นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 4:20 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ลักษณะของบุญ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 21 ม.ค. 2018 11:23 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4539
"ลักษณะของบุญ คือ ใจเราดี
ใจเรามีความสุข ใจเรามีความสบาย
เย็นอกเย็นใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ไม่วุ่นไม่วาย นี่แหล่ะบุญ มีกันหรือยัง? "
-:- หลวงปู่ฝั้น อาจาโร -:-


"ครูอาจารย์ดีๆ มีอยู่มากมายก็จริง
แต่สำคัญที่เรา ต้องปฏิบัติให้จริง
สอนตัวเองให้มากนั่นแหละ จึงจะดี"
-:- หลวงปู่ดู่ พฺรหมฺปญฺโญ -:-



"คนที่ไวต่อความทุกข์
จะรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนโชคร้าย
แต่แท้จริงแล้วนั่น
เป็นเพราะเขาด้านชา ต่อสิ่งดีๆ
ที่เข้ามาในชีวิตต่างหาก"
-:- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล -:-






ท่านพ่อลีระลึกชาติ
ท่านพ่อลีเล่าต่อว่า...
เมื่อเราเกิดมาได้เพียง๙วันมีอาการร้องไห้กระจองอแงรบกวนพ่อแม่เป็นอย่างมากไม่มีใครสามารถจะเลี้ยงให้ถูกใจได้เป็นเด็กที่เลี้ยงยากซุกซนที่สุดมักร้องไห้เอาแต่ใจเสมอเมื่อโยมแม่ออกไฟได้๓วันเราเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคบนศีรษะไม่ยอมกินไม่ยอมนอนเป็นเวลาหลายวัน
“อันโรคเจ็บปวดบนศีรษะที่เป็นมาตั้งแต่เกิด”นั้นเป็นบุพพกรรมมาตั้งแต่อดีตชาติที่เคยพรากชีวิตสัตว์ไว้เราเคยเกิดเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่รบได้ชัยชนะมาทั้ง๔ทิศได้สร้างกรรมหนักหน่วงด้วยการฆ่ามนุษย์ทรมานนักโทษด้วยเครื่องบีบศีรษะและเครื่องทรมานอื่นๆอันเป็นเครื่องทรมานที่สุดแสนจะทารุณเพื่อให้เขายอมรับผิดและพูดความจริงถึงความลับของอริราชศัตรูแต่การได้ชัยชนะเหล่านั้นมากลับเป็นการสร้างเวรกรรมที่ไม่มีวันจะจบสิ้น... ส่งผลให้ชาติปัจจุบันเราต้องมีอาการปวดศีรษะและจะอายุสั้นเพราะเราได้ฆ่ามนุษย์ไว้มากในชาติที่เป็นกษัตริย์นั้น
เนื่องจากท่านพ่อลีธมฺมธโรได้เคยปรารภถึงเรื่องในอดีตชาติก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของท่านไว้ว่า
ท่านเคยเกิดเป็นชาวจังหวัดจันทบุรีมีฐานะมั่งคั่งพรั่งพร้อมมีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายเป็นบุตรชายคนที่สองพ่อแม่รักถนอมดั่งดวงใจ
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาประวัติของท่านพ่อมาถึงตรงนี้จึงเกิดความคิดสะกิดใจใคร่รู้ใคร่เห็นในชาติที่ท่านเกิดครั้งนั้นว่าน่าจะมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่านี้สมควรที่จะไขปริศนาความลี้ลับแห่งภพชาติหนหลังของท่านอันจะเป็นกุญแจไขไปสู่ประตูแห่งนรกสวรรค์และพระนิพพานได้เป็นอย่างดี.
ด้วยเหตุนี้จึงพยายามสืบค้นหาความจริงยืนยันในเรื่องนี้เมื่อเป็นที่แน่ใจแล้วผู้เขียนและทีมงานจึงเดินทางไปพบกับคุณลุงสถิตย์ไมตรีเวชซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของท่านพ่อลีทันทีณบ้านเลขที่๖๒๙/๑๒๐ตำบลท้ายบ้านอำเภอเมืองจังหวัดสมุทรปราการ
เมื่อคุณลุงสถิตย์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นสรรพากรจังหวัดสระบุรีก่อนที่จะเกษียณอายุราชการได้เข้าใจถึงสาเหตุที่พวกเรามาพบแล้วคุณลุงจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่พอจะจำได้ให้พวกเราฟังว่า
ชาติก่อนนั้นท่านพ่อลีเป็นน้องชายของพ่อผมคือขุนแพทย์ไพบูลย์ (ไพบูลย์ไมตรีเวช) ทั้งคู่เป็นบุตรของก๋ง(ปู่)จันทร์และคุณย่าฮ้วยไมตรีเวชซึ่งเป็นคนรวยมีที่ดินและห้องแถวให้เช่าอยู่จังหวัดจันทบุรีแต่ย่าเป็นคนมีนิสัยค่อนข้างหนักไปทางตระหนี่ถี่เหนียวไม่ชอบทำบุญสุนทานอะไรเลย
ชาตินั้นท่านพ่อลีอายุสั้นมากตายตอนอายุได้แค่๘ขวบเท่านั้นเองท่านตายไปได้ไม่กี่ปีท่านก็มาเกิดใหม่อีกในชาตินี้คุณแม่และพี่ชายของท่านยังมีชีวิตอยู่เรียกได้ว่า “ทวิภพ” คือ “ท่านเป็นคน๒ภพ” คือตายแล้วเกิดใหม่พ่อแม่เก่าและญาติพี่น้องก็ยังคงอยู่เป็นเรื่องน่าพิศวง
ฉะนั้นผมซึ่งเป็นหลานของท่านจึงทันได้พบท่านและพอรู้เรื่องราวจากพ่อผมเล่าให้ผมฟังว่า ในปีพ.ศ. ๒๔๘๕ท่านพ่อลีซึ่งบวชเป็นพระแล้วได้มาหาย่าที่บ้านย่าก็รู้สึกแปลกใจสงสัยว่าพระมาทำไม? ไม่ได้รู้จักกันซักหน่อยด้วยความที่ย่าเป็นคนตะหนี่ถี่เหนียวมากก็กลัวว่าพระจะมาขอเรี่ยไรเงินจึงถามท่านพ่อว่า
“ท่านชื่ออะไร? มาจากไหน? มาทำไม?”
ท่านพ่อท่านก็ไม่มีลีลามากท่านก็พูดโต้งๆซื่อๆว่า
“อาตมาชื่อ ‘ลี’ มาจากวัดป่าคลองกุ้งมาหาคุณแม่คุณแม่เป็นโยมแม่ของอาตมาเมื่อชาติปางก่อน” คุณย่าได้ฟังดังนั้นก็ตกใจไม่เชื่อคิดว่าท่านพ่อลีมาหลอกเพราะทราบว่า “ตัวเป็นคนรวยคงอยากได้เงินได้สมบัติละสิ”
ในส่วนตัวผมคิดว่าท่านหวังจะมาโปรดให้คุณย่ารู้จักทำบุญทำทานเสียบ้างอายุมากแล้วตอนนั้นก็อายุตั้ง๗๙ปียังไม่รู้จักการให้ทานรักษาศีลสักเท่าไหร่...งกที่สุด
จากนั้นท่านพ่อจึงบอกว่า “โยมแม่อาตมาไม่ได้หวังอะไรในสมบัติของโยมเลยโปรดฟังอาตมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าสิ่งที่อาตมาพูดเป็นความจริงหรือความเท็จหรือแต่งเรื่องขึ้นมา” คุณย่าจึงเรียกพ่อผมมาฟังด้วยเพราะฟังคนเดียวเดี๋ยวโดนพระหลอก
ท่านพ่อลีจึงเล่าเรื่องแต่ปางก่อนอย่างช้าๆว่า... “โยมแม่จำได้ไหมว่าไฟเคยไหม้ที่ตลาดของเราเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๔๕ตอนนั้นอาตมาอายุได้เพียง๘ปีโดนไฟครอกพุพองไหม้เกรียมไปทั้งร่างโยมแม่ร้องไห้แทบเป็นแทบตายเบื้องต้นอาตมายังไม่ตายโยมแม่เฝ้าถนอมรักษาอยู่นานวันหลังจากนั้นไม่นานอาตมาก็ถึงแก่ความตายตอนอายุ๘ปี หลังจากตายไป๔ปีคือในปีพ.ศ. ๒๔๔๙อาตมาก็มาเกิดใหม่ที่จังหวัดอุบลฯตอนนี้แม่ที่อุบลฯก็ตายแล้วอาตมาอยากตอบแทนบุญคุณแม่ที่ยังไม่ตายคือแม่ที่นั่งอยู่ต่อหน้าต่อตาอาตมานี้เอง คุณย่าฮ้วยและพ่อผมนั่งฟังนิ่งพยายามลำดับเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆในอดีตตามที่ท่านพ่อลีเล่าถึงแม้เรื่องนี้จะผ่านมานานแล้วแต่คุณย่ายังจำฝังใจไม่มีวันลืมเลือนในเหตุการณ์ครั้งนั้นถ้าหากท่านพ่อลีเล่าผิดนิดเดียวนั้นแสดงว่าหาข้อมูลมาโกหก
แม้ที่ท่านพ่อลีพูดมานั้นจะถูกต้องทุกเรื่องแต่ก็มิได้ทำให้คุณย่าฮ้วยเชื่อและลงใจแกก็ยังลังเลที่จะเชื่อว่าเป็นลูกของตัวจริงๆ
ท่านพ่อลีจ้องหน้าคุณย่าด้วยสายตาคมกริบและพูดอย่างหนักแน่นว่า... “โยมแม่!... อาตมาลืมบอกไปเรื่องหนึ่งคือตอนที่อาตมาเป็นเด็กในครั้งนั้นอาตมามีแผลเป็นอยู่ตรงขาด้านซ้ายซึ่งเกิดจากตอนเป็นเด็กซุกซนมากขามีแผลเหวอะหวะคุณแม่ยังเอายามาคอยทาให้เรื่องนี้นอกจากคุณแม่และพี่ชายและอาตมาแล้วคงไม่มีใครอาจรู้ได้”
คุณย่าฮ้วยกับพ่อผมได้ฟังดังนั้นเหมือนฟ้าดินถล่มภายในดวงใจถึงกับน้ำตาไหลย่าฮ้วยจ้องมองท่านพ่อลีด้วยนัยตาแห่งความอ่อนโยนอันสื่อมาจากความรักเอ็นดูของแม่สงสารท่านพ่อลีเป็นกำลังถ้าไม่ใช่พระคุณย่าคงเข้าไปโอบกอดท่านแล้ว
“แม่... เรื่องในครอบครัวนี้ไม่มีใครจะสามารถรู้ได้นอกจากพวกเราเอง” พ่อผมพูดขึ้น
“โถ...ลูกแม่” ย่าฮ้วยอุทานพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
“พระท่านสอนบุญบาปมีชาติหน้ามีจริงนรกสวรรค์มีจริงแท้ๆ” ย่าฮ้วย
อุทานอีกครั้ง “บุญค้ำจุนแท้ๆที่ได้พบกัน” ย่าฮ้วยพร่ำรำพันแล้วรำพันเล่า
และท่านพ่อลีก็ได้เล่าเรื่องต่างๆในอดีตมากมายให้ย่าฮ้วยฟังเสียดายผมจำมาจากพ่อไม่ได้หมด”
คุณลุงสถิตย์บ่นเสียดาย “ผมสรุปสั้นๆก็แล้วกันว่าคุณย่าเชื่อสนิท”
จากนั้นท่านพ่อลีก็ไปๆมาๆที่บ้านย่าฮ้วยเป็นประจำมาดูแลย่าเช่นยามเวลาย่าเจ็บป่วยก็ส่งคนมาช่วยดูแลส่วนท่านก็มาถามไถ่ว่าเป็นไงบ้างโยมแม่และหาของมาฝากมาให้เสมอ คุณย่าก็ยิ่งรักท่านพ่อลีรักมากๆรักเหมือนลูกในไส้
พวกเราทั้งตระกูลก็รักท่าน
กาลต่อมาคุณย่ากราบขออ้อนวอนให้ท่านสึกมารับทรัพย์มรดกท่านก็ไม่สึก
ท่านพ่อลีตอบว่าถ้าจะให้ก็ไม่ต้องให้ส่วนตัวหรอกทำบุญไปเลยให้วัดไปเลยอาตมาไม่เอาคุณย่าเห็นว่าท่านพ่อมีความตั้งใจอย่างนั้นจริงๆจึงทำตามที่ท่านพ่อบอก
ที่จำได้ย่ายกสมบัติที่มีให้วัดยกที่ให้โรงเรียนส่วนหนึ่งของวัดป่าคลองกุ้งก็เป็นที่ย่าติดกับบ้านที่ย่าอยู่มีสวนมะม่วงด้วยผมเคยทานข้าวที่บ้านแล้วไปนั่งส้วมที่สวนมะม่วงใกล้กันมากแหงนหน้ามีแต่มะม่วงเก็บมะม่วงด้วยเพราะส้วมสมัยนั้นไม่มีหลังคา
พ่อผมก็ยินดีที่ย่าเอาสมบัติส่วนของท่านพ่อลีทำบุญถวายวัดไปเพราะพ่อก็แน่ใจว่าท่านพ่อลีคือน้องชายที่ตายไปตอนอายุได้๘ขวบจริงๆ
ต่อมาภายหลังพ่อกับย่ามาอยู่ที่บางคล้าแปดริ้วพ่อมาเป็นคหบดีที่นี่ย่ามาตายที่บางคล้ายังไม่ทันเผาศพย่าพ่อก็ตายอีก
พอท่านพ่อทราบข่าวก็มาที่บางคล้าถามไถ่ลูกหลานว่าเป็นยังไงทำบุญยังไงงานศพคุณย่ากับงานศพพ่อทำที่วัดแจ้งเป็นงานใหญ่มากท่านพ่อลีแข็งขันมากท่านมาจูงศพให้เองทำเหมือนกับท่านเป็นเจ้าภาพองค์หนึ่งท่านมาจากเมืองจันท์ฯมากันหลายคนท่านนั่งตรงที่ตั้งศพคนจันท์ฯก็จะนั่งอยู่ข้างๆความที่เราไม่รู้ประสีประสาความคารวะอะไรเราก็ไม่รู้เรื่องได้แต่สงสัยว่าแหมเขาคอยอะไรนะสักพักท่านพ่อคายชานหมากเขาก็รีบรับมาแบ่งกันแล้วก็บอกว่าอมเข้าไปแล้วจะรู้สึกคล้ายๆอมพิมเสนจะเย็นแต่ท่านไม่เห็นให้ผมเลยผมก็คิดว่าเอ...เคี้ยวกันเองก็ได้ทำไมต้องคอยจากที่ท่านคายออกมา
ท่านพ่อลีมีปานดำที่ลิ้นลิ้นของท่านดำ
ฉะนั้นชานหมากของท่านจึง “เฮี้ยน!” ต้องแย่งกัน
ถ้ามีใครขออะไรท่านท่านจะบอกว่าให้นั่ง “พุทโธ”
ตอนที่ย่าตายมีปัญหาจัดการเรื่องมรดกไม่ลงตัวพี่น้องมีปากมีเสียงกันนิดหน่อยพอท่านพ่อลีขอก็เลิกๆกันไปท่านสอนไม่ให้โลภ
ท่านเคยมาเยี่ยมผมท่านก็ถามสบายดีไหมถ่ายรูปดีไหมขยันๆเน้อ
ตอนนั้นผมเปิดร้านถ่ายรูปท่านก็พูดธรรมดาไม่เคยสอนไม่เคยให้อะไรมากไม่ให้คาถาด้วยก่อนที่ท่านจะกลับเมืองจันท์ท่านมาเยี่ยมคืนนั้นถ่ายรูปท่านตอนประมาณ๒-๓ทุ่มรูปที่ท่านนั่งผมเป็นคนถ่ายที่บ้านผมสมัยนั้นใช้กล้องใหญ่ถ่ายกล้องแบบขาตั้งคลุมหัวแล้วก็หมุน
สมัยนั้นกล้องเล็กๆไม่ค่อยมีหรอกไฟก็ไม่มีต้องใช้ตะเกียงเจ้าพายุแล้วก็รีบล้างให้ท่านไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ท่านจะลงอักขระที่รูปให้ก็เหลืออยู่แผ่นเดียวรูปนี้
ตอนท่านมาอยู่วัดอโศการามผมได้ไปหาท่านท่านให้พระดินที่ท่านสร้างพร้อมกับยันต์หน้าท่านพ่อลีคล้ายพ่อผมมากเลยกรามเกริมอะไรนี่เหมือนมากทุกวันที่๒๓เมษายนผมต้องไปทำบุญที่วัดอโศฯทุกปีบูชารูปมาบ้างผมเคารพนับถือท่านพ่อลีมาก
ท่านพ่อลีแสดงธรรมเรื่องกรรม
พ่อลีแสดงถึงส่วนกรรมและผลของกรรมที่บุคคลทำกรรมอันใดไว้ก็จักต้องได้รับผลของกรรมนั้นเพราะกรรมเป็นของๆตนไม่มีใครอื่นจะรับแทนกันได้
เหตุนี้ท่านจึงสอนให้เราหมั่นทำบุญกุศลไว้เพื่อใช้หนี้เวรกรรมที่เรามองไม่เห็นให้มีการเสียสละทรัพย์ของตนบูชาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์และเป็นทานแก่คนอื่นเป็นต้นซึ่งนับว่าเป็นบุญกุศลอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ‘ทาน’ หรือ ‘การบริจาค’
ของสิ่งใดที่จะเป็นภัยแก่จิตใจให้ทำลายหรือสละสิ่งนั้นเสีย
แล้วผู้นั้นก็จะได้ความสุขเป็นการตอบแทน
การบริจาคนี้มีอยู่๒อย่างคือ
การบริจาค “ทรัพย์ภายนอก” และ “ทรัพย์ภายใน”
ทรัพย์ภายนอกเป็นของโลกเป็นของกลางๆอย่าไปถือว่าเป็นของของเราเพราะมันจะอยู่กับเราตลอดไปนั้นไม่ได้มันจะต้องยักย้ายถ่ายเทเมื่อไปอยู่กับคนเขาก็ถือว่าเป็นของของเขาเช่นบุตรภรรยาสามีและทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้ย่อมจัดว่าเป็นทรัพย์ภายนอกทั้งสิ้นใครหลงรักใคร่ยึดถือไว้ว่าเป็นของของตนก็ย่อมจะเป็นภัยแก่จิตใจของผู้นั้นหาความสุขมิได้ดังนี้
อีกอย่างหนึ่งทรัพย์ที่เรามีสิทธิ์อำนาจคุ้มครองเรียกว่า ‘โลกียทรัพย์’ หรือ ‘ทรัพย์ภายนอก’ ทรัพย์ที่ทำให้เราสำเร็จผลในการบำเพ็ญศาสนธรรมเรียกว่า ‘อริยทรัพย์’ หรือ ‘ทรัพย์ภายใน’ ท่านจึงกล่าวเป็นคติไว้ว่า “รักลูกก็เหมือนเชือกผูกคอรักสามีภรรยาก็เหมือนปอผูกศอกรักทรัพย์สมบัติภายนอกก็เป็นห่วงผูกข้อเท้า”
ถ้าผู้ใดติดอยู่บ่วง๓บ่วงนี้แล้วก็ย่อมจะกระดิกตัวไม่ไหวไปไหนไม่รอดแน่จะต้องติดอยู่ในโลกนี้เองฯ
แล้วท่านพ่อก็กล่าวสอนย้ำอีกว่า... “สิ่งใดที่เป็นของรักสิ่งนั้นย่อมเป็นศัตรูแก่ดวงใจจึงควรละสิ่งนั้นเสียแล้วตนเองก็จะมีความสุข”
ฉะนั้นคนเราจึงอย่าไปเหยียดหยามดูถูกในคนที่เขามีปัญญาน้อยหรือฐานะกำเนิดชาติสกุลของเขาที่ตกอยู่ในความต่ำต้อย เพราะสิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่ที่กรรมแห่งบุคคลซึ่งทำไว้ในกาลก่อนจึงส่งผลจำแนกให้มาเป็นในลักษณะต่างกัน
บางคนแม้จะตกไปอยู่ในสกุลที่ลำบากยากเข็ญใจก็สักแต่ว่ากรรมซัดไปเท่านั้นแต่ความดีซึ่งติดอยู่ในจิตสันดานเดิมของเขามีอยู่เขาก็อาจจะสำเร็จมรรคผลได้ในวันหนึ่ง ที่กรรมนั้นซัดไปให้เกิดในสกุลยากก็เพื่อจะทรมานเขาให้แลเห็นทุกข์เห็นโทษและใช้หนี้เวรเก่าของเขาให้หมดสิ้นไปก็มีเพราะคนเราทุกคนที่เกิดมานี้ย่อมเกิดมาแต่ผลของกรรมเก่าที่ตนกระทำไว้ทั้งสิ้น
ถ้าผู้ใดมีดวงตาญาณผู้นั้นก็อาจจะรู้ชาติภพของตนที่กระทำกรรมอันใดไว้ผู้ใดที่ดวงตายังมืดอยู่ด้วยอวิชชาผู้นั้นก็ย่อมมองไม่เห็น
เรื่องของกรรมนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงสอนไว้มิให้เราประมาท
ผู้ใดทำดีก็ย่อมไม่หนีจากกรรมดีผู้ใดทำชั่วก็ย่อมไม่หนีจากกรรมชั่วนั้น
เหตุนั้นจึงควรมีความสำรวมระวังอย่าประมาทในสิ่งที่เรามองไม่เห็นอย่าเหยียดหยามติเตียนในวัตถุทานของผู้ใดในศีลของเขาก็ดีในภาวนาของเขาก็ดีเขาอาจมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความดีแฝงอยู่ภายใน
แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยกรรมที่มองไม่เห็นถ้าเราไปประมาทเขาเข้า
กรรมนั้นอาจกลับมาเป็นโทษสนองตัวเราเอง
ให้ได้รับผลวิบากในกาลภายหน้าได้
‘จิต’ นี้จะว่าตายก็ตายจะว่าไม่ตายก็ไม่ตาย
จิตที่ตายก็คือจิตที่มีอาการแปรเปลี่ยนไปด้วยบาปอกุศล
จิตคงที่อยู่ในสภาพเดิมหรือเป็นจิตที่เจือด้วยบุญกุศลก็เป็นจิตที่ไม่ตาย
ร่างกายของเรานี้เรียกเป็น๔อย่าง๑. รูป๒. กาย๓. สรีระ๔. ธาตุ
กายนี้ก็ไม่ได้ตายไปไหนเป็นแต่มันแปรเปลี่ยนไปเข้าสภาพเดิมของมัน
ธาตุดินก็ไปอยู่กับธาตุดินธาตุน้ำก็ไปอยู่กับธาตุน้ำธาตุไฟก็ไปอยู่กับธาตุไฟธาตุลมก็ไปอยู่กับธาตุลมฯลฯ
ก่อนที่เราจะเกิดมาจริงๆนั้นก็คือธาตุทั้ง๔ไปประชุมสามัคคีกันขึ้นและถ้าเจ้าตัวจิตวิญญาณซึ่งลอยอยู่นั้นเข้าไปแทรกผสมเข้าเมื่อใดก็จะเกิดเป็นสิ่งที่มีชีวิตขึ้นแล้วก็ค่อยๆขยายตัวเติบโตออกไปทุกทีๆเป็นเลวบ้างประณีตบ้างเป็นคนบ้างเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้างแล้วแต่กรรมของจิตที่เป็น ‘บุญ’ หรือ ‘บาป’
‘จิต’ เป็นผู้รับผิดชอบในบุญและบาปทั้งหลายคือกรรมดีและกรรมชั่ว ‘ร่างกาย’ นั้นไม่ใช่เป็นผู้รับผิดชอบ.




อย่าเห็นแก่กินอย่าเห็นแก่นอน
กลางคืนสว่างด้วยพระจันทร์
กลางวันสว่างด้วยพระอาทิตย์...นั้นเป็นเรื่องของโลก
แต่เรานั้นลืมตาก็ต้องให้มันเห็น
หลับตาก็ต้องให้มันรู้ทั้งกลางวันและกลางคืน
อย่าพากันประมาท
ให้รู้สึกว่าพวกเรากำลังถูกขับไล่ออกจากโลกอยู่ทุกวันๆ
คือความแก่มันก็กำเริบความเจ็บมันก็คำราม
ความตายมันก็เข้ามาถาม
อย่ามัวไปคลุกคลีตีโมงอยู่กับพวกกองกิเลส
จงคลุกคลีอยู่กับพุทธคุณธรรมคุณสังฆคุณ
จนจิตใจเป็นสัมมาสมาธิ
เราจะได้ไม่หวั่นไหวต่อภัยของโลก...
(เบื้องต้นต้องเชื่อว่าบุญมีบาปมีนรกสวรรค์มี
ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วพูดดีได้ดีพูดชั่วได้ชั่วคิดดีได้ดีคิดชั่วได้ชั่ว)





การเดินหลงทางดีกว่าการมีจิตตั้งไว้ผิด
ท่านพ่อลีท่านว่า
“...ความเหนื่อยล้า...เป็นอุปสรรคสำหรับคนเดินทางไกล.
..แต่การเดินทางไกลหรือหลงทาง
ย่อมดีกว่าเดินทางผิดหรือมีจิตตั้งไว้ผิด
...เพราะการคบหากับคนที่ไม่ดี
คนที่พอจะดีได้กลับกลายเป็นคนชั่วไปเสียนี่
เปรียบเหมือนทางที่รกรุงรังเต็มไปด้วยขยะมูลฝอย
แม้จะเป็นทางตรงจะถือว่าเป็นทางที่ดีก็ไม่ได้
...ส่วนผู้ที่คบหากับกัลยาณมิตร
มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นย่อมดียิ่งขึ้น ๆ
เหมือนทางป่าที่รกรุงรังด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาไม่ร้อน
แม้จะเป็นทางอ้อมก็ถือว่าเป็นทางที่ดีได้”




อัจฉริยลักษณะของท่านพระอาจารย์มั่น
ท่านพ่อลี ธมฺมธโรกับพระอาจารย์กงมาจิรปุญฺโญได้เที่ยวพักภาวนาพิจารณาซากอสุภะตามป่าช้าจนเป็นที่พอใจแล้วจึงเดินทางกลับไปหาท่านพระอาจารย์มั่นภูริทตฺโตที่หมู่บ้านวังถ้ำจังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้งคราวนี้ท่านพักอยู่ในป่าทึบได้เข้าไปพักอาศัยอบรมอยู่กับท่านเป็นเวลา๔เดือนท่านพระอาจารย์มั่นสอนหลักการปฏิบัติแบบเข้มข้นเพราะคำว่า “ภิกษุ” ท่านพระอาจารย์มั่นแปลว่า “คนต่อยกิเลส”
ท่านพระอาจารย์มั่นภูริทตฺโตท่านเป็นผู้มีอัจฉริยลักษณะและอัจฉริยนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะองค์มีปฏิปทามักน้อยสันโดษไม่คลุกคลีระคนด้วยหมู่แสวงหาวิเวกปรารภความเพียรตั้งแต่วันอุปสมบทมาจนกระทั่งวาระสุดท้าย
ธุดงควัตรที่ท่านปฏิบัติเป็นประจำตลอดชีวิตคือบิณฑบาตเป็นวัตร
ฉันในบาตรเป็นวัตร
ใช้ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
อยู่ในป่าเป็นวัตร
ถือนั่งฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเป็นผู้ที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบทั้งภายนอกและภายในท่านเกิดมาเพื่อเป็นปรมาจารย์แม้รูปกายและกิริยาของท่านก็เป็นลักษณะของท่านผู้มีบุญใหญ่คือ
“คิ้ว” ของท่านมีไฝตรงกลางระหว่างคิ้วลักษณะคล้ายกับอุณาโลมของพระพุทธเจ้าไฝนี้เป็นจุดดำเล็กๆไม่ได้นูนขึ้นมามีขนอ่อน๓เส้นไม่ยาวมากเป็นเส้นละเอียดอ่อนมากถ้าไม่สังเกตให้ดีจะไม่เห็น
“หู” ของท่านมีลักษณะหูยานเป็นหูของนักปราชญ์
“จมูก” โด่งรับกับใบหน้าเข้ารูปลักษณะชายชาติอาชาไนย
“ตา” ของท่านแหลมคมเหมือนตาไก่ป่าคือตาดีรวดเร็วคือมีแววตาเป็นวงแหวนในตาดำเป็นตาของจอมปราชญ์
“นิ้วมือ” ของท่านนิ้วชี้จะยาวกว่าแล้วไล่ลงมาถึงนิ้วก้อย
“นิ้วเท้า” ก็เหมือนกันนิ้วชี้จะยาวกว่าแล้วไล่ลงมาถึงนิ้วก้อย
“ฝ่าเท้า” ของท่านจะเป็นลายก้นหอยสองอันและมีรอยอยู่กลางฝ่าเท้าเหมือนกากบาท
เวลาท่านเดินไปไหนท่านเดินก่อนสานุศิษย์ไม่เหยียบรอยท่านพอท่านเดินผ่านไปแล้วชาวบ้านจะไปยืนมุงมองดูจะเห็นเป็นลายตารางปรากฏอยู่ทั้งสองฝ่าเท้า
“รอยนิ้วเท้า” ก็เป็นก้นหอยเหมือนกันจะเรียกก้นหอยหรือวงจักรก็ได้มีอันใหญ่กับอันเล็ก๒อันเป็นลักษณะพิเศษของท่าน
“ฝ่ามือ” ของท่านเวลาสานุศิษย์นวดเส้นถวายได้พลิกฝ่ามือของท่านดูปรากฏว่ามีเส้นกากบาทเต็มฝ่ามือทั้งสองข้าง
“เสียง” ของท่านเสียงกังวานไพเราะฟังเพลินฟังเหมือนเสียงฟ้าดินถล่มผู้ฟังไม่อิ่มไม่เบื่อแรงแต่ไม่เป็นอันตราย
“คำพูด” ของท่านเหมือนถอดจากหัวใจดวงหนึ่งไปสู่หัวใจอีกดวงหนึ่งแม้ท่านเทศน์จบแล้วผู้ฟังก็ยัง
อยากฟังต่อไปอีกแม้คนละเชื้อชาติภาษาท่านก็สามารถสอนให้เข้าใจได้
“วาจา” ของท่านเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ด้วยศีลสมาธิปัญญาไม่มีลาภยศอามิสเจือวาจาของท่าน
เทศน์จึงขลังดีพูดถูกธรรมตรงไปตรงมาไม่เห็นแก่หน้าบุคคลและอามิส
“ฤทธิ์” ท่านไม่ชอบแสดงฤทธิ์ท่านชอบภาวนาให้สิ้นกิเลสฤทธิ์ทั้งหลายเกิดด้วยกำลังสมถะฌาน
สมาบัติทั้งนั้นใช้วิปัสสนาอย่างเดียวไม่มีฤทธิ์สำเร็จอรหันต์


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO