นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 19 มี.ค. 2024 12:20 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 16 มี.ค. 2018 4:08 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4501
น. "เราเว้นจากกิจการบ้านเรือน เพื่อจะละมลทินที่ลามกเสียแล้ว, เรา
จึงชื่อว่าเป็นบรรพชิต."
น. "เหตุไฉน ผมของท่านจึงไม่เหมือนของเขาอื่นเล่า ?"
ร. "เราเห็นเหตุเครื่องกังวลสิบหกอย่าง เราจึงโกนเสีย. เหตุเครื่องกังวล
สิบหกอย่างนั้น คือ กังวลด้วยต้องหาเครื่องประดับหนึ่ง กังวลด้วยต้องแต่ง
หนึ่ง, กังวลด้วยต้องทาน้ำมันหนึ่ง, กังวลด้วยต้องสระหนึ่ง, กังวลด้วยต้อง
ประดับดอกไม้หนึ่ง, กังวลด้วยต้องทาของหอมหนึ่ง, กังวลด้วยต้องอบกลิ่น
หนึ่ง, กังวลด้วยต้องหาสมอ (สำหรับสระ) หนึ่ง, กังวลด้วยต้องหามะขามป้อม
(สำหรับสระ) หนึ่ง, กังวลด้วยจับเขม่าหนึ่ง, กังวลด้วยต้องเกล้าหนึ่ง, กังวล
ด้วยต้องหวีหนึ่ง, กังวลด้วยต้องตัดหนึ่ง, กังวลด้วยต้องสางหนึ่ง, กังวลด้วย
ต้องหาเหาหนึ่ง, และเมื่อผมร่วงโกรน เจ้าของย่อมเสียดายหนึ่ง: รวมเป็นเหตุ
เครื่องกังวลสิบหกอย่าง. คนที่กังวลอยู่ในเหตุสิบหกอย่างนี้ ย่อมทำศิลปที่
สุขุมยิ่งนักให้ฉิบหายเสียทั้งหมด."
น. "เหตุไฉน ผ้านุ่งผ้าห่มของท่าน จึงไม่เหมือนของเขาอื่นเล่า ?"
ร. "ผ้าที่กิเลสกามอิงอาศัย เป็นที่ใคร่ของคน เป็นเครื่องหมายเพศ
คฤหัสถ์; ภัยอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นเพราะผ้า, ภัยนั้นมิได้มีแก่
ผู้ที่นุ่งห่มผ้าย้อมด้วยน้ำฝาด; เหตุนั้น ผ้านุ่งห่มของเราจึงไม่เหมือนของเขา
อื่น."
น. "ท่านรู้ศิลปศาสตร์อยู่บ้างหรือ ?"-
ร. "เออ เรารู้, แม้มนต์ที่สูงสุดในโลกเราก็รู้."
น. "ท่านจะให้มนต์นั้นแก่ข้าพเจ้าได้หรือ ?"
ร. "เออ เราจะให้ได้."
น. "ถ้าอย่างนั้น ท่านให้เถิด."
ร. "เวลานี้ยังไม่เป็นกาล เพราะเรายังกำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่."

ลำดับนั้น นาคเสนรับบาตรจากหัตถ์พระเถรเจ้าแล้ว, นิมนต์ให้เข้าไป
ในเรือนแล้ว, อังคาสด้วยขัชชะโภชชาหารอันประณีต ด้วยมือของตนจนอิ่ม
แล้ว, พูดเตือนว่า "เวลานี้ท่านให้มนต์นั้นเถิด."
พระเถรเจ้าตอบว่า "ท่านจะขอให้มารดาบิดาอนุญาตแล้ว ถือเพศ
บรรพชิตที่เราถืออยู่นี้ เป็นคนไม่มีกังวลได้เมื่อใด, เราจะให้แก่ท่านเมื่อนั้น."
นาคเสนจึงไปหามารดาบิดาบอกว่า "บรรพชิตรูปนี้พูดอยู่ว่า 'รู้มนต์ที่
สูงสุดในโลก' ก็แต่ไม่ยอมให้แก่ผู้ที่ไม่ได้บวชในสำนักของตน ฉันจะขอบวช
เรียนมนต์นั้นในสำนักของบรรพชิตผู้นี้."
มารดาบิดาสำคัญใจว่า ลูกของตนบวชเรียนมนต์นั้นแล้ว จักกลับมา
จึงอนุญาตว่า "เรียนเถิดลูก." ครั้นมารดาบิดาอนุญาตให้นาคเสนบวชแล้ว
พระโรหณะผู้มีอายุก็พานาคเสนไปสู่วัตตนิยเสนาสน์และวิชัมภวัตถุเสนาสน์
แล้ว พักอยู่ที่วิชัมภวัตถุเสนาสน์ราตรีหนึ่งแล้วไปสู่พื้นถ้ำรักขิตคูหา
แล้ว บวชนาคเสนในท่ามกลางพระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏิ ณ ที่นั้น.
พอบวชแล้วสามเณรนาคเสนก็เตือนพระเถรเจ้าว่า "ข้าพเจ้าได้ถือเพศ
ของท่านแล้ว, ขอท่านให้มนต์นั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด."
พระเถรเจ้าตรองว่า "เราจะแนะนาคเสนในอะไรก่อนดีหนอ จะแนะใน
พระสุตตันปิฎกก่อนดี หรือจะแนะในพระอภิธรรมปิฏกก่อนดี," ครั้นตรองอยู่
อย่างนี้ ได้สันนิษฐานลงว่า "นาคเสนผู้นี้ มีปัญญาสามารถจะเรียนพระ
อภิธรรมปิฎกได้โดยง่าย," จึงได้แนะให้เรียนพระอภิธรรมปิฏกก่อน.
สามเณรนาคเสนสาธยายหนเดียว ก็จำพระอภิธรรมปิฏกได้คล่องทั้ง
หมดแล้ว จึงบอกพระเถรเจ้าว่า "ขอท่านหยุดอย่าสวดต่อไปเลย; ข้าพเจ้าจัก
สาธยายแต่เพียงเท่านี้ก่อน." แล้วเข้าไปหาพระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏิแล้ว กล่าว
ว่า "ข้าพเจ้าจะสวดพระอภิธรรมปิฎกทั้งหมดถวายโดยพิสดาร."
พระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏินั้นตอบว่า "ดีละ นาคเสน ท่านสวดเถิด."

สามเณรนาคเสนก็สวดพระธรรมเจ็ดคัมภีร์นั้นโดยพิสดาร ถึงเจ็ด
เดือนจึงจบ มหาปฐพีบันลือเสียงลั่น, เทวดาถวายสาธุการ, มหาพรหมตบ
พระหัตถ์, เทพเจ้าทั้งหลายบันดาลจุรณ์จันทน์และดอกมัณฑทารพอันเป็น
ของทิพย์ให้ตกลง ดุจห่าฝนแล้ว. ครั้นสามเณรนาคเสนมีอายุได้ยี่สิบปี
บริบูรณ์แล้ว. พระอรหันต์เจ้าร้อยโกฏิ ก็ประชุมกันที่พื้นถ้ำรักขิตคูหา ให้
สามเณรนาคเสนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ, ครั้นรุ่งเช้าพระนาคเสนเข้าไป
บิณฑบาตในบ้านกับพระอุปัชฌาย์ดำริแต่ในจิตว่า "พระอุปัชฌาย์ของเรา
เป็นคนไม่รู้จักอะไรหนอ, พระอุปัชฌาย์ของเราเป็นคนเขลาหนอ, เพราะ
ท่านสอนให้เราศึกษาพระอภิธรรมปิฎกก่อนกว่าพระพุทธวจนะอื่น ๆ.
พระโรหณะผู้มีอายุผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ทราบความดำริในจิตของ
พระนาคเสนแล้ว กล่าวว่า "นาคเสน ท่านดำริไม่สมควร, ความดำริเช่นนี้สม
ควรแก่ท่านก็หามิได้."
พระนาคเสนนึกในใจว่า "น่าอัศจรรย์หนอ ! พระอุปัชฌาย์ของเรา
ท่านมาทราบความดำริในจิตของเรา ด้วยวารจิตของท่าน, พระอุปัชฌาย์ของ
เรา ท่านมีปัญญาแท้ ๆ, ถ้าอย่างไร เราจะขอขมาให้ท่านอดโทษเสีย." ครั้นคิด
อย่างนี้แล้ว จึงขอขมาโทษว่า "ขอท่านจงอดโทษให้แก่ข้าพเจ้า ต่อไปข้าพเจ้า
จักไม่คิดเช่นนี้อีก."
พระเถรเจ้าตอบว่า "เราไม่ยอมอดโทษด้วยเพียงแต่สักว่าขอขมาเท่านี้.
ก็แต่ว่ามีราชธานีหนึ่ง ชื่อว่าสาคลนคร, พระเจ้าแผ่นดินผู้ครองราชสมบัติใน
ราชธานีนั้น ทรงพระนามว่าพระเจ้ามิลินท์, เธอโปรดตรัสถามปัญหาปรารภ
ทิฏฐิลัทธิต่าง ๆ ทำพระภิกษุสงฆ์ให้ได้ความลำบาก ในการที่จะกล่าวแก้
ปัญหา ซึ่งเธอตรัสถาม, ถ้าว่าท่านจะไปทรมานเธอให้เลื่อมใสได้แล้ว เราจึง
จะยอมอดโทษให้."


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO