย
ทั้งงอน ทั้งเพลา ทั้ง
ล้อ ทั้งเรือน ทั้งคัน เข้าด้วยกัน จึงได้ชื่อว่ารถ."
พระเถรเจ้าจึงตอบว่า "พระองค์ทรงรู้จักรถถูกแล้ว ข้อนี้ฉันใด; อาศัย
ทั้งผม ทั้งขน จนถึงมัน
ในสมอง อาศัยทั้งรูป ทั้งเวทนา ทั้งสัญญา ทั้งสังขาร ทั้งวิญญาณ จึงมีชื่อของ
อาตมภาพว่า นาค
เสนฉันนั้น. ก็แต่ว่าโดยปรมัตถ์แล้ว ไม่มีตัวบุคคลที่จะค้นได้ในชื่อนั้น. แม้คำนี้
นางวชิราภิกษุณี ได้
ภาษิต ณ ที่เฉพาะพระพักตร์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า 'เหมือนอย่างว่า
เพราะอาศัยองค์ที่เป็น
สัมภาระ จึงมีศัพท์กล่าวว่า 'รถ' ดังนี้ ฉันใด, เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ ก็มีคำ
สมมติว่า 'สัตว์' เหมือน
กัน ฉันนั้น." เมื่อพระเถรเจ้าถวายวิสัชนาความกล่าวแก้ปัญหาฉะนี้แล้ว, พระ
เจ้ามิลินท์ ทรง
อนุโมทนาว่า "ข้อที่พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาปัญหานั้นเป็นอัศจรรย์ น่าประหลาด
จริง, พระผู้เป็นเจ้า
วิสัชนาปัญหาวิจิตรยิ่งนัก, ถ้าพระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่ คงจะประทาน
สาธุการเป็นแน่, พระ
ผู้เป็นเจ้ากล่าวแกปัญหาวิจิตรยิ่งนัก ดีแท้ชอบแท้."

๒. วัสสปัญหา ๒

พระราชาตรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้าพรรษาเท่าไร ?"
พระเถรเจ้าทูลตอบว่า "อาตมภาพมีพรรษาเจ็ด."
ร. "อะไรชื่อว่าเจ็ด, พระผู้เป็นเจ้าชื่อว่าเจ็ด หรือการนับชื่อว่าเจ็ด ?"
ในเวลานั้นเงาของพระราชาอันทรงเครื่องอย่างขัติยราช ปรากฏอยู่ ณ
พื้นแผ่นดิน และ
ปรากฏอยู่ที่หม้อน้ำ.
ถ. "เงาของพระองค์นี้ ปรากฏอยู่ที่พื้นแผ่นดินและที่หม้อน้ำ, พระองค์
เป็นพระราชา หรือว่า
เงาเป็นพระราชา ?"
ร. "ข้าพเจ้าเป็นพระราชา, เงานี้มิใช่พระราชา, ก็แต่ว่าเงานี้อาศัย
ข้าพเจ้าเป็นไป."
ถ. "ข้อนี้ฉันใด ความนับพรรษาชื่อว่าเจ็ด, อาตมภาพมิได้ชื่อว่าเจ็ด, ก็
แต่คำว่าเจ็ดนั้น
อาศัยอาตมภาพเป็นไป เหมือนอย่างเงาของพระองค์ ฉันนั้น."
ร. "พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ปัญหาเป็นอัศจรรย์ น่าประหลายจริง
ปัญหาที่พระผู้เป็นเจ้า
กล่าวแก้วิจิตรยิ่งนัก."-


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO