นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 28 มี.ค. 2024 6:18 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: กรรมแปลว่าการกระทำ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 30 ก.ย. 2017 9:37 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4510
"มองตัวเอง มองตัวเอง มองตัวเอง
มองตัวเองให้มาก จึงจะกลายเป็นคนดีได้
มัวแต่มองผู้อื่นแล้วไซร้ ก็กลายเป็นคนพาลไปไม่รู้ตัว
เพราะนิสัยคนพาล ย่อมเพ่งโทษผู้อื่นเป็นวัตร"

-:-หลวงปู่หล้า เขมปัตโต-:-




"ขี้วัว ขี้ควาย ใส่ต้นไม้ยังพอมีประโยชน์
ขี้โมโห ขี้โกรธ จะได้ประโยชน์อะไร"
-:- ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ -:-




"จงมองตนเอง เพื่อแก้ไข
และมองคนอื่น เพื่อให้อภัย
จะอยู่สุขใจ และ เป็นอิสระ"
-:-หลวงปู่ศรี มหาวีโร-:-






"กรรม แปลว่า การกระทำ
จะร้ายจะดี จะสุขหรือทุกข์
ย่อมเกิดมาแต่กรรม

ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
กัมมุนา วัตตติ โลโก
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ข้อสำคัญควรนึกถึง นรกในปัจจุบัน
ที่เรียกว่า นรกในใจให้มาก
อย่าให้บาปเกิดขึ้นในใจ
ให้รักษาใจให้บริสุทธิ์ อย่าให้เศร้าหมอง

ถ้าใจเศร้าหมอง ด้วยบาปอกุศล
ก็มีทุคติ คือ อบายเป็นที่ไป
บังเกิดเที่ยงแท้แน่นอน ไม่ต้องสงสัย"

-:-ครูบาเจ้าพรหมมา พรหมจักโก-:-





พวกเธอจงจำไว้ พระป่านั้น เขามีคติอยู่ว่า
ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม และทำงานเพื่องาน
พระป่าโดยสายเลือดและวิญญาณเขามุ่งปฏิบัติมาทุกยุคทุกสมัย
พระป่าหาใช่เพียงกิน ถ่าย นอน และนั่งหลับตาโดยมิได้ทำอะไรเลย
พระป่าอาจโง่ในสายตาของผู้ที่เขาไม่ได้ “ปฏิบัติ”
นั่งหลับตาศึกษาสัจธรรม
พระป่าในเมืองไทยนี้นับแต่หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น
พระบุพพาจารย์เจ้าเหล่านี้ล้วนแต่เรียนรู้คำสั่งสอนของพระศาสดา
ด้วยการปฏิบัติด้วยกันทั้งสิ้น และท่านก็สามารถรู้แจ้งในสัจธรรม
จนสามารถยังประโยชน์ตนและผู้อื่นได้ พวกเธอจงจำไว้
.
หลวงปู่มหาปิ่น ชลิโต




...เป็นลูกวัดสบายกว่า ไม่ต้องปวดหัว
เป็นหัววัดนี้ ต้องไปรับภาระทุกอย่าง
นี่ใครมาหานี่ โยนให้เจ้าอาวาสไปหมด
สบาย..(ยิ่้ม)
.
เราไม่ได้มาบวชเพื่อเอามา มาหาเรื่อง
เรามาบวชเพื่อหนีเรื่อง
เรื่องในโลกมันวุ่นวาย
ทำเท่าไรก็ไม่รู้จักจบ
มีเรื่องให้ทำอยู่เรื่อยๆ
.
ไม่เอามันดีกว่า เอาเรื่องเราดีกว่า
เรื่องเราก็คือ"หยุดคิด"นี่อย่างที่โยมบอก
คิดเรื่องสบายๆ
หรือถ้าไม่สบายก็หยุดคิดมัน

.
นี่โยมจับประเด็นถูกแล้วนี่
ปัญหาของพวกเรา..
อยู่ที่ "ความคิดของพวกเราเอง".
.............................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 29/9/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






"คนมีธรรม มิใช่อ่านเก่ง จำเก่ง พูดเก่ง
แต่ต้องสามารถนำธรรม ไปปรับปรุงแก้ไข
ความคิด การพูด และการกระทำของตน
ให้ดีขึ้นจนตนเองรู้ นั่นแหละของจริง
จงพิสูจน์ตนเองเสมอๆ ดังนี้"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน





ค่อยๆคิดนะ ค่อยคิดตาม ก่อนจะมาเป็นเสื้อผ้านี่ เป็นอย่างอื่นมาก่อนแล้ว จากนี้ไปเป็นอะไรอีก จากนั่นไปเป็นอะไรอีก จากนั่นไปเป็นอะไรอีก จุดต้นจุดปลายของสิ่งเหล่านี้ไม่มีเลย อนิจจัง หมุนเวียนไปอยู่อย่างนี้ จากนั้นมาเป็นนี้ จากนี้ไปเป็นโน้น จากโน้น ไปเป็นโน้น เป็นโน้น อนิจจัง หมุนเวียนไปไม่มีวันจบวันสิ้น

ก่อนจะมาเป็นคนๆนี้มา เป็นอะไรมาก่อน เห็นไหม เห็นไหม เห็นไหม ก่อนจะมาเป็นเสื้อตัวนี้เป็นอย่างอื่นมาก่อน ก่อนจะมาเป็นบุคคลคนนี้ ต้องเป็นอย่างอื่นมาก่อน และจากบุคคลคนนี้ จากเสื้อตัวนี้ จะเปลี่ยนเป็นอะไร หาจุดจบมิได้ จากคนๆนี้ จากใจดวงนี้ จะไปเป็นอะไรต่อไป หาจุดจบได้ไหม

เห็นไหม ความจริงที่อยู่กับตัวเอง จุดต้นของเราหาไม่เจอเลย มันยืดยาวขนาดไหน แล้วถ้าเรายังเป็นอย่างนี้ จิตใจเรายังหยุดยั้งตัวเองไม่ได้ จะไปเป็น จะเคลื่อนไปเป็นอะไร หาจุดๆนั้นยังไม่เจอ มาดูเสื้อตัวนึง ดูกระเป๋าใบนึง มาจากไหน จะไปที่ไหน จุดต้นอยู่ไหน จุดปลายอยู่ไหน ไม่เจอแม้แต่สิ่งเดียว อนิจจังเปลี่ยนแปลงไปตลอดอนันตกาล

คนคนหนึ่ง จิตใจดวงหนึ่ง หาต้นหาปลายไม่เจอ พระพุทธเจ้าค้นคว้ามาจนหยุดหัวใจดวงนั้นไม่ให้อะไรเคลื่อนไหวอีกต่อไป ความเกิด ความเป็นไปทั้งหมดจึงยุติลง ความบังคับทุกสิ่งทุกอย่างจึงยุติลง นี่ จริงไหม ค่อยๆคิดอีก เป็นไปตามนี้

พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต
๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๔





การภาวนา
ดูที่ตรงหัวใจเจ้าของ
อย่าไปดูที่อื่น
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับอยู่ที่ใจเท่านั้น
อย่ามัวนั่งปรุงนั่งแต่ง
เดินปรุงเดินแต่ง
คิดทำงานอันนั้นอันนี้ไม่จบไม่สิ้น
ไม่แล้วไม่เลิกสักที
ถ้ามีงานค่อยทำเป็นอย่าง ๆ ไป
ทำแล้วก็แล้ว
นี่...ตามสัญญาอารมณ์ไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้อะไร
เอานะเอาให้ใจมันสงบ
ให้อยู่ให้ได้ซะก่อน
แล้วมันถึงจะเห็นเจ้าของจริง ๆ
กิเลสและธรรมทั้งหมดที่มีอยู่ที่ใจเท่านั้น
ตรงที่อื่นมันบ่มีดอก.

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร





“เราเป็นสมณะมาประพฤติธรรม
ทุกกริยาอาการเยื้องย่างบางอย่างโลกไม่นิยมชมชื่น
แต่ถ้าประมวลลงแล้วว่าเป็นธรรม เราก็ต้องดำเนินตามนั้น
ธรรมแท้นั้นไม่ได้เอามติที่ประชุมเห็นชอบ แต่เอาใจที่บริสุทธิ์เห็นธรรม
คนหมู่มากถ้ากิเลสหนา ปัญญาหยาบมีมากเท่าใด
ก็จะออกกฎอันเป็นไปเพื่อกิเลส เพื่อพวกพ้องตน
ฉะนั้นเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ต้องเอาธรรมเป็นใหญ่
ปลอดภัยกว่าการเอาตนเป็นใหญ่
ปลอดภัยกว่าการเอาคนหมู่มากเป็นใหญ่"
.
โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ปรารภต่อหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
ขณะที่องค์ท่านรักษาอาการอาพาธที่จ.เชียงใหม่





พระพุทธเจ้าจะหลอกคนโกหกคนจริงๆ หรือ? หากพระองค์เป็นนักโกหกคน ทำไมพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ด้วยธรรมของจริงล่ะ ถ้าไม่ทำจริงจะรู้ “ธรรม” ของจริงได้อย่างไร? เมื่อรู้ตามความจริงแล้วจะมาโกหกโลกได้อย่างไร มันเข้ากันไม่ได้ เหตุผลไม่มี! ท่านทำจริง รู้จริงเห็นจริง สอนจริง!ที่มันขัดกันก็ตรงที่เราเรียกเอาผลก่อนทำเหตุนี่เอง! หากการดำเนินของตนขัดกับธรรมที่ตรงไหน ควรรีบแก้ไขดัดแปลงจนเข้ากับธรรมได้ใจก็สงบ
.
ส่วนมากผู้ที่ “ปลอม” ก็คือเราผู้รับโอวาทจากท่านมา เอามาขยี้ขยำแหลกเหลวหมด ทั้งๆ ที่เราว่าเรานับถือท่าน นับถือศาสนาเทิดทูนศาสนา แต่เราทำลายศาสนาซึ่งมีอยู่ภายในตัวของเรา และทำลาย “ตัวเอง” โดยไม่รู้สึก เพราะความเผลอความไม่รอบคอบในตัวเรานั้นแลเป็นข้าศึกต่อเรา
.
ฉะนั้นเพื่อให้ได้ผลเท่าที่ควรหรือให้ได้ผลยิ่งๆ ขึ้นไป จึงควรคำนึงถึงเหตุที่ตนทำ คอยจดจ้องมองดูจุดที่ทำอย่าให้เผลอ เช่นกำหนด “พุทโธ” ก็ให้เป็น “พุทโธ”จริงๆ ให้รู้อยู่กับ “พุทโธ” เท่านั้น ไม่ต้องการสวรรค์วิมานที่ไหนละ นอกจากคำว่า “พุทโธ” ให้กลมกลืนกันกับความรู้ มีสติกำกับงานอยู่เท่านั้น เราจะเห็นความสงบ ที่เคยได้ยินแต่ชื่อก็จะมาปรากฏที่ตัวของเรา ความเย็นความสบายความเป็นสุขที่เกิดขึ้นเพราะจิตใจสงบ ก็จะเห็นภายในตัวเรา เราจะเป็นผู้รู้ จะเป็นผู้เห็น เราจะเป็นผู้รับผลอันนี้เพราะเป็นผู้ทำเอง ด้วยเจตนาที่ถูกต้องตามหลักธรรม จะไม่เป็นอย่างอื่น

.....................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙
"สุญญกัป-ภัทรกัป"





พระแท้เป็นแบบฉบับของโลก
.
พระเป็นนักเสียสละ อะไรจะเกินพระไม่มี คำว่าพระแปลว่าประเสริฐ ประเสริฐพอแล้วในธรรมของพระ จึงไม่จำเป็นต้องไปไขว่คว้าหาอะไร ว่ามาประดับพระ มันมาเหยียบย่ำทำลายพระต่างหาก เพราะพระนั้นวิเศษวิโสแล้ว ไอ้ตั้งชื่อตั้งนามยศถาบรรดาศักดิ์นั้น ไม่ได้วิเศษวิโส ยิ่งกว่าคำว่าพระอันเป็นสมบูรณ์แบบตั้งแต่วันบวชมา เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายยินดีในคำว่าพระของตน อย่าไปยินดีในลาภยศ สรรเสริญเยินยอ ชั้นนั้นชั้นนี้ นั้นเป็นกาฝาก ถ้าหลงมันลืมตัวแล้ว นั้นเป็นกาฝาก แล้วก็เป็นกาฝากมหาภัย ติดอยู่ในใครเป็นยศเป็นลาภอะไร พิษภัยจะอยู่ในที่นั่น ความลืมเนื้อลืมตัวก็จะอยู่ที่ยศของพระ
.
ยศเหล่านี้ไม่ได้เหนือคำว่าพระ คำว่าพระเพียงองค์เดียวเท่านั้นเหนือหมดแล้ว นี่เป็นพระศากยบุตร ที่พระพุทธเจ้าประทานให้แล้วตั้งแต่วันบวช ส่วนยศถาบรรดาศักดิ์เป็นชั้นนั้นชั้นนี้ ก็ส่งเสริมกันไปสำหรับท่านผู้มีความดีความชอบ รักษาสิกขาบทวินัย ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ กำจัดความชั่วออกจากกาย วาจา ใจของตน แล้วท่านจะมาส่งเสริม ความส่งเสริมความตั้งยศตั้งลาภเหล่านี้ให้พระเรา ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้จะเหนือพระนะ ยศสรรเสริญเป็นชั้นนั้นชั้นนี้ จนกระทั่งถึงเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ถึงขั้นสมเด็จก็ไม่ได้เหนือจากความเป็นพระ ความเป็นพระ เป็นธรรมที่สูงสุดแล้ว ออกมาจากคำว่าศากยบุตร ลูกตถาคตเรานั้นเป็นพระโดยแท้ อันนี้เสริมเข้ามาต่างหาก สิ่งที่เสริมนี้ไม่ใช่วิเศษวิโส ยิ่งกว่าความเป็นพระ ที่เราบวชมาโดยสมบูรณ์แล้ว จึงขอให้ท่านทั้งหลายจำไว้

.........................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมคณะพระอุดมญาณโมลี วัดโพธิสมภรณ์
เมื่อบ่ายวันที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐





...วันคืนล่วงไป วัยก็หมดสิ้น...

..ศีลธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้านี้เป็นของดี เป็นของจะยกระดับฐานะจิตใจของเราให้สูงขึ้นไปตามลำดับจนถึงขั้นสูงสุด อันนี้ก็ต้องพิจารณาให้ชัดนะ ใครก็ตาม อย่าให้เสียเวลา เพราะวันเวลาเราล่วงไป ๆ หมดไปนะ อายุสังขารก็หมดไปด้วย..

..หลวงปู่ศรี มหาวีโร..






" กิเลสและพิษของกิเลสจะดับไปได้ เพราะพระปัญญาญาณฝ่ายโลกุตระ
สมาธิเป็นเพียงห้ามล้อไว้ชั่วคราวเท่านั้น
ศีลป้องกันบาปแบบหยาบๆ โลดโผน
กิเลส คือความหลง จะขาดไปเป็นตอนๆ ได้ไม่ขบถคืน เพราะปัญญาณแต่ละชั้นๆ
ปัญญาเปรียบเหมือนแสงแดดก็ได้
แต่มีอำนาจกว่าแสงแดดทะลุปรุโปร่งได้ไม่มีประมาณ
แสงแดดก็ดี แสงไฟก็ดี ถ้ามีที่กำบังเช่นในถ้ำหรือมีที่บังมาก ความสว่างก็ไม่พอ ตะคลุ่มๆ ไม่ถนัด
ปัญญาเห็นสังขารไม่เที่ยงทุกข์ทนได้ยากนี้
เป็นแสงสว่างทั่วไตรโลกธาตุแล้ว
และก็หายความสงสัยไม่ขบถคืนด้วยซ้ำ
การไม่สงสัยโลกเป็นงานเบาปฏิบัติสะดวกแล้ว
และก็พอใจพิจารณาไม่ฝืดเคืองไม่เกียจคร้านด้วย
จิตใจและธรรมะก็พลอยสูงขึ้นไปตามกัน
เป็นผู้มีข้อวัตรด้วย เป็นผู้รู้จักกาลเวลาในอันจะประกอบกิจนั้นๆ ด้วย
ราตรีเขาก็ไม่ยาวเพราะเป็นผู้ทรงปัญญา
ตรงกันข้ามกับผู้มีปัญญาทราม
ย่อมสำคัญว่าราตรียาวเหยียด นานค่ำนานมืด นานเป็นวันใหม่แท้ๆ
แท้จริงวันเวลาถ้าพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว
ก็คล้ายกับว่ากลืนกินชีวิตของสัตว์ ทั่วทั้งไตรโลกาไม่มีเวลาอิ่มพอ
กินแบบไม่เห็นที่ถ่ายก็ว่าได้
บรรดาท่านผู้พอใจในธรรมะของพระพุทธศาสนา จึงจะพอฟังได้ในตอนนี้
ผู้พอใจในธรรมะของพระพุทธศาสนา
ก็คือผู้ทรงวาสนาแก่กล้าแล้ว
ความแก่กล้าในด้านสติปัญญาในทางที่ชอบ
เป็นคำสั่งและคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นความหมายของมหามงคลด้วย
พวกแก่เรียนแก่ฟังแก่ปฏิบัติมาบ้างแล้ว
ย่อมเป็นเครื่องดึงดูดของจิตใจและธรรม
ไม่เป็นของแสลงแห่งจิตใจแต่ประการใดๆทั้งสิ้น
เพราะธรรมะทางพระพุทธศาสนา
เป็นเครื่องขัดเกลากิเลสให้เบาบางจากใจ."

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต






" ถ้าจะว่าให้ละเอียดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าเป็นของว่างอยู่ตามธรรมชาติแล้ว
เพราะเหตุว่ากองนามรูปทั้งปวงก็ดี
สิ่งอื่นที่เป็นฝ่ายสมมุติและฝ่ายวิมุติก็ดี
ไม่ปฏิญญาว่าจะเป็นของใครเลยแม้แต่เท่าเมล็ดงาขาริ้น
แต่กิเลสของปวงพรหมโลกเทวโลกมนุษย์โลกสัตว์โลก
ไปยืนยันว่าข้าของข้า ของท่าน ของเธอ ของฉัน ของกูอะไรต่ออะไรยุ่งเหยิงอลม่าน
และสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเล่าก็ไม่ได้จำนนท์ว่าจะเป็นของท่านผู้ใดใครผู้อื่นเลย
และก็ไม่ปฏิเสธไม่มีกิริยาใดๆ กับใครๆ ทั้งนั้น
มีแต่เกิดขึ้นแล้วก็แปรดับไปเป็นรอบๆ ของสังขาร
เป็นจริงอยู่อย่างนั้นมานมนานจนไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายเลย
บรรดาท่านผู้ทรงพระปัญญาญาณ ก็อาจหาญทวนกระแสดูตน
เห็นความกังวนเข้าใจผิดทั้งหลายว่า เป็นเพราะเจ้าตัวหลงไหลไปไฝ่ฝันปั้นน้ำให้เป็นตัว
และก็มัวเมาหยอกเงาตัวเองวิกลจิต เข้าใจผิดว่าเป็นจริงดังปรารถนา
จะสมปรารถนาที่มุ่งเสกสรรค์แท้จริงแล้วก็กลายเป็นลมๆ แล้งๆ ไปเสีย
ก็เลยเรียนวิชาหยุดเบรคร์ห้ามล้อ ไม่ดิ้นรนไม่ทะเยอทะยานในโลกทั้งปวงต่อไป
ระอายความเข้าใจผิดตนเอง ธุระที่จะดิ้นรนในโลกๆ ลากๆ ก็จบกิจธุระกันในเพียงนี้
ความมุ่งหวังใดๆ ก็จบเกษียณไปในตัว ทุกข์ทางใจก็ไม่สามารถจะควันขั้น
ความสงสัยแตกกระเจิง พระปัญญาทรงแผดแสงแสดงอำนาจปาฏิหารย์อย่างเต็มภูมิ
มหาศีลมหาสมาธิมหาปัญญาก็นองมาขณะเดียวกัน
เป็นกองทัพธรรม ไม่ต้องได้ส่งส่าย ไม่ต้องคว้าหา
เพราะเห็นแล้วก็ไม่ต้องหา เพราะอิ่มแล้วก็ไม่ต้องหิวโหยอิดโรย
ไม่ต้องมีการกินอีกด้วย และก็ไม่มีการดื่มอีกด้วย ฯ."

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต





เวลานั่งไปสักพัก พุทโธๆไป
มันไม่อยู่ มันคิดโน้นคิดนี่ไป
แล้วเดี๋ยวเกิดการเจ็บขึ้นมาที่ร่างกาย แล้วอยากจะลุก
ถ้าเราใช้ปัญญามาพิจารณาว่า
ความเจ็บนี้มันเป็นเรื่องปกติของเขา ปกติของร่างกาย
ใจเราไม่ได้เจ็บกับเขา
ใจเราควรจะอยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปทุกข์กับเขา
ถ้าเราสอนใจให้ปล่อยวาง
ไม่ให้ไปเกิดความอยากให้ความเจ็บหายไป
หรืออยากจะลุกขึ้นมา
ใจก็จะสงบได้ อย่างนี้เราเขาเรียกว่า
ปัญญาอบรมสมาธิ เพื่อทำใจให้สงบ
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต





อาตมาเกิดมาเป็นคนอาภัพวาสนา เกิดวันจันทร์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ ปีระกา เดือนอ้าย อาตมาดูตัวเองเหมือนไก่เถื่อน ไก่เถื่อนก็คือไก่ป่า ไก่ไม่มีเจ้าของ ไม่มีคนเลี้ยงดูอุปถัมภ์ค้ำชู เหมือนๆ ไก่ตื่นเช้ากระโดดลงจากที่นอนก็คุ้ยเขี่ยหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตลอดทั้งวันจนขาจะขาด ค่ำมืดแล้วก็เข้านอน อาตมาก็มีความเป็นอยู่เช่นเดียวกัน การกระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของชีวิต คนมองเผินๆ ดูเหมือนว่าเป็นคนขยัน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ทำด้วยความทุกข์ยาก ทำด้วยความจำเป็น ทำด้วยการบรรเทาทุกข์เท่านั้น..

ก็มีผู้มาถามอยู่หลายครั้งหลายหนว่า ท่านเป็นลูกศิษย์ของใคร เราไม่รู้ว่าจะตอบเขาว่าอย่างไรดี ตอบได้แต่คำว่าอาตมาแต่ก่อนเคยอยู่กับหลวงปู่ขาว เราไม่อาจจะตอบว่าเป็นลูกศิษย์ เพราะคิดว่าคำว่าศิษย์มันหมายความว่าอย่างไร เพราะเราเคารพนับถือท่านมาก ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมายจนหาที่ตำหนิไม่ได้ ท่านขาวสะอาดจริงๆ ไม่ใช่ขาวแต่ชื่อ ท่านขาวกระทั่ง กาย วาจา ใจ ถูกกับคำว่า เกลี้ยงทางในใสทั้งกระดูก เกลี้ยงทั้งข้าวปลูกทั้งข้าวปัดลาน ไม่ใช่เกลี้ยงแต่นอกทางในเป็นหมากเดื่อบี๋ เบิ่งแล้วแมงหมี่ซ้อนอยู่ใน

ถ้าเราจะตอบว่าเราเป็นศิษย์ของท่าน เราทำได้อย่างท่านไหม ตรงนี้แหละเป็นสิ่งน่าละอายใจเป็นอย่างยิ่ง อาตมาไม่กล้าพูดว่าเป็นศิษย์ อาตมาเคยรู้เคยเห็น บางท่านบางคนบอกว่าฉันเป็นลูกศิษย์คนนั้นคนนี้ ลูกคนนั้นหลานคนนั้นมันเป็นศิษย์ ลูกหลานสมมติหรือเป็นจริงๆ ข้อนี้แหละควรคิด คำว่าลูกศิษย์ตถาคต พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใครก็ตาม เป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างมากๆ เลยทีเดียว อย่าให้เป็นผีแลกหน้าพร้าแลกคม มันจึงจะสมกับคำว่า คนก็ให้เป็นคนแท้ๆ อย่าเป็นคนตั้งแต่ชื่อ คนให้ฮวดก้นหม้อเหนียวตุ้ยจึงแม่นคน

หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย




“จากเหตุก็เป็นผล”
..การประพฤติปฏิบัติ เห็นไหมอย่างพระพุทธองค์ ท่านปฏิบัติขนาดไหน ทำทุกกรกิริยาจนขนร่วง ขนหัวก็ร่วง ขนตัวก็ร่วง เหลือแต่หนังกับกระดูก แต่แล้วท่านก็ว่าไม่ใช่ทาง ท่านทนถึงขนาดนั้นนะ บำรุงร่างกายพอสมควรบ้าง แล้ว ก็ประพฤติปฏิบัติฝึกหัดอบรมในด้านจิตใจ จึงค่อยได้บรรลุธรรม ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน อย่างหลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่มั่น ท่านก็สลบลง ๓ – ๔ ครั้ง ไม่ยอมมัน เอาอยู่อย่างนั้น ตายก็ตาย อะไรก็อะไร ผลสุดท้ายก็ผ่านไปได้ อันนั้น ถือว่าเป็นเหตุนะ ถ้าพูดอีกอย่างหนึ่งถือว่าเป็นมรรค ถ้าเราผ่านไปแล้วมันเป็นผล ออกจากเหตุก็เป็นผล มรรคก็คือการปฏิบัติ เมื่อผ่านมรรคไปแล้วก็เป็นผลขึ้นมา ท่านถือว่าอย่างนั้น นี้เราจะอ้อนวอนให้มันเป็นไปเอง โอ้ย..ก็แล้วเท่านั้นหละ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ






“ความอยากมันไม่หมด”

ถาม : ได้ปฎิบัติตามอาจารย์สั่งสอน มีความสุขสงบดีมากๆ วันๆ ไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากฟังธรรมและนั่งสมาธิ แต่เมื่อก่อนมีความจำเป็นต้องไปห้างปรากฏว่าไปเห็นสร้อยเพชรอยากได้มากๆค่ะ มีเงินในกระเป๋าด้วยค่ะ คิดว่าซื้อมาก็ไม่เสียหายอะไรเพราะมีเงิน ขอพระอาจารย์สั่งสอนด้วยค่ะ

พระอาจารย์ : ใช่ ถ้ามันมีเงินก็ไม่เสียหายอะไร แต่เวลาถ้าต่อไปมันเห็นแล้วอยากแล้วมันไม่มีเงินน่ะมันจะเสียหาย ตอนนี้ความอยากมันไม่หมดกับสร้อยเส้นนี้ มันได้เส้นนี้แล้วเดี๋ยวมันได้เส้นอื่นเดี๋ยวมันอยากขึ้นมาอีก เดี๋ยวมันก็ต้องเจอ ถึงเวลาว่าบัตรหมดแล้วนะ กดไม่ได้แล้ว มันก็จะซื้อไม่ได้ พออยากซื้อก็ไม่ซื้อ ถ้าไม่ได้ซื้อก็ไม่สบายใจแล้ว.

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






“ธรรมเป็นที่พึ่งของใจอย่างแท้จริง”

มีใครอยากจะถามอะไรไหม ถามได้นะ คนถามไม่ได้ว่าคนโง่นะ คนถามเรียกว่าคนฉลาด ฟังแล้วยังไม่เข้าใจหรือยังไม่แจ่มแจ้ง ถามแบบนี้ไม่ใช่ว่าเป็นคนโง่ คนเราจะฉลาดได้ต้องยอมรับว่าเราโง่ก่อน ถ้าเราคิดว่าเราฉลาดแล้วเราก็จะเป็นคนโง่ตลอด เพราะเราจะไม่สนใจที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม แต่ท่านบอกว่าคนที่คิดว่าตนเองยังโง่อยู่นี้ท่านบอกยังมีโอกาสที่จะเป็นคนฉลาดได้ แต่คนที่คิดว่าตนเองฉลาดแล้วเนี่ยท่านบอกเป็นคนโง่ที่แท้จริง เพราะคนที่ฉลาดจริงนี้จะไม่มาเกิดอีก ถ้ายังมาเกิดอีกแล้วยังคิดว่าตนเองฉลาดอยู่นี่แสดงว่ายังโง่อยู่ พระพุทธเจ้าเนี่ยฉลาดจริง เพราะจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว คนโง่นี่ยังกลับมาเกิด ทำไมถึงว่าการกลับมาเกิดเป็นโง่ เพราะการกลับมาเกิดก็เหมือนกับการเดินเข้ากองไฟนั่นเอง การมาเกิดนี่ก็เดินเข้าหากองทุกข์เท่านั้นเอง มาเกิดให้เรามาหาความทุกข์กันใช่ไหม ทุกข์กับคนนั้นคนนี้ ทุกข์กับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทุกข์กับความแก่ความเจ็บความตาย ทุกข์กับการสูญเสียพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักบุคคลที่เรารัก ถ้ายังกลับมาเกิดอยู่นี่ก็แสดงว่าโง่ ไม่รู้จักวิธีออกจากกองไฟ มีแต่จะเดินเข้าหากองไฟ คนฉลาดนี้รู้ว่าการเกิดนี้เป็นทุกข์ ท่านถึงไม่กลับมาเกิดกัน แล้วท่านก็ค้นหาวิธีที่จะทำให้ไม่กลับมาเกิด ก็คือไอ้ความอยากเนี่ยแหละ ความอยากที่จะไปโน่นมานี่ ไปดูนั่นดูนี่ ไปฟังโน่นฟังนี่ มันก็ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกาย มีร่างกาย พอไม่มีร่างกายอันนี้มันก็ไปหาร่างกายอันใหม่ พอร่างกายนี้ตายไปแล้วใจที่ไม่ได้ตายไปกับร่างกายนี้ ใจผู้มีความอยากเนี่ยแหละที่ต้องไปหาร่างกายอันใหม่ พอได้ร่างกายอันใหม่ก็มาทำอย่างที่เราทำกันอยู่อย่างนี้เหมือนเดิม อยากดูก็ไปดู อยากฟังก็ไปฟัง อยากไปเที่ยวก็ไปกัน แล้วก็ต้องมาทุกข์กัน เพราะว่ากว่าจะเที่ยวได้นี้ก็ต้องเหนื่อย ต้องหาเงินหาทอง ต้องทำอะไรมากมายก่ายกอง แล้วก็เที่ยวก็ได้ความสุขเดี๋ยวเดียว พอไม่ได้เที่ยวก็ทุกข์ขึ้นมาอีกแล้ว พออยากจะเที่ยวไม่ได้เที่ยวก็ทุกข์อีกแล้ว เนี่ยเป็นการเดินเข้าหากองไฟกองทุกข์ คนฉลาดนี้จะไม่มาเกิดกัน คนฉลาดที่แท้จริงคือพระพุทธเจ้าพระอริยสงฆ์สาวกนี้ ท่านบอกไม่เอาแล้ว เกิดไม่เอาแล้ว เกิดเป็นทุกข์ ท่านก็เลยตัดความอยากที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ของการเกิดให้หมดไป

ฉะนั้นพยายามศึกษาอย่าไปคิดว่าตนเองฉลาด ตอนนี้เราอาจจะไม่ทุกข์มากเพราะยังไม่ถึงเวลา ตอนที่เราเป็นหนุ่มเป็นสาว ตอนที่เรามีกำลังวังชา มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แล้วยังมีเงินทองหาเงินทองได้คล่องแคล่วว่องไว อยากจะเที่ยวอยากจะกินอยากจะดื่มอยากจะทำอะไรอยากจะซื้ออะไรก็สามารถทำได้หมด แต่มันจะไม่เป็นอย่างนี้ไปทุกวัน จะไม่เป็นอย่างนี้ไปตลอด เดี๋ยวสักวันนึงมันจะต้องสะดุด เดี๋ยววันนึงเงินทองอาจจะขาดมือขึ้นมา หรือสิ่งที่เรารักบุคคลที่รักนี้จากเราไป เวลานั้นน่ะถึงจะรู้ว่าคำว่าทุกข์ว่าเป็นอย่างไร บางคนพอเจอทุกข์แบบกระทันหันนี่ทนอยู่ไม่ได้ฆ่าตัวตายไปก็มี ฉะนั้นอย่าประมาท ความทุกข์กำลังรอเราอยู่ เตรียมหาอาวุธสู้กับมัน เราสามารถฟันฝ่าความทุกข์ทุกอย่างที่รอเราอยู่ได้อย่างไม่สะทกสะท้านอย่างไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน ถ้าเรามีอาวุธ อาวุธก็คือธรรมะ เรียกว่า ธรรมาวุธ ถ้ามีธรรมะแล้วใจเราจะไม่ทุกข์กับเหตุการณ์ต่างๆ ใครจะจากเราไปจะไม่ทุกข์ ใครจะมาโกงเราไม่ทุกข์ จะสิ้นเนื้อประดาตัวก็ไม่ทุกข์ กลับไปทำงานเขาอาจจะบอกว่าสิ้นเดือนนี้บริษัทจะปิดแล้วนะ ดูซิว่าจะทุกข์หรือไม่ทุกข์กัน เพราะฉะนั้นอย่าประมาท ถ้าเราทุกข์อยู่แสดงว่าเรายังไม่ฉลาด รีบศึกษา ธรรมะให้มากๆ เพราะธรรมะเนี่ยแหละที่จะช่วยทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ไม่มีอะไรในโลกนี้จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ มีแต่จะทำให้เราติดอยู่ในกองทุกข์กัน ฉะนั้นพยายามอย่าไปหาอะไรอย่าไปพึ่งอะไรให้มาพึ่งธรรม พึ่งธรรมะ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ธรรมนี้แหละเป็นที่พึ่งของใจอย่างแท้จริง.

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต





"เพ่งเข้าไปที่จิต"

"จิต" อันนี้มัน "ปิดบังมรรคผลนิพพาน" ไว้ "ทำลายจิต" ลงไปอีก

"จิตแตกสลาย" ออกไปแล้ว "ไม่ต้องพูดถึงมรรคผลนิพพาน"

"ทำลาย" ให้เป็น "ของว่าง" ทำลายให้หมดให้สิ้น

"ให้มีสติธรรม" ให้มัน "ว่างไปหมด" จิตก็เป็นอนัตตา, ธรรมก็เป็นอนัตตา, ให้ มีสติ, มีสติ, มีสติ, ให้มีสติอยู่เสมอ, "ไม่เผลอสติ"

"ดูลงไปที่จิต"

"เพ่งเข้าไปที่จิต ๆ ๆ" เพราะมันเกิดจากที่นี่ทั้งนั้น,

"ตัวหลง" ก็ "จิตตัวนี้หลง"

หลวงปู่แบน ธนากโร




“เปลี่ยนอยู่กับจิตใจอันเดียว”

..ทำตามใจไม่ได้ เด็กน้อยก็เหมือนกัน นี้มาคิดอยู่เหมือนกัน เมื่อระลึกถึงตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก พ่อแม่เคยเอาอกเอาใจ เลยทำให้สอนยาก พอมาฝึกหัดตัวเอง จึงรู้ว่าสอนยาก ไม่น่าตามใจเท่าไหร่นะเด็กน้อย พอฝืนก็ฝืนไป พอมาเห็น เวลาตัวเองมาสอนใจตัวเอง จึงรู้จักคุณค่าของมัน เคยเป็นนิสัยนะทีนี้ มันเคยชิน เคยเป็นนิสัย มันติดแน่น ทำท่าอยากใหญ่อยู่อย่างนั้นไม่หยุด ต้องแก้มัน อันนี้ พอนั่ง มันเหนื่อย มันล้า อยากหยุด บอกว่าไม่หยุดหรอก ให้ความเจ็บปวดหายก่อนจึงจะหยุด มันยิ่งขึ้นแรงขึ้นก็ตาม ใครเจ็บ แล้วแต่มันจะเจ็บหละ ร่างกายมันไม่เจ็บเป็นหรอก ใจนั้นหละเป็นผู้เจ็บ ดิน น้ำ ไฟ ลม มันจะเจ็บเป็นหรือ เหมือนอย่างดินอยู่ลานวัดเรา ใครเอาอะไรไปสับมันก็ไม่พูด น้ำอย่างนี้ ใครเอามีดฟัน มันก็ไม่พูดนะ ลม ไฟเหล่านั้น ก็ไม่รู้จักอะไร ตัวพาเจ็บ คือตัวใจต่างหากนะ ใจมันอยากเจ็บก็ให้มันเจ็บไป ไม่อยากเจ็บมันก็หยุดเท่านั้นหละ มันเปลี่ยนอยู่กับจิตใจอันเดียวนะ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO