นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 11 พ.ค. 2024 9:22 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: มีสติรู้ตัว
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 29 ก.ย. 2017 12:40 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4554
"จงมองตนเอง เพื่อแก้ไข
และมองคนอื่น เพื่อให้อภัย
จะอยู่สุขใจ และ เป็นอิสระ"
-:-หลวงปู่ศรี มหาวีโร-:-





"กรรม แปลว่า การกระทำ
จะร้ายจะดี จะสุขหรือทุกข์
ย่อมเกิดมาแต่กรรม

ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
กัมมุนา วัตตติ โลโก
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ข้อสำคัญควรนึกถึง นรกในปัจจุบัน
ที่เรียกว่า นรกในใจให้มาก
อย่าให้บาปเกิดขึ้นในใจ
ให้รักษาใจให้บริสุทธิ์ อย่าให้เศร้าหมอง

ถ้าใจเศร้าหมอง ด้วยบาปอกุศล
ก็มีทุคติ คือ อบายเป็นที่ไป
บังเกิดเที่ยงแท้แน่นอน ไม่ต้องสงสัย"

-:-ครูบาเจ้าพรหมมา พรหมจักโก-:-





"ก่อนที่จะพูดอะไร ให้ถามตัวเองว่า
ที่จะพูดนี้ จำเป็นหรือเปล่า
ถ้าไม่จำเป็น ก็อย่าพูด
นี่เป็นขั้นต้น ของการอบรมใจ
เพราะถ้าเราควบคุมปากตัวเองไมได้
เราจะควบคุมใจ ได้อย่างไร"

-:-ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก-:-





"ความผูกพันธ์นั่นแล
พาให้โลกเป็นทุกข์กันมากน้อย
ถ้าความผูกพันธ์ในใจไม่มี
ก็ไม่เป็นทุกข์

ธรรมท่านจึงสอนให้รู้เท่า
และปล่อยวางความผูกพันธ์
อันเป็นตัวการให้ทุกข์ทั้งหลายเกิด"

-:-หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน-:-





"ระวังให้ดี ถ้าท่านรักใคร
คิดถึงใคร เป็นห่วงใคร
ผู้นั้น จะให้โทษแก่ท่าน"
-:-หลวงปู่กินรี จันทิโย-:-






"มีสติรู้ตัว ถอนความยึดถือ ในตัวตนเสีย
มีอะไรบ้างหรือ ที่เราบังคับได้บ้าง

ร่างกายนี้ ตั้งแต่เกิดมา
มีแต่ความเปลี่ยนแปลง
อย่างไม่หยุดนิ่ง ไม่หยุดยั้ง
แล้วก็ต้องตายไป ทำพิธีต่ออายุ
สืบชะตาอย่างไร ก็ต้องตายทุกคน

แล้วจะยึดถือว่า เป็นตัวเรา ของเรา
ได้อย่างไร ตายแล้ว ไม่เผาไฟ
ก็ฝังดินเท่านั้นเอง

มันเป็นเพียงธรรมชาติ
ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไป
เราเพียงยืมใช้ ได้อาศัย ศึกษา
รักษาไว้ เป็นพาหนะ ให้ทำความดี
เพื่อข้ามวัฎสงสารเท่านั้น"

-:-หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร-:-




เวลานั่งไปสักพัก พุทโธๆไป
มันไม่อยู่ มันคิดโน้นคิดนี่ไป
แล้วเดี๋ยวเกิดการเจ็บขึ้นมาที่ร่างกาย แล้วอยากจะลุก
ถ้าเราใช้ปัญญามาพิจารณาว่า
ความเจ็บนี้มันเป็นเรื่องปกติของเขา ปกติของร่างกาย
ใจเราไม่ได้เจ็บกับเขา
ใจเราควรจะอยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปทุกข์กับเขา
ถ้าเราสอนใจให้ปล่อยวาง
ไม่ให้ไปเกิดความอยากให้ความเจ็บหายไป
หรืออยากจะลุกขึ้นมา
ใจก็จะสงบได้ อย่างนี้เราเขาเรียกว่า
ปัญญาอบรมสมาธิ เพื่อทำใจให้สงบ
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






อาตมาเกิดมาเป็นคนอาภัพวาสนา เกิดวันจันทร์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ ปีระกา เดือนอ้าย อาตมาดูตัวเองเหมือนไก่เถื่อน ไก่เถื่อนก็คือไก่ป่า ไก่ไม่มีเจ้าของ ไม่มีคนเลี้ยงดูอุปถัมภ์ค้ำชู เหมือนๆ ไก่ตื่นเช้ากระโดดลงจากที่นอนก็คุ้ยเขี่ยหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตลอดทั้งวันจนขาจะขาด ค่ำมืดแล้วก็เข้านอน อาตมาก็มีความเป็นอยู่เช่นเดียวกัน การกระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของชีวิต คนมองเผินๆ ดูเหมือนว่าเป็นคนขยัน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ทำด้วยความทุกข์ยาก ทำด้วยความจำเป็น ทำด้วยการบรรเทาทุกข์เท่านั้น..

ก็มีผู้มาถามอยู่หลายครั้งหลายหนว่า ท่านเป็นลูกศิษย์ของใคร เราไม่รู้ว่าจะตอบเขาว่าอย่างไรดี ตอบได้แต่คำว่าอาตมาแต่ก่อนเคยอยู่กับหลวงปู่ขาว เราไม่อาจจะตอบว่าเป็นลูกศิษย์ เพราะคิดว่าคำว่าศิษย์มันหมายความว่าอย่างไร เพราะเราเคารพนับถือท่านมาก ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมายจนหาที่ตำหนิไม่ได้ ท่านขาวสะอาดจริงๆ ไม่ใช่ขาวแต่ชื่อ ท่านขาวกระทั่ง กาย วาจา ใจ ถูกกับคำว่า เกลี้ยงทางในใสทั้งกระดูก เกลี้ยงทั้งข้าวปลูกทั้งข้าวปัดลาน ไม่ใช่เกลี้ยงแต่นอกทางในเป็นหมากเดื่อบี๋ เบิ่งแล้วแมงหมี่ซ้อนอยู่ใน

ถ้าเราจะตอบว่าเราเป็นศิษย์ของท่าน เราทำได้อย่างท่านไหม ตรงนี้แหละเป็นสิ่งน่าละอายใจเป็นอย่างยิ่ง อาตมาไม่กล้าพูดว่าเป็นศิษย์ อาตมาเคยรู้เคยเห็น บางท่านบางคนบอกว่าฉันเป็นลูกศิษย์คนนั้นคนนี้ ลูกคนนั้นหลานคนนั้นมันเป็นศิษย์ ลูกหลานสมมติหรือเป็นจริงๆ ข้อนี้แหละควรคิด คำว่าลูกศิษย์ตถาคต พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใครก็ตาม เป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างมากๆ เลยทีเดียว อย่าให้เป็นผีแลกหน้าพร้าแลกคม มันจึงจะสมกับคำว่า คนก็ให้เป็นคนแท้ๆ อย่าเป็นคนตั้งแต่ชื่อ คนให้ฮวดก้นหม้อเหนียวตุ้ยจึงแม่นคน

หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย




“จากเหตุก็เป็นผล”
..การประพฤติปฏิบัติ เห็นไหมอย่างพระพุทธองค์ ท่านปฏิบัติขนาดไหน ทำทุกกรกิริยาจนขนร่วง ขนหัวก็ร่วง ขนตัวก็ร่วง เหลือแต่หนังกับกระดูก แต่แล้วท่านก็ว่าไม่ใช่ทาง ท่านทนถึงขนาดนั้นนะ บำรุงร่างกายพอสมควรบ้าง แล้ว ก็ประพฤติปฏิบัติฝึกหัดอบรมในด้านจิตใจ จึงค่อยได้บรรลุธรรม ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน อย่างหลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่มั่น ท่านก็สลบลง ๓ – ๔ ครั้ง ไม่ยอมมัน เอาอยู่อย่างนั้น ตายก็ตาย อะไรก็อะไร ผลสุดท้ายก็ผ่านไปได้ อันนั้น ถือว่าเป็นเหตุนะ ถ้าพูดอีกอย่างหนึ่งถือว่าเป็นมรรค ถ้าเราผ่านไปแล้วมันเป็นผล ออกจากเหตุก็เป็นผล มรรคก็คือการปฏิบัติ เมื่อผ่านมรรคไปแล้วก็เป็นผลขึ้นมา ท่านถือว่าอย่างนั้น นี้เราจะอ้อนวอนให้มันเป็นไปเอง โอ้ย..ก็แล้วเท่านั้นหละ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ







“ความอยากมันไม่หมด”

ถาม : ได้ปฎิบัติตามอาจารย์สั่งสอน มีความสุขสงบดีมากๆ วันๆ ไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากฟังธรรมและนั่งสมาธิ แต่เมื่อก่อนมีความจำเป็นต้องไปห้างปรากฏว่าไปเห็นสร้อยเพชรอยากได้มากๆค่ะ มีเงินในกระเป๋าด้วยค่ะ คิดว่าซื้อมาก็ไม่เสียหายอะไรเพราะมีเงิน ขอพระอาจารย์สั่งสอนด้วยค่ะ

พระอาจารย์ : ใช่ ถ้ามันมีเงินก็ไม่เสียหายอะไร แต่เวลาถ้าต่อไปมันเห็นแล้วอยากแล้วมันไม่มีเงินน่ะมันจะเสียหาย ตอนนี้ความอยากมันไม่หมดกับสร้อยเส้นนี้ มันได้เส้นนี้แล้วเดี๋ยวมันได้เส้นอื่นเดี๋ยวมันอยากขึ้นมาอีก เดี๋ยวมันก็ต้องเจอ ถึงเวลาว่าบัตรหมดแล้วนะ กดไม่ได้แล้ว มันก็จะซื้อไม่ได้ พออยากซื้อก็ไม่ซื้อ ถ้าไม่ได้ซื้อก็ไม่สบายใจแล้ว.

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต





“ธรรมเป็นที่พึ่งของใจอย่างแท้จริง”

มีใครอยากจะถามอะไรไหม ถามได้นะ คนถามไม่ได้ว่าคนโง่นะ คนถามเรียกว่าคนฉลาด ฟังแล้วยังไม่เข้าใจหรือยังไม่แจ่มแจ้ง ถามแบบนี้ไม่ใช่ว่าเป็นคนโง่ คนเราจะฉลาดได้ต้องยอมรับว่าเราโง่ก่อน ถ้าเราคิดว่าเราฉลาดแล้วเราก็จะเป็นคนโง่ตลอด เพราะเราจะไม่สนใจที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม แต่ท่านบอกว่าคนที่คิดว่าตนเองยังโง่อยู่นี้ท่านบอกยังมีโอกาสที่จะเป็นคนฉลาดได้ แต่คนที่คิดว่าตนเองฉลาดแล้วเนี่ยท่านบอกเป็นคนโง่ที่แท้จริง เพราะคนที่ฉลาดจริงนี้จะไม่มาเกิดอีก ถ้ายังมาเกิดอีกแล้วยังคิดว่าตนเองฉลาดอยู่นี่แสดงว่ายังโง่อยู่ พระพุทธเจ้าเนี่ยฉลาดจริง เพราะจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว คนโง่นี่ยังกลับมาเกิด ทำไมถึงว่าการกลับมาเกิดเป็นโง่ เพราะการกลับมาเกิดก็เหมือนกับการเดินเข้ากองไฟนั่นเอง การมาเกิดนี่ก็เดินเข้าหากองทุกข์เท่านั้นเอง มาเกิดให้เรามาหาความทุกข์กันใช่ไหม ทุกข์กับคนนั้นคนนี้ ทุกข์กับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทุกข์กับความแก่ความเจ็บความตาย ทุกข์กับการสูญเสียพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักบุคคลที่เรารัก ถ้ายังกลับมาเกิดอยู่นี่ก็แสดงว่าโง่ ไม่รู้จักวิธีออกจากกองไฟ มีแต่จะเดินเข้าหากองไฟ คนฉลาดนี้รู้ว่าการเกิดนี้เป็นทุกข์ ท่านถึงไม่กลับมาเกิดกัน แล้วท่านก็ค้นหาวิธีที่จะทำให้ไม่กลับมาเกิด ก็คือไอ้ความอยากเนี่ยแหละ ความอยากที่จะไปโน่นมานี่ ไปดูนั่นดูนี่ ไปฟังโน่นฟังนี่ มันก็ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกาย มีร่างกาย พอไม่มีร่างกายอันนี้มันก็ไปหาร่างกายอันใหม่ พอร่างกายนี้ตายไปแล้วใจที่ไม่ได้ตายไปกับร่างกายนี้ ใจผู้มีความอยากเนี่ยแหละที่ต้องไปหาร่างกายอันใหม่ พอได้ร่างกายอันใหม่ก็มาทำอย่างที่เราทำกันอยู่อย่างนี้เหมือนเดิม อยากดูก็ไปดู อยากฟังก็ไปฟัง อยากไปเที่ยวก็ไปกัน แล้วก็ต้องมาทุกข์กัน เพราะว่ากว่าจะเที่ยวได้นี้ก็ต้องเหนื่อย ต้องหาเงินหาทอง ต้องทำอะไรมากมายก่ายกอง แล้วก็เที่ยวก็ได้ความสุขเดี๋ยวเดียว พอไม่ได้เที่ยวก็ทุกข์ขึ้นมาอีกแล้ว พออยากจะเที่ยวไม่ได้เที่ยวก็ทุกข์อีกแล้ว เนี่ยเป็นการเดินเข้าหากองไฟกองทุกข์ คนฉลาดนี้จะไม่มาเกิดกัน คนฉลาดที่แท้จริงคือพระพุทธเจ้าพระอริยสงฆ์สาวกนี้ ท่านบอกไม่เอาแล้ว เกิดไม่เอาแล้ว เกิดเป็นทุกข์ ท่านก็เลยตัดความอยากที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ของการเกิดให้หมดไป

ฉะนั้นพยายามศึกษาอย่าไปคิดว่าตนเองฉลาด ตอนนี้เราอาจจะไม่ทุกข์มากเพราะยังไม่ถึงเวลา ตอนที่เราเป็นหนุ่มเป็นสาว ตอนที่เรามีกำลังวังชา มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แล้วยังมีเงินทองหาเงินทองได้คล่องแคล่วว่องไว อยากจะเที่ยวอยากจะกินอยากจะดื่มอยากจะทำอะไรอยากจะซื้ออะไรก็สามารถทำได้หมด แต่มันจะไม่เป็นอย่างนี้ไปทุกวัน จะไม่เป็นอย่างนี้ไปตลอด เดี๋ยวสักวันนึงมันจะต้องสะดุด เดี๋ยววันนึงเงินทองอาจจะขาดมือขึ้นมา หรือสิ่งที่เรารักบุคคลที่รักนี้จากเราไป เวลานั้นน่ะถึงจะรู้ว่าคำว่าทุกข์ว่าเป็นอย่างไร บางคนพอเจอทุกข์แบบกระทันหันนี่ทนอยู่ไม่ได้ฆ่าตัวตายไปก็มี ฉะนั้นอย่าประมาท ความทุกข์กำลังรอเราอยู่ เตรียมหาอาวุธสู้กับมัน เราสามารถฟันฝ่าความทุกข์ทุกอย่างที่รอเราอยู่ได้อย่างไม่สะทกสะท้านอย่างไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน ถ้าเรามีอาวุธ อาวุธก็คือธรรมะ เรียกว่า ธรรมาวุธ ถ้ามีธรรมะแล้วใจเราจะไม่ทุกข์กับเหตุการณ์ต่างๆ ใครจะจากเราไปจะไม่ทุกข์ ใครจะมาโกงเราไม่ทุกข์ จะสิ้นเนื้อประดาตัวก็ไม่ทุกข์ กลับไปทำงานเขาอาจจะบอกว่าสิ้นเดือนนี้บริษัทจะปิดแล้วนะ ดูซิว่าจะทุกข์หรือไม่ทุกข์กัน เพราะฉะนั้นอย่าประมาท ถ้าเราทุกข์อยู่แสดงว่าเรายังไม่ฉลาด รีบศึกษา ธรรมะให้มากๆ เพราะธรรมะเนี่ยแหละที่จะช่วยทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ไม่มีอะไรในโลกนี้จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ มีแต่จะทำให้เราติดอยู่ในกองทุกข์กัน ฉะนั้นพยายามอย่าไปหาอะไรอย่าไปพึ่งอะไรให้มาพึ่งธรรม พึ่งธรรมะ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ธรรมนี้แหละเป็นที่พึ่งของใจอย่างแท้จริง.

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต





คนทั้งหลายว่าเจ้าของดี ว่าเจ้าของสวย ว่าเจ้าของงาม แล้วก็สมมุติว่าของที่อยู่ภายนอกเป็นของสวยงาม เป็นของน่ารักน่าชม แต่ที่จริงก็เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมลงเป็นอาการ ๓๒ เหมือนกันแต่ว่าคนเสกสรรขึ้น เนื้อหนังอันไหนก็เป็นอันเดียวกัน กระดูกเหมือนกัน ผู้หญิงตายเอาไฟเผาทิ้ง กระดูกก็เหมือนกัน ผู้ชายตายเอาไฟเผาทิ้ง กระดูกก็เหมือนกัน กระดูกผู้ชาย ก็เหมือนกระดูกผู้หญิง เพราะมันเหมือนกัน หนังอันเดียวกัน มาสมมุติขึ้นมันจึงหลง มันสำคัญมั่นหมายในสมมุติว่าเป็นหญิงเป็นชาย แล้วก็มาลุ่มหลงที่สมมุติขึ้นว่าเป็นหญิงเป็นชาย

ผู้ชายก็ว่า...ผู้หญิงก็ว่า... มันไม่เห็นเท่านี้ล่ะ แต่แท้จริงแล้ว มันก็แล้วแต่กรรม กรรมตกแต่ง จึงทำให้ไปสำคัญมั่นหมาย แต่ก็ไม่ได้อะไรจากสิ่งนั้น จะว่าเราได้ลูก ก็ไม่ได้อะไรจากลูก จะว่าเราได้เมีย ก็ไม่ได้อะไรจากเมีย เมียก็ไม่ได้อะไรจากผัว มีแต่ว่าคนที่อยู่ด้วยกันถูกต้องสัมผัสกัน นี่ล่ะจึงไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นของดี ว่าเป็นของมีความสุข แท้ที่จริงแล้วก็กองทุกข์ใหญ่ จึงให้พากันพิจารณาทำความเพียร

• หลวงปู่เพียร วิริโย •


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO