นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 24 เม.ย. 2024 3:43 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: รวยในความดี
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 16 พ.ย. 2017 5:45 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4537
"บุญจะมีเท่าเม็ดงา หรือขาริ้นก็ตาม
เธอทั้งหลาย อย่าประมาทเน้อ
ถ้าทำอยู่บ่อยๆ ก็สามารถจะมากขึ้น
เหมือนฝนตกลงมา ทีละเล็กละน้อย
ก็ทำให้แผ่นดินชุ่มกุศลผลบุญ
คือความดีสุจริตธรรม ที่เธอทั้งหลายทำ
ใจของพวกเธอ ก็นับวันจะสูงขึ้น"
-:- หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต -:-




"เวลาในชีวิตของคนเรา มันมีน้อย
วัน เดือน ปี มันเคลื่อนคล้อยลอยไป
ชีวิตเราก็ใกล้เข้า ขยับเข้าจ่อปากมัจจุราชทุกๆ ที
เราจะมัวหลงมัวเพลิน อะไรกันอยู่?
ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี
อะไรที่ยังไม่ได้ทำ ก็ให้พากันทำเสีย
หากเวลาในชีวิต หมดลงแล้ว
จะย้อนกลับมาทำอีกไม่ได้"
-:- หลวงปู่ขาว อนาลโย -:-





"ธาตุ ๔"
เวลาร่างกายนี้ตายไป ใจมันไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย มันก็เลยไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ใจมันอยู่ในโลกทิพย์ ใจของพวกเราทุกคนไม่ได้อยู่ตรงนี้ ใจของพวกเราอยู่ในโลกทิพย์กัน เพียงแต่ว่าเราส่งกระแสใจมารับรู้ ส่งกระแสใจมาเกาะที่ตามารับภาพ มาเกาะที่จมูก เกาะที่ลิ้น เกาะที่หู เกาะที่ร่างกาย พออะไรมาแตะร่างกายเราก็รู้เลย อ้อ มีของแข็งของนุ่ม มีความร้อนความเย็นมาแตะที่ร่างกายเรา ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ที่ร่างกายเราก็รู้ได้ เหมือนกับคนที่อยู่ที่บ้านพอเราพูดอะไรปั๊บคนที่บ้านก็ได้ยิน คนที่อยู่ทางบ้านคนที่เขาไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เขาก็ได้ยินเขาก็ได้เห็นเหมือนกัน ฉะนั้นเวลาอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายนี้ใจไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย ท่านเรียกว่าใจถึงไม่ตายกับร่างกาย ร่างกายต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย พอร่างกายตายไปปั๊บกระแสการติดต่อก็ขาด ตามันไม่ส่งภาพไปแล้วใช่ไหม ตามันไม่ทำงาน หูไม่ทำงาน อะไรไม่ทำงานหมด เหมือนกับเครื่องนี้พอปิดเครื่องปั๊บก็ไม่รับภาพไม่รับเสียงอะไร คนที่อยู่ทางบ้านก็ดูไม่ได้ คนที่อยู่ทางบ้านก็ต้องไปทำอย่างอื่น ใจพอไม่มีร่างกายก็ต้องไปทำอย่างอื่น ก็ทำแบบตอนที่นอนหลับเนี่ย เวลานอนหลับใจทำอะไรรู้ไหม ใจก็ฝันไงใช่ไหม ใช้ร่างกายไม่ได้ตอนนั้นร่างกายปิดเครื่องชั่วคราวพักผ่อน เวลาที่เรานอนหลับก็เหมือนปิดเครื่องโทรศัพท์ ก็ใช้โทรศัพท์ไม่ได้ เมื่อใช้โทรศัพท์ไม่ได้ก็จะคุยกับใครก็ต้องเดินไปคุยกับเขา อันนี้ก็เหมือนกัน พอไม่มีร่างกายพอร่างกายพักผ่อน ใจก็ไปฝันเลย ฝันดีก็ไปสวรรค์ ฝันไม่ดีก็ไปนรก และอะไรทำให้เราฝันดีฝันไม่ดี ก็เวลาเราทำบุญเราฝันดีเพราะเราทำแต่สิ่งที่ดี เวลาทำอะไรไว้มันก็จะอัดเทปไว้ในใจเรา พอนอนหลับมันก็เปิดเทปมาให้เราดู เวลาเราทำบาปมันก็จะอัดเทปไว้ เพราะเวลาเรานอนหลับมันก็จะเปิดเทปมาให้เราดู มันก็จะให้เราดูเรื่องที่ไม่ดี เวลาเราทำบุญมันก็จะให้เราดูเรื่องที่ดี นี่คือใจที่ไม่ได้อยู่ในร่างกายเพียงแต่ว่ามีกระแสวิญญาณมาเชื่อมกัน เพื่อมารับข้อมูลต่างๆ ผ่านทางร่างกาย รับรูปรับเสียงรับกลิ่นรับรสรับอะไรต่างๆ แล้วพอรับแล้วก็มีความรู้สึกมีความสุขความทุกข์กับรูปเสียงที่ได้รับ เหมือนคนทางบ้านเนี่ยถ้าได้ยินเสียงที่ดีก็มีความสุข ถ้าได้ยินเสียงไม่ดีก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา นี่คือร่างกายกับใจ เป็นสองคน ใจนี้ไม่มีรูปไม่มีร่างมันก็เลยไม่เกิดไม่ดับ มันไม่มีการตายเพราะว่ามันไม่มีส่วนประกอบเหมือนกับร่างกาย ร่างกายเป็นสังขาร เป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นด้วยดินน้ำลมไฟ แล้วเดี๋ยวดินน้ำลมไฟมันก็บอกว่าบ๊ายบาย ดินก็อยากจะกลับไปหาดิน น้ำก็จะกลับไปหาน้ำ ลมก็จะกลับไปหาลม ไฟก็จะกลับไปหาไฟ ตอนนั้นก็เรียกว่าธาตุ ๔ ก็แยกออกจากร่างกายไป ร่างกายก็หายไป
นี่คือเรื่องของร่างกายที่เราต้องพิจารณาให้เข้าใจ ให้เรารู้ว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายไม่ใช่ของเรา เราสั่งมันไม่ได้ ห้ามมันไม่ได้ เวลามันจะบ๊ายบายเราไปห้ามมันไม่ได้ เวลามันจะแยกทางกัน เวลาดินน้ำลมไฟในร่างกายมันจะไปกันคนละทิศคนละทาง เราห้ามมันไม่ได้ เวลามันจะเจ็บเราก็ห้ามมันไม่ได้ เวลาไม่สบายแต่เราไม่ต้องไปไม่สบายกับมัน เพราะเราสบายเราไม่ได้เป็นอะไร ใจไม่ได้เป็นอะไร.
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




จนข้างนอก ไม่เป็นไร
อย่าให้จนข้างในก็แล้วกัน
ให้ใจเรารวยทาน ศีล ภาวนา
รวยอริยทรัพย์ดีกว่า
ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก
วัดธรรมสถิต อ.เมือง ระยอง




พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่อง "ความไม่มีอะไร" ความไม่ได้อะไรจริงแท้แน่นอน ไม่รู้จะไปอวดอะไร มีนั่นมีนี่อวดกัน ไม่รู้ได้อะไรจากมันอวดกัน
.
ยิ่งฆราวาสอวดกันมีแต่กองทุกข์ ตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้ ไม่รู้จะหามาอวดกันเพื่ออะไร สู้เราทำความพากความเพียรไม่ได้ละวาง ไม่สะสม ไม่เพิ่มพูน สำรวม.. ไม่ได้มันก็ยังดีกว่าส่งเสริมกิเลส สะสมความยึดมั่นถือมั่น
.
หลวงปู่เพียร วิริโย



"..นั่งภาวนาหน่อยก็เป็นเหน็บ
นี่แหละพญามาร
นั่งไปหน่อยก็คันนั่น คันนี่
พอเข้าถึงใจหนักๆแล้ว
โอ๊ย จะไปทันมันหรือ
เอาแต่ใจมากๆ..
กลัวตายก็นอน
มันกล่อมเรื่องกิเลส
มันกล่อมเลยนอน
เลยไม่ได้ความพากเพียรอะไร.."
หลวงปู่ลี กุสลธโร



"..#ถ้าไม่ได้พ่อแม่ครูจารย์
#ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะเป็นไปอย่างไร
#คงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้.."
คติกตัญญูเวทิตาธรรมของ
องค์หลวงปู่ลีที่มีต่อ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน




การประพฤติปฏิบัตินั้น
ไม่มีอะไรมีแต่
#การพิจารณาร่างกาย
นี้แหละให้เห็นความไม่เที่ยง
ความไม่ใช่ตัวตนของร่างกายนี้
อันนั้นก็หนึ่งอย่าง
อีกอย่างหนึ่งก็ให้
#พิจารณาเรื่องของจิต
เรื่องของอารมณ์ภายในใจ
#ของเราให้เห็นความไม่เที่ยง
#ความไม่ใช่ตัวตน
#ของจิตซึ่งเรายึดมั่นถือมั่น
#ในอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง
#มีแต่เรื่องการพิจารณา
#กายกับจิตเท่านั้น
มี 2 อย่างเท่านั้น
พระอาจารย์อัครเดช ถิรจิตโต





มันไม่ได้ถึงง่ายๆนะศาสนาพุทธนะ
ขนาดเทวทัตเหาะเหิร
เดินอากาศได้ ยังไม่ถึง
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ลงอเวจี
ขนาดนี้ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้านะ
มันถึงยาก
#ร้อยต่อสามจะมีมั๊ย
ถึงจริงๆเนี๊ยะ จะมีมั๊ยหละ
#ถึงจริงๆนะมันไม่ถึงนะสิ
#ถึงแต่ปากออกข้างนอกหมด
#ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
#อย่าให้มันไปสิ
#ไม่มีจิตดวงใดพ้นสติไปได้ดอก
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร




อารมณ์ต่างๆ มากระทบจิต สิ่งที่มากระทบจิตย่อมเป็นยาวิเศษเป็นเหตุให้ "ระอา" การมากระทบ ผู้ที่ ราคะ โทสะ ไม่กระทบจิตนั้น เป็นญายะปฏิปันโน คือพระอนาคามีนั่นเอง
ให้สังเกตตนเองว่า เมื่อมีมดเข้าหู หรือ เข้ารูจมูกเราๆ หงุดหงิดหรือไม่ ถ้าหงุดหงิดอยู่ ก็ไม่ใช่พระอนาคามี และสังเกตกามารมณ์ของเราที่รบกวนเราแบบละเอียดละออ ในขณะจิตเรานึกจะเสพนั้นหรือไม่ ถ้ามีอยู่ก็ไม่ใช่พระอนาคามี พระอนาคามีไม่มีกามวิตก ความตรึกในทางกาม และไม่ส่งเสริมในใจของตนเองด้วยคือ ไม่กำหนัดนั่นเอง
ความหงุดหงิดไม่มี ปองร้ายหมายขวัญ ไม่มีในพระอนาคามีเลย ขอให้เข้าใจว่า กามก็ดี โทสะก็ดี พระอนาคามีขาดไปแล้ว ไม่ขบถคืน อันนี้เข้าใจชัดกว่าที่พูดมาแล้วนั้น
ส่วนโมหะความสำคัญตัว ยังมีอยู่ ความ
สำคัญตัวเกี่ยวกับเรากับเขา เพราะมีเราเขา สัมปยุตอยู่ ดองอยู่ในหัวใจ ยังไม่ขาดไปได้ เพราะเป็นกิเลสอันละเอียด คล้ายๆ กับขวดน้ำปลา ที่ล้างไม่ดียังมีกลิ่นน้ำปลาอยู่ ส่วนพระอรหันต์นั้นขาดไปแล้ว ไม่มีกลิ่นน้ำปลาอยู่ในขวดเลย ถ้าหากเทียบในทางไฟ พระอรหันต์นั้นเปรียบเหมือน ไฟที่ดับไปแล้ว ไม่มีไออุ่น
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต




ยังไงๆก็ขอให้ตายคาภาวนา
คนเรานั้นจะตายด้วยสาเหตุอะไรมันก็ทุกข์อยู่ดี จะตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หรืออุบัติเหตุ โรคชรา หรืออะไรๆ ก็ไม่สำคัญ เพราะมันทุกข์ตายเหมือนกัน แต่ยังไงๆ ก็ขอให้ "ตายคาภาวนา-ตายอย่างมีสติ"
คนธรรมดาทั่วไป ที่ยังไม่ได้โลกุตระ เรียกว่า"ตายร้อน" คือ ยังต้องเกิด-ตาย เกิด-ตาย แบบนี้ไปอีกนาน
ส่วนคน"ตายเย็น" คือ พระโสดา สกิทาคา อนาคา พระอรหันต์นั่นแหละ เย็นมาก เย็นน้อย ไปตามลำดับ
แบบว่า "ใจไม่ถึงโลกุตรธรรม ก็ขาดที่พึ่ง" ทุกข์กายไม่สำคัญ ของสำคัญพระพุทธเจ้าให้แก้ทุกข์ใจ แก้ได้มากน้อยก็เป็นของตัว
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต




เพราะอานิสงส์ทานไม่ชูส่ง
"ที่ท่านกล่าวว่าทำกฐินร้อยกอง ก็ไม่เท่าภาวนา
รวมลงครั้งหนึ่งนั้นเป็นการถูกต้องแล้ว แต่เราจะ
ทิ้งการให้ทานไปก็ไม่ได้อีกล่ะ ถ้าหากเรามีภพมี
ชาติหน้าก็กลายเป็นคนจนทรัพย์ หาด้วยน้ำพักน้ำ
แรงเกือบจะตายก็ไม่ได้ เพราะอานิสงส์ทานไม่ชูส่ง"
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO