นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 20 เม.ย. 2024 5:46 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ศีลนำความสุขมาให้
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 26 ก.ย. 2017 8:05 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4533
"ศีลนำความสุขมาให้ ตราบเท่าชรา
ศีลนำความสุขมาให้ ตลอดชีวิต
ศีลนำความสุขไปให้ตลอด
และมีสุคติเป็นที่ไป

สีเลน โภคสมฺปทา
ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์สมบูรณ์
ไม่อด ไม่อยาก ไม่ยาก ไม่จน
ก็เพราะ เป็นผู้รักษาศีล
ให้สมบูรณ์บริบูรณ์นี้แล"

-:-หลวงปู่ขาว อนาลโย-:-






"ผู้ที่มีจิตใจผ่องใส สะอาดไม่มีโทษ
จะมีหน้าตาผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ไม่ขุ่นไม่มัว
เป็นที่น่าคบค้าสมาคมด้วย บุคลิกลักษณะนั้น
บ่งบอกถึง ความสุขของใจ"

-:-หลวงปู่ท่อน ญาณธโร-:-






"พระนิพพาน" อยู่ใกล้ที่สุด ไม่ไกล อย่าไปหาไกล

"หนัง" มันห่อไว้ กระดูกมันห่อไว้ ทำลายมันออกให้หมด

"จิต" อันนี้มันก็ปิดบังมรรคผลนิพพานไว้ ทำลายจิตลงไปอีก จิตแตกสลายออกไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมรรคผลนิพพาน ทำลายให้เป็นของว่าง

ยึด "ผู้รู้" ว่า "เป็นเรา" ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น

"จิตสักแต่ว่าจิต" "ธรรมสักแต่ว่าธรรม" ไม่ให้มันไปไหน ให้มันอยู่ใน "กาย เวทนา จิต ธรรม"

ของ "สมมุติแท้ๆ" ก็มี "ของจริง" อยู่ในสมมุตินั้น

"จิต" เป็นตัว "สมุทัย" เป็น "ตัวอริยะสัจ" มี "สติ" แล้ว "ศีล สมาธิ ปัญญา" ก็สมบูรณ์

ศูนย์รวมของธรรม อยู่ที่ใจ กิเลสตัณหาอยู่ในจิตเท่านั้น ไม่ได้อยู่ใน รูป เสียง....."ธรรม" ทั้งหลายเกิดจาก "จิต" ของเรา อยู่ที่ "จิต"

เวทนาไม่มีตัวไม่มีตน

"จิต" ของเราก็เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก แต่ "มันอยู่" ใน "จิตอันนี้" หวงหนังห่อขี้ หนังห่อมูตรห่อคูต

หลวงปู่ แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ สกลนคร






ยามนี้ยามใบไม้หล่น ปีนี้ฝนดีตลอดไม่ทิ้งช่วง เป็นปีที่ใบไม้ดกใบไม้มาก
ใบไม้ดกเท่าไหร่มากเท่าไหร่ถึงเวลาหล่นเขาก็หล่นมาก คิดถึงแต่ก่อนปัดตาดสนุกจริงๆ สนุกมากๆ
เวลาอยู่น้อยๆ กัน ตามปกติไม่ค่อยมาก ๙ องค์ ๑๐ องค์
ช่วงฤดูใบไม้หล่นเป็นช่วงที่พระเณรอยู่กันน้อย ปีนั้นอยู่ด้วยกัน ๒ องค์
ปัดตาดตั้งแต่บ่าย ๒ โมงถึงมืด ฤดูนี้เป็นฤดูที่มืดเร็ว หนาวก็หนาวแต่หนาวปัดตาดดี
ตรงไหนที่บริเวณกว้าง ๒ มือแกว่งไปแกว่งมากลับไปกลับมา
ตรงที่แคบๆ มันมีก้อนหิน มันมีต้นไม้แกว่งแรงแกว่งกว้างไม่ได้ก็ต้องปัดสั้นๆ ปัดสั้นๆ ก็ต้องปัดเร็วๆ เรียกว่าซอยกันถี่ยิบขนาดนั้นยังไม่ทันเอากันจนมืด

ทำไมจะต้องปัดจนมืดจนค่ำ ถ้าหากว่าปัดตาดไม่แล้วไม่ดี เวลาเดินจงกรม เวลานั่งสมาธิมันเหมือนมันคั่งค้าง
แม้แต่เวลานอนหลับฝันก็ฝันไปในลักษณะนั้นก็รกรุงรัง ชอบฝันในบริเวณหน้าโบสถ์ บริเวณภายในกุฏิ
ทั้งๆ ที่เราปัดกวาดเช็ดถู จึงว่าความอัศจรรย์ในธรรมในวินัย ความอัศจรรย์ในข้อปฏิบัติ
ความอัศจรรย์ในศาสนธรรมของพระพุทธเจ้ามีความอัศจรรย์ตลอดเสมอต้นเสมอปลาย

จึงว่าการปัดตาดเป็นเครื่องบอกเครื่องวัดบอกพระบอกเณร
เป็นเครื่องวัดเป็นเครื่องบอกวัดแต่ละวัดแต่ละสถานที่การปัดตาดเป็นเครื่องบอก
ข้อวัตรปฏิบัติทุกอย่างแม้แต่ผ้าเช็ดเท้าก็เป็นเครื่องบอก ไม่จำเป็นจะต้องเพ่งฌาณเล็งญาณอะไร
มองให้ลึกมันบอกอย่างนั้น เพราะคนตายทำอะไรไม่เป็นเพราะมันไม่มีหัวใจ
ที่มันเคลื่อนไหวทำนั่นทำนี่เป็นเรื่องของใจทั้งนั้น จึงให้พากันให้ความสำคัญให้ความเคารพในการปัดตาดให้มาก อย่าถือว่าไม่รู้จะไปปัดทำไมกวาดแล้วก็รกอีก

เมื่อวานลมมาก ปัดตาด ๒ ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่บ่าย ๒ โมงถึงบ่าย ๔ โมงจึงสรงน้ำ
มันได้ข้อคิดอะไรต่ออะไร เราปัดตาดมาในบริเวณนี้ถึง ๕๐ ปี
มันระลึกหมดนะ อายุ ๒๕ ปีเริ่มมาพักปัดตาดหรือประพฤติปฏิบัติอยู่ในที่นี้ ไม่ใช่ระยะสั้นๆ นะ ครึ่งร้อย
เราก็ยังต้องมาปัดอย่างนี้ เกิดความสลดใจ สลดใจมากๆ ทีเดียวถ้าหากว่าเป็นคนน้ำตาตื้นน้ำตามันไหลออกมาแล้ว
การเกิดการตายไม่มีใครแล้วเป็น (แล้ว=เสร็จสิ้น) แม้แต่การกินการถ่ายก็ไม่แล้วเป็น อะไรไม่แล้วเป็นทั้งนั้นซ้ำๆ ซากๆ อยู่แต่ของเก่า

คิดถึงพระพุทธเจ้าทรงเบื่อๆ ๆ แล้วก็คิดถึงพระฆ่าตัวตายเพราะเบื่อ
จึงว่าดูแล้วไม่มีอะไร เบื่อแต่ของซ้ำซาก เบื่อแต่ของทิ้ง เบื่อแต่ของตาย ยินดีแต่ของตาย มีเท่านี้
จึงว่าคนตายทำอะไรไม่เป็น ตอไม้มันทำอะไรไม่เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ มันทำอะไรไม่เป็น มันทำมาจากหัวใจ หัวใจมันเป็นทั้งนั้น
ความละเอียดความหยาบอะไรต่ออะไรมันบอกมาหมด บอกมาจากจิตใจทั้งนั้น การปัดตาดนี้บอกชัดๆ ทีเดียว
จึงว่าทำให้ถึงแล้วผลของการทำมันจึงจะปรากฏขึ้น และใจเท่านั้นจะเป็นผู้สัมผัสผลของการกระทำ......

หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร





วาระสุดท้ายของชีวิต คนจำนวนไม่น้อยที่รู้ตัวว่านับวันหรือนับชั่วโมงที่ยังเหลืออยู่ได้แล้ว จึงจะรู้สึกว่า ชีวิตอันสั้นเหลือเกินนี้ เราได้ปล่อยให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เยอะจริงๆ ยุ่งอยู่กับสิ่งที่นึกว่าสำคัญ แต่ที่จริงมองย้อนหลังไป ดูเหมือนความฝัน

พระอาจารย์ชยสาโร





ญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ
#พระพุทธเจ้าสอนพระโมฆราช ๑ ในมานพ ๑๖ คน ผู้นี้ผู้ที่มีนิสัยบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว พระองค์สอนคนนี้ก่อน ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิ มีสติทุกเมื่อ ขาดได้เมื่อไร มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความสำคัญว่าเขาว่าเราอันเป็นก้างขวางคอนั้นออก แล้วจะพึงหลุดพ้นจากพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้ นี่พระพุทธเจ้าสอนพระโมฆราช ทีนี้ผู้บำเพ็ญเข้าไปธรรมถึงขั้นนี้แล้ว บรรดาพระอรหันต์เป็นพระโมฆราชด้วยกันหมด จิตว่างเปล่าสูญเปล่าหมดด้วยกัน แต่ทรงยกพระโมฆราชเป็นต้นเหตุ ว่าโมฆราชองค์เดียว เมื่อธรรมเข้าไปถึงนั้นเป็นพระโมฆราชด้วยกันหมด
ขอให้ธรรมเข้าไปซิจิต นี่ละว่างอย่างนั้นนะ เราอยู่เดียวเรานี้ว่างโลกธาตุสูญหมด ฟังให้ชัดเสียท่านทั้งหลายมาฟังธรรมเรา เราปฏิบัติมาไม่ปฏิบัติมาเพื่อโกหกท่านทั้งหลาย โกหกเจ้าของก็ไม่มี เอาเป็นเอาตายตลอดมาละเรื่องฟัดกับกิเลสตัณหา จะมาโกหกเจ้าของได้ยังไง คนจะตายด้วยการทำความเพียรฆ่ากิเลสยังจะว่าโกหกเจ้าของอยู่เหรอ อันนี้นำผลประโยชน์ที่ได้มาจากการประกอบความเพียรมากน้อย ถึงขั้นจะสลบไสลก็มี มาสอนยังว่าโกหกอยู่เหรอ พิจารณาซิน่ะ ธรรมนี้เป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ เพราะฉะนั้นพูดมันจึงขึงขังตึงตังละซิ มันเต็มอยู่ในหัวใจจืดชืดเมื่อไรไม่มี นอกจากจะไม่เปิดออก ถ้าเปิดออกมากน้อยนี้พุ่งๆๆ เลย
อะไรในโลกอันนี้จะเหนือธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน นี่ละเลิศเลออยู่ตรงนี้ ธรรมพระพุทธเจ้าก็เขียนไว้ตำรับตำรามันก็เป็นหนอนแทะกระดาษไปเสีย มันไม่นำมาปฏิบัติละซิ สุดท้ายก็เรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ก็เลยเป็นกิเลสแทรกเข้าไป ธรรมทั้งหลายเลยกลายเป็นกิเลสเต็มหัวใจของผู้เรียนมาก ผู้เรียนเพื่อปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิบัติลงไปๆ เห็นผลปรากฏเป็นของเจ้าของเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปฏิเวธธรรมรู้แจ้งแทงทะลุหมด หายสงสัยโลกธาตุ นี่ธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอน สอนเพื่อปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อผลงานของตัวเอง สนฺทิฏฺฐิโก ถึงขั้นเลิศพอ
อันนี้ไปเรียนเป็นหนอนแทะกระดาษ ไม่ได้สนใจกับเรื่องอรรถเรื่องธรรมเลย ทุกวันนี้พระเราก็มีแต่ผ้าเหลืองเสียมากต่อมาก ฟาดหลวงตาบัวไปด้วยนะ หลวงตาบัวก็เป็นพระเหมือนกัน มันสนใจกับอรรถกับธรรมที่ไหนพระสมัยปัจจุบันนี้ สมัยนี้วัดป่าบ้านตาดนี้ละมันสนใจกับอรรถกับธรรมอะไร เป็นบ้ากับโลกเขาเท่านั้น ดีดดิ้นยิ่งกว่าโลกเขา หยาบยิ่งกว่าโลกเขาอีกก็คือพระหัวโล้นๆ เรานี้ละ จะเป็นใครที่ไหนไป เป็นบ้ายศบ้าลาภ อะไรจะเลิศยิ่งกว่าพระ คำว่าพระประเสริฐสุดแล้ว สิ่งที่นำเข้ามาชมเชยสรรเสริญก็ต่ำกว่าสิ่งนี้ทั้งนั้นๆ จะเข้าถึงกันได้ยังไง
นินทาสรรเสริญโลกธรรม ๘ ไม่มีในจิตของพระอรหันต์ มันตกไปเองเหมือนหยดน้ำลงใบบัว ตกพับไหลกลิ้งไปเลยๆ ไม่ซึมซาบกัน นี่ละจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วกับโลกทั้งหลาย กระแสของโลกเข้าไปนี้เหมือนหยดน้ำตกลงบนใบบัว ตกลงไปกลิ้งหมดเลยไม่มีค้างอยู่ในจิตพระอรหันต์ นั่นละจิตที่บริสุทธิ์แท้เป็นอย่างนั้น ฟาดออกไปให้มันเห็นประจักษ์ในตัวเองนี้พูดได้เต็มปาก ไม่เคยพูดพูดได้ขอให้รู้ขึ้นมาเถอะน่ะ นอกจากกาลอันควรไม่ควรแค่ไหน จะพูดหนักเบามากน้อยเพียงไรเท่านั้น พูดได้ทั้งนั้นธรรมมีอยู่ในหัวใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน นั่นเรียกว่าธรรมธาตุ
ธรรมธาตุอยู่ในส่วนบุคคลก็คือในพระอรหันต์ ออกจากนั้นก็เป็นธรรมธาตุล้วนๆ ธาตุขันธ์ไม่เกี่ยวข้อง ถ้าอยู่ในธาตุขันธ์ท่านก็เรียกว่าท่านผู้บริสุทธิ์ เป็นพระอรหันต์บ้างว่าไปอย่างนั้น พอขันธ์ขาดสะบั้นลงไปเป็นธรรมธาตุเหมือนกันหมดเลย จิตของท่านผู้สิ้นกิเลสจะสิ้นอย่างนั้น ท่านปฏิบัตินะ ไม่เป็นหนอนแทะกระดาษ มายกโทษยกกรณ์กัน ในวัดป่าบ้านตาดเรานี้ก็เหมือนกัน มาหากันแล้วมีตั้งแต่เรื่องติฉินนินทาซึ่งกันและกัน จะชมเชยสรรเสริญคุณธรรมแห่งการปฏิบัติของกันและกันสู่กันฟังเพื่อเป็นกำลังใจไม่มี เดี๋ยวนี้วัดป่าบ้านตาดเป็นอย่างนั้นนะ เหลวไหลไปหมดเลย
ไอ้เราก็ยิ่งแก่ยิ่งปล่อยไป ทีนี้ถึงกาลที่จะพูดก็พูดให้ทราบเสียบ้างว่ามันเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวนี้วัดป่าบ้านตาดเรา เฉพาะในครัวละสำคัญมาก พิลึกกึกกือ พระท่านไม่เห็นมีอะไรอยู่ด้วยกันมาเท่าไร อันนั้นฟังเสียงแว้ว้าๆ มีแต่เรื่องเรียนวิชาหมากัดกันออกมา ไอ้ผู้ปกครองมันจะตายแล้วอยู่ศูนย์กลางนี่นะ เป็นหูหนวกตาบอดไปอย่างนั้นละดู เรื่องคิดนี้คิดไม่ต้องบอก ความคิดความรู้สึกนี้คิดเก็บเรียบ ไม่ควรจะออกไม่ออกเหมือนหูหนวกตาบอด ดูไปฟังไปรู้ไป เก็บภายในความรู้สึกไว้หมดเลย ไม่ได้ออกง่ายๆ นะ แต่เวลาก็ออกอย่างที่ว่านี่ละ ฟังเอาซิ มันเป็นอย่างนั้นมาแล้วตั้งแต่ยังไม่พูดนู่นน่ะ
นี่จะหวังเอาอะไร เราไม่หวังเอาอะไรอยู่ในโลกอันนี้เราบอกแล้ว บริสุทธิ์เต็มส่วนแล้วในหัวใจนี้ไม่มีที่สงสัยแล้ว เราพูดให้มันชัดเสียในวันนี้ ปฏิบัติมาเป็นเวลา ๑๖ ปี คว่ำกิเลสขาดสะบั้นลงบนภูเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ วันนั้นวันกิเลสพังจากหัวใจ ตั้งแต่วันนั้นมาก็ครองธรรมจ้าตลอดครอบโลกธาตุ ก็มีแต่ร่างกายนี้เป็นสนามโลกธรรม ใครจะตำหนิติเตียนได้ทั้งนั้นเหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่ธรรมชาตินั้นเข้าไม่ถึง จำเอานะ เอาละวันนี้เหนื่อยแล้ว

#เดินตามรอยศาสดาเต็มภูมิของตน

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐






“หยุดโกรธได้ถ้าไม่อยาก”

ถาม : ถ้ามีความโกรธเกิดขึ้น เห็นอยู่ว่ามันอยู่ในจิต พยายามต่อสู้กับความโกรธ ต่อสู้กับตัวเอง เห็นอารมณ์ที่ร้อนรุ่ม พยามหาเหตุผลที่จะคุยกับจิตตัวเอง แต่ก็เอาไม่อยู่ ไม่ดับเจ้าค่ะ ท่านพระอาจารย์มีวิธีไหนบ้างคะ

พระอาจารย์ : ก็มีสองวิธี วิธีที่ง่ายก็คือใช้สติ ใช้พุทโธ อย่าไปคิดถึงเรื่องที่ทำให้เราโกรธ พุทโธ พุทโธไปหรือสวดมนต์ไป หรือหลบมุมไปอยู่มุมไหนอยู่ห่างไกลจากเหตุการณ์อย่าไปอยู่อย่าไปเห็นสิ่งที่ทำให้เราโกรธคนที่เราโกรธ ถ้าไปแล้วยังโกรธอยู่ ก็ต้องใช้พุทโธพุทโธ ท่องไปอย่าให้ไปคิดถึงคนที่เราโกรธเรื่องที่เราโกรธ เดี๋ยวสักพักเราก็ลืม แล้วความโกรธก็จะหายไป อันนี้วิธีหนึ่งก็คือดึงใจดึงกายออกจากเหตุการณ์นั้น ดึงกายก็ย้ายสถานที่ ดึงใจก็ให้อยู่กับพุทโธ อย่าให้ไปอยู่กับเรื่องที่ทำให้เราโกรธ อันนี้ก็จะแก้ได้ชั่วคราว พอเรากลับไปคิดถึงใหม่ก็โกรธขึ้นมาอีก

วิธีที่จะแก้อย่างถาวรก็ไปแก้ที่ต้นเหตุของความโกรธ อะไรทำให้เราโกรธ เราโกรธเขาเพราะอะไร เพราะเราอยากให้เขาทำอะไรให้เราใช่ไหม บอกให้เขาไปช่วยเอาอันนั้นให้หน่อย พอเขาไม่ไปเอาให้เรา เราก็โกรธ เราก็อย่าไปอยากสิ เราก็อย่าไปใช้เขาสิ ต่อไปก็อย่าไปอยากได้อะไรจากเขา แล้วเราก็จะไม่โกรธเขา เขาจะทำอะไรเราก็จะไม่โกรธ เห็นไหมคนที่เราไม่รู้จัก เราไปโกรธเขาไหม เพราะเราไม่ได้ไปอยากได้อะไรจากเขา แต่คนที่ใกล้ตัวเรานี้ เรามักจะโกรธเขาเรื่อย นี่อะไรที่อยู่ใกล้ตัวเรามักจะโดนเรื่อย เพราะเรามักอยากจะให้เขาทำโน่นทำนี่ให้กับเรา พอเขาไม่ทำให้เรา เราก็โกรธเขา ก็อย่าไปอยาก ปัญหาของความโกรธก็เกิดจากความอยาก ความอยากก็เกิดจากการไม่มีความสุขในตัวเอง ก็ต้องกลับมาทำสมาธิ ทำใจให้สงบ พอใจมีความสงบ มีความสุขแล้ว ก็จะไม่ไปอยากให้ใครเขาทำอะไรให้เรา.

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







“อยู่ที่สติเป็นหลัก”

คนที่จะก้าวหน้าในธรรมนี้อยู่ที่สติเป็นหลัก ใครมีสติแล้วนี้จะหลุดพ้นได้อย่างง่ายและรวดเร็ว แต่ถ้าไม่มีสตินี้ จะไม่มีวันที่จะหลุดพ้นได้เลย ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงจำเป็นจะต้องหมั่นเจริญสติอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจะทำอะไร อย่ามาเจริญสติเฉพาะเวลาที่นั่งสมาธิ เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะไม่มีกำลังที่จะหยุดความคิดปรุงเเต่งได้ ต้องหยุดความคิดปรุงเเต่งก่อนที่จะมานั่งหรือทำให้ความคิดปรุงเเต่งนี้เบาบางลงไป เมื่อเบาบางลงไป เวลามานั่งก็จะไม่ฟุ้งแล้วถ้ามีใจจดจ่ออยู่กับคำบริกรรมอย่างต่อเนื่องก็จะเข้าสู่ความสงบได้ เวลาบริกรรมก็อย่าไปคาดคะเนว่าเมื่อไหร่จะสงบ อย่าไปสนใจกับอนาคต ให้อยู่กับปัจจุบันคือคำบริกรรม ถ้าไปกังวลหรือไปคาดว่า เมื่อไหร่จะสงบ จิตก็ไปอนาคตแล้ว ถ้าจิตไปอนาคตแล้วจะไม่มีสติ จิตต้องอยู่ปัจจุบัน เขาเรียกว่า ปัจจุบันธรรม

สติคือปัจจุบันธรรม ต้องดึงจิตให้อยู่ในปัจจุบัน ต้องดึงจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วในอดีต ไม่คิดถึงเรื่องราวที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต ให้อยู่กับปัจจุบันอยู่กับคำบริกรรม พุทโธๆ ไปเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวจิตก็จะรวมเข้าสู่ความสงบ ความสงบนี้ก็มีอยู่ ๒ รูปแบบ ที่ท่านเรียกว่า อัปปนา กับอุปจาระ อัปปนาคือจิตรวมเข้าสู่ความสงบแล้วก็นิ่ง มีอุเบกขามีความว่างเป็นอารมณ์ แต่สำหรับผู้ที่มีอุปจารสมาธิ ท่านแสดงไว้ว่า เมื่อจิตรวมลงแล้วจิตก็จะถอนออกมาเพื่อมารับรู้เรื่องราวต่างๆ รับรู้นิมิตต่างๆ รับรู้อภิญญาต่างๆ อภิญญาคือความสามารถพิเศษต่างๆ อ่านวาระจิตของผู้อื่น ระลึกชาติได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ อันนี้อยู่ในอุปจารสมาธิ แต่อุปจารสมาธินี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญวิปัสสนา เพราะผู้ที่อยู่ในอุปจารสมาธินี้จะไม่มีอุเบกขา ใจยังมีความโลภ ความอยากอยู่ เวลาเห็นนิมิตอะไรก็เกิดความอยากหรือเกิดความกลัวขึ้นมา ถ้าเห็นนิมิตที่น่าดูก็อยากให้อยู่ไปนานๆ ถ้าเห็นนิมิตที่น่ากลัวก็อยากจะให้มันหายไป

ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติต้องระมัดระวังถ้ามีจริตทางด้านอุปจารสมาธิ ซึ่งมีไม่มาก ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่ามีประมาณร้อยละ ๕ เท่านั้นเองที่จะเป็นจิตแบบผาดโผน ก็คือจิตไม่นิ่งไม่สงบ ถ้าเป็นแบบนี้ท่านบอกให้ใช้สติดึงกลับเข้าไปในความสงบ อย่าตามรู้เรื่องราวต่างๆ ที่มาปรากฏให้รับรู้ เพราะจะเสียเวลาแล้วจะไม่ได้กำลังจะไม่ได้อุเบกขาที่จะต้องเอาไปใช้ในการต่อสู้กับกิเลสตัณหา

ผู้ที่ต้องการเจริญทางวิปัสสนานี้ต้องดึงจิตเข้าไปสู่ความสงบ ที่เรียกว่าอัปปนาสมาธิ คือสักแต่ว่ารู้ แล้วก็ไม่มีอะไรให้รับรู้ มีแต่อุเบกขา มีแต่ความว่าง สมาธิแบบนี้แหละเป็นประโยชน์ เพราะว่าจะทำให้จิตใจมีกำลัง เพราะว่าเวลาอยู่ในสมาธิแบบนี้จิตสามารถที่จะกดตัณหาต่างๆ ไม่ให้ออกมาทำงานได้ อัปปนากับขณิกสมาธิก็เป็นสมาธิแบบเดียวกัน ต่างกันตรงที่ขณิกสมาธินี้ สงบเพียงเดี๋ยวเดียว ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในระยะเเรกในเวลาที่นั่งสมาธิ พอจิตรวมลงไปปั๊บก็สงบแล้ว ก็เกิดความตกใจ เพราะว่าไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน แล้วก็จะถอนออกมา แต่ถ้าทำต่อไปก็จะรู้ว่า มันไม่มีอะไรเสียหาย เวลาที่รวมลงก็ใช้สติประคับประคองอย่าปล่อยให้ตกใจ อย่าปล่อยให้ถอนออกมา แล้วพยายามเข้าไปอยู่ในอัปปนาสมาธินี้ให้นานๆ ให้บ่อยๆ เหมือนกับการเอาน้ำเข้าไปเเช่ในตู้เย็น ให้แช่นานๆ น้ำถึงจะเย็น น้ำเย็นจะได้มาดับความร้อนต่างๆ ได้ ถ้าเข้าไปแป๊บเดียวแล้วเอาออกมานี้ยังไม่มีความเย็นพอ ยังไม่มีอุเบกขาพอ จะหยุดตัณหาความอยากไม่ได้ เวลาที่ปัญญาพิจารณาว่าสิ่งต่างๆ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ถ้าไม่มีอุเบกขา กิเลสก็จะออกมาตัณหาก็จะออกมาแล้ว ก็พาจิตให้ไปทำตามสิ่งที่ตัณหาต้องการ พาไปเสพรูปเสียงกลิ่นรส พาไปหาลาภยศ สรรเสริญสุข แต่ถ้าจิตมีอุเบกขา มีอัปปนาสมาธิ จิตก็จะมีกำลังที่จะต่อต้าน เพราะจิตที่เป็นอัปปนานี้เป็นจิตที่มีความสุข เป็นจิตที่ไม่หิวโหยกับอารมณ์ต่างๆ แต่ต้องพยายามทำให้มากๆ ในเบื้องต้นนี้ไม่ต้องไปกังวลว่าจะติดสมาธิ ขอให้มีสมาธิก่อนเถิด ยังไม่มีสมาธิ บางคนก็กลัวจะไปติดสมาธิแล้ว ถ้าไม่มีสมาธิแล้วไปกลัวติดสมาธิ มันก็เป็นทางของตัณหากิเลสนี่เอง ที่ไม่อยากให้ใจมีสมาธิ เพราะถ้ามีสมาธิแล้วมันจะฆ่ากิเลสตัณหา มันจะกดกิเลสตัณหาไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านได้

อันนี้ก็คือเรื่องของสมาธิ เวลาที่นั่งไปแล้วเกิดผลอะไร ก็ขอให้ระมัดระวัง เพราะว่าสมัยนี้ก็มีการสอนกันบอกว่านั่งแล้วให้เห็นนรก ให้เห็นสวรรค์ ให้ไปเที่ยวตามภพภูมิต่างๆ การเห็นเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อการดับความทุกข์ ละตัณหาที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ ต้องเป็นสมาธิที่ว่าง สักแต่ว่ารู้แล้วก็มีความสงบที่เป็นความสุขอย่างยิ่ง อันนี้ก็ต้องพยายามทำให้ได้ ทำให้บ่อย แล้วต่อไปมันจะเป็นไปตลอดทั้งวันเลย พอเราออกมาปั๊บ เปลี่ยนอิริยาบถสักแป๊บก็กลับไปนั่งใหม่ แล้วต่อไปบางทียังไม่ทันเข้าไปนั่งมันก็สงบมาโดยอัตโนมัติ มันมาของมันเอง เพราะจิตมันเคยเข้าไปเวลาใด มันก็จะเหมือนกับมีนาฬิกาปลุกที่จะดึงให้จิตเข้าสู่ความสงบ บางทีไม่ต้องนั่งสมาธิเพียงแต่อยู่เฉยๆ ตามลำพัง พอไม่คิดอะไรเท่านั้นเอง จิตมันก็สงบได้ อันนี้แหละเป็นผลที่จะเกิดขึ้นจากการเจริญสติ เพราะว่าถ้าไม่มีสตินี้ สมาธิจะไม่เกิด เมื่อสมาธิไม่เกิด ภาวนามยปัญญาก็จะไม่เกิด.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๘

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






“เปลี่ยนอยู่กับจิตใจอันเดียว”
..ทำตามใจไม่ได้ เด็กน้อยก็เหมือนกัน นี้มาคิดอยู่เหมือนกัน เมื่อระลึกถึงตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก พ่อแม่เคยเอาอกเอาใจ เลยทำให้สอนยาก พอมาฝึกหัดตัวเอง จึงรู้ว่าสอนยาก ไม่น่าตามใจเท่าไหร่นะเด็กน้อย พอฝืนก็ฝืนไป พอมาเห็น เวลาตัวเองมาสอนใจตัวเอง จึงรู้จักคุณค่าของมัน เคยเป็นนิสัยนะทีนี้ มันเคยชิน เคยเป็นนิสัย มันติดแน่น ทำท่าอยากใหญ่อยู่อย่างนั้นไม่หยุด ต้องแก้มัน อันนี้ พอนั่ง มันเหนื่อย มันล้า อยากหยุด บอกว่าไม่หยุดหรอก ให้ความเจ็บปวดหายก่อนจึงจะหยุด มันยิ่งขึ้นแรงขึ้นก็ตาม ใครเจ็บ แล้วแต่มันจะเจ็บหละ ร่างกายมันไม่เจ็บเป็นหรอก ใจนั้นหละเป็นผู้เจ็บ ดิน น้ำ ไฟ ลม มันจะเจ็บเป็นหรือ เหมือนอย่างดินอยู่ลานวัดเรา ใครเอาอะไรไปสับมันก็ไม่พูด น้ำอย่างนี้ ใครเอามีดฟัน มันก็ไม่พูดนะ ลม ไฟเหล่านั้น ก็ไม่รู้จักอะไร ตัวพาเจ็บ คือตัวใจต่างหากนะ ใจมันอยากเจ็บก็ให้มันเจ็บไป ไม่อยากเจ็บมันก็หยุดเท่านั้นหละ มันเปลี่ยนอยู่กับจิตใจอันเดียวนะ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ






...เพราะตายกันหมด
ห่วงยังไง กังวลยังไง
ก็ตายกันหมด

เราไม่ยอมคิดถึงความตายกัน
เพราะเรากลัวว่าเหมือนจะมาสาปแช่ง
เราคิดถึงความตาย
แล้ว..ความตายจะมาหาเราทันที

มันไม่มาหรอก...
ถ้าความคิดเราวิเศษขนาดนั้น
ก็คิดอย่างอื่นสิ คิดให้มันไม่ตายก็ได้
เราก็คิดให้มันไม่ตายได้
ถ้าความคิดของเราศักดิ์สิทธิ์ ใช่ไหม
มันไม่ศักดิ์สิทธิ์หรอก...

ความคิดของเรา ไม่ได้เป็นตัวที่ทำให้
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
เกิดขึ้นหรอก
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
มันก็มีเหตุของมัน.
.............................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 25/9/2560
พรพะอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






เราต้องรู้จักแพ้ นักปฏิบัตินี้ต้องรู้จักแพ้ แพ้แล้วใจจะสงบ ถ้าชนะแล้วใจจะไม่สงบ ชนะเขาใจก็ไม่สบาย แพ้ดีกว่า อย่าไปเอาแพ้เอาชนะกัน ถ้าเอาแพ้เอาชนะกันใจมันจะไม่สงบ ชนะเขาใจก็ไม่สบาย แพ้เขาเพราะสู้เขาไม่ได้ก็ไม่สบายอีก

ต้องแพ้แบบพระ คือ ถอยยกธงขาว ไม่ต่อสู้กัน ยอม ยอมแพ้ แล้วก็จะหยุดต่อสู้กัน พอหยุดต่อสู้กันใจก็ใจเย็น ก็เรียกว่า ยอม หยุด เย็น พอใครจะมาท้าตีท้าต่อยก็ยอมแพ้ ไม่ตอบโต้เฉยๆ เขาด่าเรา เราก็พุทโธไปภายในใจ ทำตัวเป็นเหมือนเสาเนี่ย ลองด่าเสานี้ดูสักพักดูสิ เดี๋ยวก็เหนื่อยเองแหละ เสาไม่ตอบโต้อะไร ทำตัวเราให้เป็นเสา ทำใจเราให้อยู่กับพุทโธ พอเราหยุดใจเราก็เย็นสบาย แล้วก็ไม่มีเวรมีกรรมกัน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐





คนมีทานหรือคนที่เด่นในการให้ทาน
ย่อมเป็นผู้สง่าผ่าเผยและเด่นในปวงชนโดยไม่น้อยมีรูปร่างลักษณะ
ผู้เช่นนี้มนุษย์และสัตว์ตลอดเทวดาที่มองไม่เห็นก็เคารพรัก
จะตกทิศใดแดนใดย่อมไม่อดยากขาดแคลน
หากมีสิ่งหรือผู้อุปถัมภ์จนได้ ไม่อับจนทนทุกข์
แม้ในแดนมนุษย์เรานี้ก็พอเห็นได้อย่างเต็มตารู้ได้อย่างเต็มใจว่า
ผู้มีทานเป็นเครื่องประดับตัวย่อมเป็นคนไม่ล้าสมัยในสังคม
และบุคคลทุกชั้นไม่รังเกียจ
.
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต





จงทำความดีด้วยใจดี ด้วยความปล่อยวาง
ด้วยความเสียสละ เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดาไปหมด
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรจะตั้งอยู่
ไม่ว่าอะไรจะดับไป ให้เห็นเป็นธรรมดา
.
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ





เราจะปลูกบ้านสร้างเรือนให้ทุกข์อยู่ แต่ทุกข์ไม่ยอมอยู่
ถ้าเป็นกายและใจของสัตว์และของคนแล้ว ทุกข์ชอบเต็มที่
และอยู่ได้ตลอดวันยังค่ำคืนยังรุ่ง
ตลอดกาลที่กายและใจยังควรแก่เขา
พาเกิดก็เกิดด้วย พาแก่ก็แก่ด้วย ตายก็ตายไป
แต่ทุกข์โดดหนีไม่ยอมตายด้วย
เพราะใจไม่ตายทุกข์ต้องเกาะไปด้วย
ฉะนั้น ใจไปที่ไหน ทุกข์จึงติดไปด้วย
ใจไปถือกำเนิดเกิดในภพชาติใด
ทุกข์ย่อมติดตามไปด้วยทุกภพทุกชาติ
จนกว่าใจจะได้รับการชำระสะสางด้วยเครื่องซักฟอก
คือกุศลธรรมจนสะอาดเต็มที่แล้ว ทุกข์หาที่เกาะไม่ได้
นั่นแลทุกข์จะสุดวิสัยไม่มีทางเอื้อมได้
เพราะใจกลายเป็นวิวัฏฏะพ้นวิสัยของสมมุติแล้ว
นี่คือแดนสุดวิสัยของกิเลสทุกประเภทโดยแท้จริง
.
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๐๘
"อัจฉริยมนุษย์"




...แก้ไขทันที...

..เราทำผิดอยู่ แต่ปล่อยให้ผิดไปชั่วระยะหนึ่งก่อน แล้วนึกว่าจะแก้ทีหลัง แต่แล้วเมื่อหลายครั้งหลายคราว กระทำลงไป บางทีอาจจะกลายเป็นนิสัยไป ก็แก้ยากหละทีนี้..

..หลวงปู่ศรี มหาวีโร..






ตัวกิเลสมาร เวลานั่งภาวนาไปสักหน่อย ก็เจ็บนั่นปวดนี่นิดหน่อย
แล้วก็ว่าร่างกายของเราไม่ไหวแล้ว ก็เลยตามความอยาก ตามใจตัวเอง
มันก็ล้มตัวลงนอนหลับสบายเท่านั้นแหละ ความอยากมันก็ชนะเรา
จะไปเกิดภพใดชาติใดก็เหมือนเก่านั่นแหละ
ไม่จริงไม่จังเหมือนเก่านั่นแหละ มันก็ปิดบังเราอยู่นั่นแหละ
ปิดบังเราถึงขนาดว่าบาปไม่มีบุญไม่มีเลยนะ
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี






..อาศัยความเพียรเท่านั้นแหละ เราจะเพียรอยู่นี่ เกิดภพไหนชาติไหนก็จะเพียรอยู่นี่แหละ เราไม่ประมาทแหละ เรารักษาศรัทธาความเชื่อของเรา เพราะอะไรทุกอย่างก็ล้วนแต่ของเก่าทั้งหมด สาวกพระพุทธเจ้าที่ว่าง่าย ก็ท่านฝึกฝนมายากมาก่อนแล้ว เอาชีวิตแลกเอาก็ยังไม่ได้ในอดีตชาติ ปัจจุบันจึงได้ง่ายน่ะ..”

โอวาทธรรมคำสอน:องค์หลวงปู่อว้าน เขมโก วัดป่านาคนิมิตต์ บ้านโคกมน อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร





อยู่สีผ้าก็ให้เป็นสีผ้าศาสดานะ ไม่ใช่เป็นสีผ้าเทวทัตให้ระวัง
ไปอยู่ที่ไหนให้เป็นผู้นำในทางที่ถูกที่ดี เรื่องพระเรานี้สวยงามอยู่ที่ศีลสมบัติ
สมบัติคือศีล สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ วิมุตติสมบัติ นี้คือสมบัติของพระ
นอกนั้นอย่ายุ่ง เข้าใจไหม ศีลธรรมนี้ประดับเข้าแล้วเลิศเลอยิ่งกว่าสมบัติทั้งหลาย
ในสามแดนโลกธาตุสู้ไม่ได้ เราเป็นผู้บำเพ็ญเพื่อสมบัติอันนี้
เพราะฉะนั้นใครจึงอนุโมทนาสาธุการกราบไหว้บูชาในปฏิปทาของเรา
ที่ก้าวเดินเพื่อสมบัติทั้งหลายเหล่านี้ด้วย สุปฏิปันโน อุชุ ญาย สามีจิปฏิปันโน
นี่ละเป็นทางที่จะก้าวเดินเข้าสู่สมบัติ มหาสมบัติคือนิพพาน ให้ตั้งใจปฏิบัติ
.
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
“ลวดลายของโพธิสัตว์”






จงพยายามค้นหาวิธีการทำให้สมาธิสัมพันธ์กับเรื่องชีวิตประจำวัน ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้ฝึกสติรู้อยู่กับสิ่งเหล่านี้ตลอดกาล เมื่อเราคล่องตัว ชำนิชำนาญแล้ว แม้เราจะไม่ได้ตั้งใจ พอขยับปั๊บจิตเราจะตามรู้ของมันอย่างชัดเจน เมื่อสติตามรู้อยู่อย่างนั้น เวลาเราไปนอนหรือบางทีสมาธิมันจะเกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะเราฝึกอยู่ตลอดเวลา สมาธิก็เกิดขึ้นตลอดเวลา มันเกิดขึ้นทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ อันนี้ถ้าทำได้เป็นวิธีการที่ดีวิเศษที่สุด

ความรู้ที่จะเกิดขึ้น ไม่ต้องไปกังวลว่าจะเห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นเมืองนิพพาน ขอให้เห็นหัวใจตัวเองก่อน คนภาวนาไม่เห็นหัวใจ มันถึงสวรรค์นิพพานไม่ได้หรอก ต้องดูใจของตัวเองให้รู้ก่อน ว่าใจเราดำ ใจเราขาว ใจเรา มีกิเลส โลภ โกรธ หลง ใจมีราคะ โทสะ โมหะ ต้องดูกันที่ตรงนี้ก่อน

• หลวงพ่อพุธ ฐานิโย •


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO