นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 19 เม.ย. 2024 8:11 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การบำเพ็ญความดี
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 25 ก.ย. 2017 5:55 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4532
พอเวลาตายแล้ว จะนิมนต์พระไปสักร้อยวัดให้สวดกุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อพยากตาธัมมา หมดวันหมดคืน นั่น อยากจะไปสวรรค์ ด้วยคำสวดของพระไม่ได้หรอก

ให้เราละเท่านั้นแหละ ตายปุ๊บก็ไปทุคติปั๊บ ไอ้คนชั่วมันไม่ไปคอยฟัง สวดกุสลาอยู่นั่นดอก

อันคนใจบุญก็เหมือนกัน ตายปุ๊บก็ไปสู่สุคติทันที ไม่คอยมาฟัง กุศลาธัมมากับพระหรอก มันเป็นยังงั้น

เมื่ออาตมาตาย ไม่ต้องนิมนต์พระสวดให้เมื่อยหรอก มีเครื่องไทยทาน ก็ถวายท่านเลย ไม่ต้องสวดกุศลาธัมมาอะไรหรอก ไม่ต้องให้สวด พระอภิธรรม อารามณาปัจจโย อะไรก็ไม่ต้องว่า

อาตมาสวดใส่ไว้แล้ว กุศลาธัมมาก็สวดใส่ทุกวัน
อกุศลาธัมมา ก็สละ ออกทุกวัน
อพยากตาธัมมาก็ไม่ให้มันติด บุญก็ไม่ให้มันติด บาปก็ไม่ให้ มันเกิด

ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นยังงั้น มันคงไม่เป็นพระโง่เท่าใดดอก

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม





จิตใจแห้งแล้งจากธรรม ไม่มีธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ไม่มีธรรมเป็นเครื่องทำความเย็น ไฟกิเลสตัณหาอาสวะย่อมก่อตัวขึ้นได้เร็ว อะไรผ่านเข้ามาเป็นไหม้และไหม้หมดไม่มียกเว้น ไหม้ในสถานที่ใดสถานที่นั้นย่อมเสียหาย ก็เมื่อกิเลสตัณหาอาสวะไหม้ภายในจิตใจ ทำไมจิตใจจะไม่เสียหาย แม้มีคุณค่าขนาดไหนก็อับเฉาไปได้ จนกระทั่งหาคุณค่าราคาไม่ได้ภายในใจ ดวงใจดวงที่ถูกไฟไหม้อยู่ตลอดเวลานั้นแล จะลดคุณค่าของตัวลงอย่างน่าใจหาย สมบัติใดก็ตามที่ถูกไฟไหม้แล้ว ย่อมเสียหายมากน้อยไปตามส่วนที่ถูกไฟไหม้ นอกจากเก็บไว้ในที่ปลอดภัยที่เขาเรียกว่า “ตู้นิรภัย” เช่นธนาคารต่างๆ เขามีไว้ประจำ
.
เรามี “ตู้นิรภัย” บ้างหรือไม่ภายในจิตใจเวลานี้ ? หรือเปิดรับภัยอยู่ทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เปิดไม่หยุดไม่ถอยไม่มีอะไรเหลือหลอ ไม่คิดเสียดายใจที่มีคุณค่าบ้างหรือ? นี่เป็นอุบายแห่งความคิดสั่งสอนตนเอง!
.
ที่จิตใจหาความผาสุกไม่ได้ก็เพราะถูกไฟกิเลสไหม้อยู่ตลอดเวลา “ไฟคือ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา” ตาม อาทิตตปริยายสูตร ท่านแสดงไว้แล้วไม่มีอะไรที่จะน่าสงสัย เป็นความถูกต้องมาตลอดกาล ถ้าเราไม่นำแง่แห่งธรรมที่ท่านแสดงไว้นี้น้อมเข้ามาสู่ตัว และเทียบเคียงเหตุผลตามหลักธรรมที่ท่านแสดงไว้แล้วนั้น ก็พอมีทางพอจะหลบหลีกปลีกตัวหาที่ชุ่มเย็นได้ตามกาลเวลา ไม่ถูกไฟเหล่านี้ไหม้ไปเสียตลอดกาล ดังที่ท่านทั้งหลายได้อุตส่าห์มาบำเพ็ญในเวลานี้ก็ชื่อว่า “มาเสาะแสวงหาที่เก็บทรัพย์” คือบุญ แสวงหา “ตู้นิรภัย” สร้างตู้นิรภัย เพื่อความปลอดภัยจากไฟทั้งสามกองอันเป็นกองใหญ่ๆทั้งสิ้น ไม่ให้เผาไหม้ไปเสียจนหมดตัวโดยไม่มีอะไรเหลือเลย

..........................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙
"อตมธรรม"






"ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาต่อให้ปฏิบัติเก่งขนาดไหน อีกล้านชาติก็ยังไม่ได้บรรลุ อันนี้คือความวิเศษของพระพุทธศาสนา คือความโชคลาภอันประเสริฐของพวกเรา ดังนั้นขอให้พวกเรารีบตักตวงโอกาสนี้เถิด ไม่ยากเกินความสามารถของพวกเรา"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี







ความโกรธหรือความโมโห ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะเพิ่มอำนาจวาสนา
แต่เป็นสิ่งที่จะทำอำนาจวาสนาให้อับเฉาลงไป
คนผู้ที่ชอบโกรธมากๆ ไปที่ไหนตนเองก็เดือดร้อน คนอื่นก็เดือดร้อน
ความโกรธท่านจึงให้ชื่อว่าเป็นไฟ
ธรรมดาต้นไฟอยู่ที่ไหนความร้อนก็ต้องอยู่ที่นั่น
ก่อนจะโกรธให้คนอื่นเขาได้รับความเดือดร้อน
ตนผู้เป็นต้นไฟก็ต้องเดือดร้อนก่อนเขา
แต่ตัวเองไม่ทราบว่าความโกรธนั้นเป็นต้นไฟ
เกิดขึ้นที่หัวใจและเผาผลาญตนเองก่อนแล้วจึงลุกลามไปหาคนอื่น
แล้วทำให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อนด้วย
พระพุทธเจ้าท่านจึงประณามและพยายามขับไล่ไสส่งออกหนีให้หมด
เมื่อความโกรธนี้หมดไปแล้วตนเองก็อยู่สบาย
จิตที่มีความโกรธแค้นต่อคนอื่นก็กลายเป็นความเมตตา
หรืออ่อนโยนต่อตัวเองและคนอื่นไปได้

...............................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๐๘
"ปลดแอกปลดภาระ"






“นึกถึงเทวทูต ๔ อยู่เรื่อยๆ”

ถาม : อยากไปปฏิบัติธรรมบ้าง แต่ภาระทางโลกเยอะมากค่ะ หลายห่วงค่ะ ไม่รู้จะทำอย่างไรกราบขอคำปรึกษาด้วยค่ะ

พระอาจารย์ : ก็เอามีดมาตัดสิ หามีดมาตัด มีดที่จะตัดก็คือปัญญา คืออะไร ก็คือเทวทูต ๔ เนี่ย พยายามนึกถึงเทวทูต ๔ อยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวต้องแก่แล้วนะ เดี๋ยวต้องเจ็บแล้วนะ เดี๋ยวต้องตายแล้วนะ พอคิดอย่างนี้บ่อยๆ มันก็ไปได้ เพราะมันไม่รู้จะแก่เมื่อไหร่จะเจ็บเมื่อไหร่จะตายเมื่อไหร่ คนเราอาจจะเจ็บได้ตายได้ตั้งแต่อายุยังน้อยนะ คนสมัยนี้มีโรคอะไรปุ๊บปั๊บโผล่ขึ้นมา เดี๋ยวปวดท้องหน่อยไปหาหมอหมอบอกเป็นมะเร็งแล้ว เผลอไปไม่กี่วันตายไปแล้ว ให้คิดอย่างนี้แล้วมันก็จะตัดสิ่งต่างๆ ที่เรามีความผูกพันได้.

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







"...ความดี คือการบำเพ็ญทาน
ความดี คือการรักษาศีล
ความดี คือการบำเพ็ญจิตตภาวนา

ให้รีบทำในขณะนี้ทีเดียว

พระพุทธเจ้าทรงอุปมาไว้
เหมือนกับไฟไหม้ผมบนศีรษะ ให้รีบดับ
ไม่ใช่ไหม้บ้านไหม้ช่องนะ
ไหม้ผมบนศีรษะนี่ ต้องดับทันที

การทำความดีก็ต้องรีบทำทันทีเหมือนกัน
ทันทีทุกขณะ..."

หลวงปู่แบน ธนากโร








...พอสงบแล้ว
ทีนี้ไม่อยากจะอยู่กับใครแล้ว

รู้แล้วว่าอยู่กับใครมันวุ่น
มันทำให้ใจไม่สงบ มันเรื่องมาก
ไหนจะเอาอย่างนั้นไหนจะเอาอย่างนี้

ได้คืบก็จะเอาศอก ได้ศอกก็จะเอาวา
ไม่ได้ก็โกรธโมโหเสียใจ
นี่แหละคือ "ความทุกข์"
ใจเรามันวิ่งไปหาความทุกข์เอง

ของทุกอย่างในโลกนี้
สัพเพ สังขารา ทุกขา

ของทั้งหลายในโลกนี้เป็นทุกข์
เพราะเป็น สัพเพ สังขารา อนิจจา

เพราะของทั้งหลายในโลกนี้
ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีเกิดมีดับ
มีมามีไป มีเจริญมีเสื่อม.
....................................

คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 16/10/2557
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






การบวชมาในศาสนาเพื่อมาศึกษาให้รู้ทั้งโทษทั้งคุณ ให้รู้ทั้งวิธีถอดถอนแก้ไข ให้รู้ทั้งวิธีบำเพ็ญ ส่วนใดที่ควรแก่การถอดถอนพยายามผลักไสมันออกไป อย่าเข้าใกล้ชิดสนิท แม้มันอยากจะคิดอยากจะทำอยากจะพูด ก็สะกดหรือบังคับมันไว้อย่าให้ออกมา ครั้งนี้เราบังคับได้อย่างนี้ ครั้งต่อไปก็ค่อยง่ายลงไป ถ้าเราเปิดทางให้เสียในคราวนี้ คราวหน้าไม่ได้เปิดแล้วทะลุไปเลยทีเดียว ประตูมีไม่มีไม่สำคัญเพราะเคยออกแล้ว เลยไม่มีรั้ว กลายเป็นคนไม่มีรั้ว ถ้าไม่มีรั้วแล้วก็หมดทาง ไปอยู่ไหนก็ร้อนไปหมด

ฉะนั้นเราเป็นนักบวชให้พยายามสั่งสมความดี จะยากลำบากก็คือลูกของพระพุทธเจ้า ก็เราเป็นพระแล้วนี่ พระของพระพุทธเจ้าจะเป็นพระประเภทใด ถ้าไม่ใช่เป็นพระประเภทที่หนักก็เอาเบาก็ทนไม่ถอยหลัง นี่คือพระของพระพุทธเจ้าต้องเป็นอย่างนั้น แดดยอมรับว่าร้อน เพราะเราเป็นร่างกายเหมือนกับโลกทั่ว ๆ ไป หนาวก็สู้ อะไรลำบากชื่อว่าเป็นความชอบธรรมแล้วเป็นนักสู้ ไม่ใช่นักถอยหลัง จนมีความเคยชินต่อนิสัย

ใจของเราถ้าเด็ดให้เด็ดไปในทางที่ดี อย่าเด็ดไปในทางที่สังหารทำลายตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน ไปสังหารผู้อื่นไม่เป็นทางดีเลย ถ้าเด็ดให้เด็ดไปในทางที่ดีให้โลกได้อาศัย วาจาของเราจะพูดเด็ดออกมาก็ให้เด็ดในทางเป็นอรรถเป็นธรรม อย่าให้เด็ดด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาบังคับบัญชาออกมา โลกจะเดือดร้อน หมู่เพื่อนจะเดือดร้อน กลายเป็นเรื่องเหม็นไปทั่วทั้งดินแดน ไปที่ไหนเข้ากับหมู่ไม่ติด ก็เหมือนกับอาจมแหละ ใครเห็นก็ต้องหลีก ไม่กลัวมันกัดเหมือนเสือก็ตาม แต่สิ่งที่กลัวฤทธิ์ของมันมันมีอย่างที่เราทราบกัน จึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ เทศน์ก็ลำบากเหมือนกันรู้สึกว่าเหนื่อย ๆ

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐
ศาสนธรรมไม่ได้บกพร่อง






“กายวิเวก จิตวิเวก”

เพราะการทำสมาธินี้ จิตจะสงบได้ง่ายถ้าอยู่คนเดียว กายวิเวกแล้วจิตก็จะวิเวก คำว่าวิเวกก็สงบสงัด ถ้ากายสงบสงัด อยู่ในสถานที่สงบสงัด จิตก็จะสงบสงัด ถ้าอดีตชาติเคยมีความสงบในจิตแล้ว พอกายสงบ จิตก็จะสงบทันทีเลย เช่นพระพุทธเจ้านี่ตอนที่เป็นเด็กนะ มีวันหนึ่งท่านอยู่คนเดียว อยู่ใต้ต้นไม้ พวกพี่เลี้ยงต่างๆ เขาไปยุ่งกับงานอื่น ไม่มีเวลามาคอยรับใช้มาคอยปรนนิบัติมาคอยอยู่เป็นเพื่อน ก็เลยปล่อยให้ท่านอยู่คนเดียว พอท่านอยู่คนเดียวใจของท่านเคยมีความสงบอยู่แล้ว ก็เข้าสู่ความสงบโดยอัตโนมัติ เพราะไม่มีอะไรคอยดึงไว้ ที่ใจเราไม่เข้าไปข้างใน เพราะมีเรื่องต่างๆ คอยดึงเราไว้ เรื่องแฟน เรื่องสามี เรื่องครอบครัว เรื่องลูก เรื่องเงินทอง เรื่องอะไรร้อยแปด ใจเราก็เลยเข้าสู่ความสงบไม่ได้ ถ้าเราไม่เคยมีความสงบมาก่อน เราก็ต้องใช้สติดึงใจเข้าไป ใช้สติดึง ดึงใจให้ออกจากเรื่องราวต่างๆ ออกจากเรื่องสามี เรื่องภรรยา เรื่องลูก เรื่องสมบัติ เรื่องอะไรต่างๆ ใช้พุทโธพุทโธดึงใจออกมาจากเรื่องราวต่างๆ เพราะเวลาเราพุทโธ เราจะคิดถึงคนนั้นคนนี้ไม่ได้นั่นเอง พอเราไม่คิดถึงเขาเราก็ลืมเขาไปชั่วคราว แล้วเราก็จะเข้าสู่ความสงบได้

ฉะนั้นเราต้องอยู่ห่างไกลจากคน จากเรื่องราวต่างๆ เพราะอยู่ที่บ้านเดี๋ยวก็เห็นคนนั้นเห็นคนนี้ พอเห็นปั๊บมันก็อดที่จะคิดถึงเขาไม่ได้ นอกจากคนแล้วยังมีอย่างอื่นอีก ขนมนมเนย ทีวี อะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด เดี๋ยวเห็นปั๊บก็อยากจะไปยุ่งกับเขาแล้ว เห็นทีวีก็อยากจะเปิดดู เห็นมือถือก็อยากจะเปิดดู เดี๋ยวก็กดหาคนนั้นหาคนนี้ นี่มันเลยเข้าข้างในไม่ได้ จึงต้องไปอยู่ที่ไหนที่ไม่มีของเหล่านี้ อยู่คนเดียว ปลีกวิเวก กายวิเวก จิตก็วิเวก บางคนมาอยู่ที่นี่ก็ยังเอามือถือมาด้วย เดี๋ยวเปิดดูอยู่เรื่อย ไม่รู้มาทำไม อย่ามาดีกว่า มันก็เหมือนกัน มือถือมันก็ไปเชื่อมให้เรากลับไปอยู่ที่บ้านอีกอยู่ดี เดี๋ยวก็โทรไปหาคนนั้นเดี๋ยวก็โทรไปหาคนนี้ เป็นห่วงเขา เขาสบายดีหรือเปล่า แม่อยู่ที่นี่ลูกทำอะไรอยู่ อย่างนี้มันยังไม่กายวิเวก กายวิเวกแต่ใจไม่วิเวก ใจยังคิดถึงเขาอยู่

อย่างสมัยก่อนนี่ ไปอยู่วัดหลวงตานี้ท่านห้ามไม่ให้มีเรื่องราวต่างๆ วิทยุ โทรศัพท์ ทีวี โทรทัศน์ ท่านเรียกว่าเทวทัต พวกเทวทัต พวกทำลายศาสนา พวกทำลายความสงบ ท่านเรียกเทวทัต ไฟฟ้งไฟฟ้าท่านไม่ให้เอาเข้าเลย เพราะเข้าเดี๋ยวมันแอบเอาวิทยุเข้ามาเสียบฟังได้ เอาเทปเข้ามาเปิดได้ เอาอะไรเข้ามาเล่นได้ ท่านเลยก็ต้องห้าม ถ้าเราอยากจะภาวนาให้ได้ผล เราต้องหาที่ห่างไกลจากแสงสีเสียง ห่างไกลจากรูปเสียงกลิ่นรส ห่างไกลจากคนนั้นคนนี้ แล้วเวลามาอยู่ที่เดียวกัน ที่ปฏิบัติ ก็อย่ามารวมกันอย่ามาคุยกัน อย่ามาจับกลุ่มคุยกัน ต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างปฏิบัติ ใจถึงจะสงบได้ ถ้าสงบแล้วใจจะมีความสุขมาก แล้วใจจะเลิกพึ่งคนนั้นคนนี้ พึ่งสิ่งนั้นพึ่งสิ่งนี้ได้ ตอนนี้เราต้องพึ่งคนนั้นคนนี้เพื่อให้ความสุขกับเรา พึ่งสิ่งนั้นสิ่งนี้มาให้ความสุขกับเรา แต่ถ้าเราทำใจให้สงบ ทำใจให้มีความสุขได้ เราไม่ต้องพึ่งใครแล้ว.

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







"คนเราตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ทองก็เอาไปไม่ได้ เพชรนิลจินดาก็เอาไปไม่ได้
สมบัติพัสถานก็เอาไปไม่ได้ แม้ร่างกายก็เอาไปไม่ได้ ที่ติดตัวไปได้มีแต่ 'ใจ'
อย่าลืม 'พุทโธ'
นั่งก็พุทโธ นอนก็พุทโธไปจนหลับ
จิตที่มีพุทโธเป็นจิตที่มีคุณ
สิ่งดีๆก็ไหลมาเทมา
เราภาวนามาหกสิบกว่าปีแล้ว เราพูดได้"

หลวงปู่ทุย ฉันทกโร





ใครอยากจะเป็นนายร้อยก็ปล่อยเขาเป็นไป ใครจะเป็นนายพลนายพันก็ปล่อยเขาเป็นไป ใครจะร่ำจะรวยก็ปล่อยไป เราสบายแล้ว เราไม่อยากนี้เราสบายแล้ว เราอยู่เฉยๆ เราสบายจะตายไป นี่แหละเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ว่าความสุขความทุกข์..อยู่ที่.."ความอยากหรือไม่อยาก" นี่เอง ตราบใดยังมีความอยากสามประการนี้อยู่คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาอยู่ตราบนั้นก็ยังจะต้องมี "ความทุกข์" ตราบนั้นก็ยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิด เพราะเวลาร่างกายนี้ตายไป "ความอยากไม่ได้ตาย" ไปกับร่างกาย

ธรรมะบนเขา 27/11/2557
หลวงพ่อสุชาติ อภิชาโต







"การฟังให้ถึงธรรมนั้น อย่าฟังแต่เสียง เสียงไม่ใช่ธรรม เพราะเสียงอยู่ที่หู เพียงแต่ได้ยินชื่อของธรรมเท่านั้น ธรรมไม่ได้อยู่ที่เสียง ธรรมอยู่ที่ใจ

เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เมื่อท่านออกชื่อสิ่งเหล่าใด สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่เสียง มันอยู่ที่ใจ เราควรจะกำหนดใจของเรา แต่เสียงเข้ามาเอง ทำใจของเราให้เป็นธรรม ให้เป็นภาชนะสะอาด คอยรองรับธรรมที่สะอาด ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่สะอาด และบริสุทธิ์ เราพยายามชำระจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อจะได้รับรองธรรมที่บริสุทธิ์ เราก็จะได้เข้าใจถูกต้อง และจะได้รับรสพระสัทธรรม ตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เราฟังธรรมนั้น เราควรกำหนดจิตมารวมอยู่ที่ใจ เมื่อรู้จักสิ่งใดแล้ว ธรรมเหล่านั้นมันอยู่ที่ใจทั้งนั้น แต่เรายังไม่รู้จักชื่อ ก็เพียงฟังธรรมที่ท่านแสดงบอกชื่อ ส่วนนั้นเป็นกุศล ส่วนนั้นเป็นอกุศล ส่วนนั้นเราควรละ ส่วนนั้นเราควรทำ ล้วนแต่เกิดขึ้นในใจมีอยู่ในใจของเราทั้งนั้น เพราะฉะนั้นในการฟังธรรม เราควรรักษาใจ อย่าให้ออกไปหาเสียงที่ท่านแสดง เพียงแต่เราได้ยินชื่อแล้วก็ดูธรรมอยู่ที่ใจของเรา เราก็จะได้เข้าใจธรรมะเหล่านั้นอย่างถูกต้อง"

....หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ




“แก้ความกลัว”
..คนเราไม่กล้าไปอยู่คนเดียวนะ บางทีอยู่ในกุฏิพระบางองค์นอนอยู่คนเดียว วิ่งไปนอนกับเพื่อนก็มีนะเพราะกลัวผีหลอก เป็นคนขี้ขลาดไปเท่านั้นนะ มาสังเกตดูจิตใจตัวเองกลัว ก็ปล่อยเลยไปตามอำนาจของเขา ตามความกลัวไม่แก้ความกลัว ไม่แก้ความขี้ขลาด ความขี้ขลาดอันนี้ โอ้ย ! มีมากเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าหากเราแก้ได้ ความกล้าหาญเกิดขึ้นมาแทนที่เลยนะ กล้าไม่กลัวเลย แม้เสือมายังจะลูบจมูกเสือได้ ไม่กลัวว่ามันจะกัดนะ มันกล้าขนาดนั้นนะ อันนี้มีแต่ปล่อยเลยไปตามอารมณ์ตัวเอง แล้วเท่านั้นหละ ฝึกหัดตัวเองไม่ได้..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ




...อำนาจศีลธรรม...

..อำนาจศีลธรรม ซึ่งเป็นเครื่องประดับกาย วาจา และจิตใจนี้ เป็นของพิเศษ สามารถที่จะยกระดับมนุษย์ ยกระดับตั้งแต่บรรดาสัตว์ชั้นต่ำ ๆ ขึ้นมาเป็นมนุษย์ ไปเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ตลอดจนถึง เป็นผู้ที่มีความสุขอันพิเศษได้แก่ โลกุตตรโลก คือพระนิพพาน..

..หลวงปู่ศรี มหาวีโร..




“ฝืนจิตใจตัวเอง”
..ถ้าหากปฏิบัติศีลธรรมกันจริง ๆ ท่านแก้ไขหมดทุกอย่างนะ แก้ทั้งการนั่ง การนอน การขบการฉัน การไปการมา การขับการถ่าย แก้ไขไปหมด ไม่ทำให้มันได้ใจหรอก ฝืนจิตใจอยู่ตลอด นี้เรียกว่าเป็นการฝึกหัดตัวเอง แล้วถ้าผู้ใดไม่ฝึกหัดตัวเองก็ไม่รู้เรื่องหละ ฝึกหัดจิตใจนี้หละคือการฝึกหัดตัวเอง ปกติถ้าอยากนอนก็นอนเลย ถ้าอยากนอน อย่ารีบนอน ฝืนให้มันหายอยากนอนก่อน จึงนอน หมายความว่าเอาความตรงกันข้ามสู้กัน ถ้าอยากฉันอยากกินอันนี้มาก ๆ เอ้อ..อันนั้นไม่กิน ไปกินสิ่งที่ไม่อยาก ฝืนอยู่อย่างนี้ เอาไปเอามาก็สอนง่าย อันไหนชอบก็ทำตามใจหมด ชอบอันไหนก็เอาใส่ ๆ โอ๊ย...แล้วเท่านั้นหละ สอนยากเลยหละ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ





ถาม : เวลามีเสียงฟ้าผ่า
แต่ใจเรานิ่ง ไม่หวิวไม่ตกใจ
นั่นคือเราอยู่ในอารมณ์ฌานไหมเจ้าคะ

.
พระอาจารย์ : ไม่หรอก ก็มีสติ
ใจเราไม่ได้มี..จะเรียกว่าอารมณ์ฌาน
มันต้องอยู่กับหลายๆเรื่อง
ไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่องเดียว

.
"เสียงฟ้าผ่าอาจจะนิ่งเฉย..แต่
เสียงกระซิบนินทานิดหน่อย
ก็สดุ้งขึ้นมาแล้ว"
ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ใช่อารมณ์ฌาน

ถ้าอารมณ์ฌาน..
มันต้อง "เฉยกับทุกอย่าง"
.........................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 23/9/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






"พวกเรา มักคิดถึงความสุข ในอนาคต
ว่าเราทำนั่น ทำนี่ ต่อไปเราจะมีความสุข
เราจะไปนั่น ไปนี่ แล้วเราจะมีความสุข
ทำไม ไม่หัดหาความสุข ในปัจจุบัน
โดยดูไปที่ใจเราเอง อยู่กับตนเอง
อยู่กับลมหายใจ ทำกายให้นิ่ง ทำใจให้นิ่ง
จะพบความสุขในตัวเอง"

-:-พระอาจารย์ญาณธัมโม-:-


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO