นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 18 เม.ย. 2024 4:27 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เร่งรัดบำเพ็ญกุศล
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 23 ก.ย. 2017 5:48 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4531
"ให้เร่งรัดบำเพ็ญกุศล เต็มสติกำลัง
ทั้งทาน ศีล ภาวนา แม้ร่างกายจะแก่
จะแตก จะตาย ก็ไม่วิตกกังวล
เพราะสมบัติดีๆ มีไว้ เตรียมไว้แล้ว"

-:-หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร-:-





"ความดีนั้น เราต้องทำอยู่เสมอ
ให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต
ให้เป็นมรรค คือ ทางดำเนินไปของจิต
มันจึงจะเห็นผลของความดี
ไม่ใช่เวลาใกล้จะตาย จึงนิมนต์พระไปให้ศีล
ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้วให้ไปรับศีล"

-:-หลวงปู่แหวน สุจิณโณ-:-





ถ้าทำได้อย่างนี้นะใกล้ถึงนี้นิพพานเต็มที
.
" ความชั่วทั้งหลายที่สาดซัดเข้ามาหาเรานั้น นั่น!..คนเหล่านั้นเค้ามีเมตตาที่จะมา"ขัด" เราไม่เคยโกรธมาตั้งเป็นระยะเวลาหลายเดือนหลายปี แต่คนๆนี้สามารถทำให้เราขุ่นมัวขึ้นได้ ควรหรือที่เราจะไปสวนเขาหรือตอบเขาด้วยคำพูดที่หยาบคายต่างๆ เราควรจะขอบใจเขาเสียซะด้วยซ้ำไป โอ้...เรามัวประมาทอยู่นานนะเนี่ย! นึกว่ามันหมดแล้ว แต่ที่ไหนได้ น้องคนนี้ พี่คนนี้ มาทำให้ตะกอนในหัวใจของเราข้นขึ้นมาเนี่ย ขอขอบใจมากเลย ด้วยความจริงใจ เราจะไม่โกรธเธอเลย
.
.
ถ้าเจ้าของที่เค้าด่าเรา ด่ามานานๆอิจฉาริษยา ถ้าหากเค้ารู้ว่าเราไม่โกรธเค้าเลย ซักวันนึงเขารู้ได้ เค้าก็จะเป็นมิตรกับเราอย่างแท้จริงเลยตอนนี้ เราก็จะได้เอา “ความดีชนะความชั่ว” ไม่ใช่เอาชั่วไปชนะชั่วกัน มันไม่ชนะหรอก
.
.
มึงสาดมากูสาดไป สาดไปสาดมาก็เปื้อนหมดทั้งสอง มันไม่ใช่ว่าสาดไปแล้วไม่ใช่ว่าจะสะอาด เขาเอาน้ำเสียสาดมา เราเอา"น้ำดี"สาดไป เสียสาดมา ดีสาดไป ไม่ช้าหรอก...เขาก็สะอาดขึ้นด้วย ไอน้ำเปอะน้ำเสียก็ไม่เปอะเราด้วย นอกจากนั้นแล้ว เราจะได้มิตรที่แท้อีกด้วย เราจะได้ใช้คำภาษิตของพระพุทธเจ้าในบทที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ "อสาธุง สาธุนา ชิเน" พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี นี้ถ้าทำได้อย่างนี้นะ โอ้...อนุโมทนาสาธุ ใกล้ถึงนี้นิพพานเต็มทีเลย... "
.
.
ธรรมะ #หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร วัดสันติวนาราม จ.จันทบุรี เมตตาแสดงธรรม ณ วัดสังฆทาน







มีคนมาวัดคนหนึ่ง เขามีแขนมีขา แขนก็มีสองแขน แต่ว่าแขนหนึ่งนั้นมีอยู่ครึ่งเดียว แขนอีกข้างยาว ขาก็มีสองขาแต่ว่าขามีท่อนเดียวทั้งสองขา เขายังขึ้นไปข้างบนโน้นนะ ถือไม้เท้าอันหนึ่ง ก็เอาแขนที่ยาวนั้นล่ะจับไม้เท้า แล้วก็เอามาทาบไว้กับตัว เอามาหนีบ แล้วเอาแขนที่มีข้างเดียวนั้นเอามาช่วย แล้วขยับไปทีละน้อย ๆ ขาของเขาสองขานั้นไปพร้อมกัน ไม่ใช่ก้าว ขยับไป ขยับไป ขยับไป

นี่ เห็นเขามาแล้วก็เกิดสลดสังเวช แล้วก็เกิดสงสารเขา คิดแล้วก็สงสาร ไม่มีใครไปตัดของเขา ไม่มีใครไปตัด อันนั้นมันสมบัติของเขามาแต่เกิด เขาสร้างสมของเขามาอย่างนั้น เขาสั่งสมมาอย่างไร สิ่งที่เขาสร้างสมมานั้นก็เป็นของเขา เรียกว่า "กัมมะพันธุ" มีกรรมเป็นพันธุ์ เราจะไปเกิดที่ไหน คำว่ากรรมดำกรรมขาวนั่นล่ะ เราจะต้องเอาเป็นสมบัติของเราไป

หลวงปู่แบน ธนากโร





"อย่าเอาเงินไปแลกบุญ ให้ทำบุญด้วยข้อวัตรของพระพุทธเจ้า เช่น การภาวนาเดิน พูด ให้มีสติ

ทำบุญต้องมีเหตุผลว่าทำเพื่ออะไร อย่าทำบุญเพราะตาม ๆ กันไป.."

ธรรมะคำสอน
หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร





อย่าลืมยิ้มให้คนอยู่หน้ากระจกเด้อ

"จริงๆแล้วเรื่องราวต่างๆในชีวิตเฮา
บ่มีอิหยังใหม่ในสังขารวัฏเลย

นอนหลับไปคืนนี้ ถ้าวันใหม่บ่ตื่นขึ้นมาทุกอย่างกะคือจบ เพราะฉะนั้น อย่าไปยึดมั่นถือมั่นอิหยังให้มันหลาย สร้างบุญบารมีทำความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้น

อยู่อย่างมีสติ มีปัญญา บ่หาเรื่องร้ายๆใส่โตทำให้หมองใจดีกว่า
จะได้หลับเป็นสุข ตื่นขึ้นมากะเป็นสุขกันทุกวัน

ตื่นกะตื่นมาพร้อมกับรอยยิ้ม ยิ้มจากใจที่สดใส

ให้กับคนรอบๆ กาย เพราะว่าโลกนี้ขาดรอยยิ้มบ่ได้ โดยเฉพาะคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกนั้น ยิ้มให้เค้าหลาย ๆ และบอกเค้าว่า ''พรุ่งนี้ฉันจะดีขึ้น...จะดีขึ้น...จะดีขึ้น"

โอวาทธรรม หลวงตาสรวง สิริปุญโญ
วัดศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร





เขานินทาเรา เราก็เสียใจ เขาสรรเสริญเรา เราก็ดีใจ
เมื่อโยมเป็นอยู่เช่นนี้ มันก็วิ่งกับสุข วิ่งกับทุกข์
วิ่งกับความดีใจ วิ่งกับความเสียใจอยู่ตลอดกาล
อันนี้มันก็เป็นโลก โยมก็วิ่งอยู่กับโลกตลอดเวลา
เรียกว่า วัฏสงสาร
หลวงปู่ชา สุภัทโท





คนเรานี้มันมีความอยาก
ความทะเยอทะยานอยากได้ไม่รู้จักพอ
แต่พอทำความเพียร ก็ทำแค่ ๑-๒ ชั่วโมง
แล้วก็เลิกก็หยุด ทำเหยาะๆ แหยะๆ
.
นั้นล่ะ...ให้พากันพิจารณา ใจเป็นใหญ่นะ
ใจทำให้โลภ ให้โกรธ ให้หลง ใจนั้นล่ะตัวสำคัญ
สงบก็อยู่กับใจ ทุกข์ก็อยู่กับใจ สุขก็อยู่กับใจ!
.
หลวงปู่เพียร วิริโย







"อย่าเอาเงินไปแลกบุญ ให้ทำบุญด้วยข้อวัตรของพระพุทธเจ้า เช่น การภาวนาเดิน พูด ให้มีสติ

ทำบุญต้องมีเหตุผลว่าทำเพื่ออะไร อย่าทำบุญเพราะตาม ๆ กันไป.."

ธรรมะคำสอน

หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร







::: มะเร็งใจ :::

"... บุคคลเข้ามาในพระพุทธศาสนาทำให้ศาสนาไม่เจริญ เป็นเพลี้ยเป็นมอด เป้นผู้ทำลายอย่างเดียว เป็นสนิม นับวันๆ จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าในหมู่พระ หมู่เณร ผู่พ่อออก แม่ออก นักปฏิบัติทั่วไปทั้งหลาย มักจะเป็นกันอย่างนั้น คือ ไม่มีความอดทนต่ออารมณ์ที่เป็นอารมร์ขัดเคือง อารมณ์ไม่พอใจ ไม่มีความอดทน พอเกิดอะไรที่รู้สึกไม่พอใจก็หุนหันพลันแล่น แสดงอากัปกิริยาอาการแห่งความไม่พอใจออกไปด้วยความไม่งดงาม นี่แหละคือการทำให้ศาสนาเสื่อมหรือด่างพร้อย ...

ความไม่อดทน ความไม่มีจิตที่ประกอบไปด้วยอาศัยความตั้งใจแต่เดิมที่เราตั้งใจที่จะมาเอาบุญ เอาธรรม เอาศีล เอามรรคผลนิพพานกัน ก็เลยกลายเป็นความว่างเปล่าจากสิ่งที่ปรารถนา ก็เพราะอาศัยเหตุแห่งเรามีจิตแบบนั้น นี่จึงต้องให้ละให้วางจากอารมณ์ที่มีจิตไปยึดเอา อารมณ์เหล่านั้นเป็นตัวเป็นตน แล้วนำความทุกข์นำฟืนนำไฟเข้ามาเผาจิตใจของตนเองโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นอนหลับก็เป็นทุกข์ ตื่นก็เป็นทุกข์ อยู่ที่ไหนก็เป็นทุกข์ เพราะอารมณ์นั้นเป็นเหมือนมะเร็งกัดกินจิตใจเรา เป็นเหมือนสนิมกัดกินเหล็ก

เพราะปกตินิสัยคนเราชอบจำแต่เรื่องไม่ดี เรื่องดีๆ ไม่จำ เหมือนคนเราคบกันหลายปี แค่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแค่เรื่องเดียว เรื่องนั้นก็ทำให้หายนะไปได้ในความสนิทสนมกัน เรื่องที่ดีๆ ทำกันมาแต่ก่อนระลึกไม่ได้ ความปกติแล้ว จิตชอบจำแต่เรื่องที่ไม่ดี ฝังใจแต่เรื่องที่ไม่ดี เมื่อตายก็เลยมีคติที่ไม่ดี ไปอบายภูมิกัน ..."

ตอนหนึ่งของพระธรรมคำสอน เรื่อง เจริญเมตตาภาวนา
โดยพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงพ่อเพชร วชิรมโน






" อย่าไปอยากฮู้เรี่องของผู้อื่น มันเป็นทุกข์ ให่สนใจเรี่องเจ้าของ คือ เรี่องกายกับใจ เบิ่งมันให่แจ้ง การภาวนากะอย่าไปมั่นไปหมาย การไปคาดไปหมาย มันสิเฮ็ดให่เฮาไปติดในภพในซาติ การภาวนากะบ่สำเร็จ "

หลวงปู่เพียร วิริโย
วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี







::: นิพพานนกแก้วนกขุนทอง :::

“... จะเอามรรคจะเอาผล ปากพูดนิพพานๆๆๆ นิพพานอะไรมันจะมาล่ะ พูดตามภาษาหยาบๆ โลกๆ นิพพานพ่อมึงสิ! มาอย่างนั้นนะ ปากมึงพูดมึงจะได้นิพพานเหรอ มันไม่มีทางอ่ะ นกแก้วนกขุนทองฝึกมันร้อง นิพพานๆๆ มันจะได้นิพพานมั้ย? มันก็ไม่ได้นิพพาน แล้วเรามานั่งพูดนิพพานๆๆ อยากพ้นทุกข์ กูไม่อยากเกิดแล้ว ตายแล้วกูไม่อยากเกิด พูดน่ะ ดูเหตุก่อนเหตุมันต้องเกิดก่อน พูดว่าไม่อยากเกิดพูดทำไม โกหกเขา ของจริงมันมีอยู่อ่ะ มันประกาศอยู่ จ้อๆๆ อยู่ ตัวเองยังทำความชั่ว ยังทำความหยาบ ศีล ทาน ภาวนาก็ไม่ค่อยทำ แต่บอกกูไม่อยากเกิดแล้ว กูเบื่อแล้ว ตายแล้วกูไม่ขอเกิดอีก เราเจอมากเลยไงคนพูดแบบนี้ มันถึงได้อึดอัด บางทีนะพูดขึ้นมาเลย เหตุทำยังชั่วอยู่เลย แล้วพูดมาได้ไงว่าไม่อยากเกิด ก็กูเบื่อทุกข์แล้วกูไม่อยากเกิดแล้วเกิดมาก็เป็นทุกข์

ตายๆ ไปก็ดีจะได้หมดเคราะห์หมดกรรมซักที คิดว่าตายแล้วหมดเคราะห์หมดกรรม พูดได้ไง? หลังม่านแห่งความตายคือความเป็นจริงนะ นรกเป็นของมีจริงนะ มันไม่ใช่เป็นของล้อน้องนะ ไม่ใช่เป็นของลวงโลก ไม่ใช่นิทาน มันของจริง นรกเนี่ยเจอแล้วจะสยอง แค่ลงไปเที่ยวยังผวาเลย ยังนึกว่าตัวเองลงไปจริงๆ มันน่าเกลียดน่ากลัว ทุกอย่างทั้งหมดอ่ะ อะไรที่รวมทั้งหมดในโลกมนุษย์ที่ว่ามันหยาบช้าที่สุดเลวที่สุดชั่วที่สุดไม่เท่า เมล็ดไฟในนรก มันทรมานที่สุดจะบอกให้ อย่าได้คิดลงไปเลย แต่คงไม่มีใครคิดลงไปหรอก แต่ไม่รู้ว่าสร้างบ้านสร้างเรือนในนรกกันเต็มไปหมดแล้ว คือความชั่วที่ทำกันอยู่ ฆ่าสัตว์ก็ฆ่ากัน ลักทรัพย์ก็ลักกัน โกหกก็พูดเก่ง ผิดลูกผิดเมียก็เป็นที่หนึ่ง กินเหล้าเมายาก็เป็นที่หนึ่ง แล้วนี่เหรอมึงจะไม่ไปนรก นี่แหละ พาสปอร์ต วีซ่า พร้อมแล้วเสร็จแล้ว เหลืออย่างเดียวเท่านั้น ตีตั๋วลง รอรถมารับไปขึ้นเครื่อง ...

อยากจะให้เห็นพวกวิญญาณล่องลอยจังเลยนะแล้วมาขอบุญ น่าสงสาร ... ถามมาจากไหน อยู่กรุงเทพ แถวพาหุรัด เป็นไร บ้านช่องเป็นไง ผมเป็นเศรษฐีสองพันล้าน แต่ตายมาลูกเต้าไม่ทำบุญให้เลย ผมยังไม่ถึงอายุขัยที่จะไปเสวยกรรมใหญ่ ยังอยู่ในภพน้อยอยู่ ขอบุญผมด้วยครับ แผ่เมตตาให้ผมด้วยครับ ทีเวลามีชีวิตพระไปบิณฑบาตหน้าบ้านมันมองไม่เห็นพระอ่ะ แต่ถ้าหัวพระโล้นเมื่อไหร่มันรู้เลยวันโกน พรุ่งนี้วันพระ มันเอาหัวพระเป็นปฏิทินเข้าใจไหม ให้พากันพิจารณาดู ฉะนั้นอะไรที่เป็นบาปเป็นกรรมลดๆ ละๆ กันบ้างก็ดีนะ พูดด้วยความเมตตานะ ด้วยความเป็นห่วง อย่าได้ไปกระทำเลยไอ้สิ่งที่ชั่วๆ ไอ้สิ่งที่หยาบๆ ...”

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน






ของดีไม่มีมาก หาได้ยากในโลก
ช้างเผือกในป่า สมณะนอกวัฏ
ผู้สมบูรณ์ คุณสมบัติ คฤหัสถ์พูดจริง

สี่อย่างนี้ ยังมี อยู่ในโลก
ใครมีโชค เมื่อประสงค์ คงประสบ
ไม่มีโชค วาสนา หาไม่พบ
แม้ประสบ ด้วยตน ไม่สนใจ
เว้นแต่ผู้ มีบุญ ค้ำจุนศาสน์
ผู้ไม่ประมาท สุจริต จิตเลื่อมใส
ท่านบัณฑิต จิตผุดผ่อง มองเห็นไกล
เพราะจิตใจ ท่านผู้ดี มีปัญญา
ส่วนคนพาล เป็นมนุษย์ ทุจริต
ไม่เป็นมิตร ทางพระ พุทธศาสนา
เขาไม่เชื่อ คำโอวาท พระศาสดา
จึงไม่รู้จัก ของมีค่า เพราะตาฟาง
ผู้ไม่มีบุญ ไม่ค้ำจุน พระศาสนา
ไม่ศรัทธา กรรมวิบัติ คอยขัดขวาง
เหมือนคนจน ยามชรา ลูกตาฟาง
ต้องอัปปาง ทับถม จมแผ่นดิน

กลอนความรู้ของใจ
โดย หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต







" พ่อแม่บางคน
รักลูกมากเกินไป
อยากให้ลูกสบายแต่ไม่รู้ว่า
เป็นการทำให้ลูกพิการ
ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้
เวลาขาดพ่อขาดแม่แล้วทำอะไรไม่เป็น
ให้เขาลำบากบ้าง ให้เขาทุกข์บ้าง
ให้เขาอดทนบ้างเพื่อจะได้แข็งแกร่ง "

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร บางละมุง ชลบุรี







::: ผู้ดีในพุทธศาสนา :::
"...คำว่า "ผู้ดี" นี้ไม่ได้หมายถึงคนที่มีทรัพย์มากหรือคนที่เกิดในตระกูลสูงเสมอ ทางพระพุทธศาสนาคำว่าผู้ดีเกิดอยู่ในโคลนตมก็ได้ คือเกิดอยู่ในตระกูลของคนต่ำต้อยเช่น ชาวไร่ชาวนาก็เป็นผู้ดีได้ ผู้ดีนี้ไม่ได้หมายถึงคนมีทรัพย์ มีฐานะ หรือมียศฐาบรรดาศักดิ์อยู่ในตระกูลชั้นสูง ผู้ดีทางพุทธศาสนาหมายถึงผู้ที่มีความดี เป็นผู้ที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความอาทร ร้อนใจกับบุคคลผู้ที่มีความทุกข์ได้รับความทุกข์ แสดงการช่วยเหลือให้แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้เรียกว่าผู้ดี คำว่าผู้ดียังมีความหมายลึกลงไปกว่านั้นอีก ได้แก่ผู้ที่มีจิตใจอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นผู้ไม่มักโกรธ เป็นผู้ไม่มีความอิจฉาริษยาเขา..."

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่อง "ผู้ดี"
โดย หลวงพ่อเพชร วชิรมโน






::: ประมาทได้ชื่อว่า "ตายไปแล้ว" :::

"... มีแต่คนบ่นว่าครูบาอาจารย์องค์นั้นมรณาพแล้ว องค์นู้นก็มรณะแล้ว ไม่ได้พบ ไม่ได้เห็นท่าน ไม่ได้คุยกับท่าน เมื่อก่อนก็รู้สึกสงสารคนพวกนั้น แต่ถ้ามาพิจารณาเอาจริงๆ แล้ว ไม่น่าสงสารเลย เพราะคนพวกนั้นประมาท แม้กระทั่งท่านยังอยู่ก็ไม่เคยไปใส่ใจกับท่าน ไม่เคยถามไถ่ ไม่เคยมาอุปัฏฐากดูแลท่าน หรือเคยติดขัดข้องในเรื่องของการปฏิบัติธรรมก็ไม่เคยได้มาถามไถ่ ก็เลยไม่ได้รับมรดกอันสูงค่าจากท่านไป มันก็เลยเรียกว่าไม่น่าสงสาร ยังมีคนหลายคนอีกมากนะ...

เมื่อก่อนเราก็ดูในประวัติหนังสือสมัยครูบาอาจารย์ท่านนั้น สมัยครูบาอาจารย์ท่านนี้ ทำให้เราอยากจะเกิดทันท่าน "ถ้าเกิดทันท่านก็ดีหนอ" เราก็คงจะเป็นเหมือนอย่างองค์นั้น เราก็เป็นเหมือนอย่างองค์นู้น มันเป็นความเพ้อฝัน แท้ที่จริงสิ่งปัจจุบันลอยอยู่ตรงหน้า ตั้งอยู่ตรงหน้า แต่เราไม่ขวนขวาย เรียกว่า ประมาท ได้ชื่อว่า "ตายไปแล้ว" พากันพิจารณาดู มาเหละหละ กินๆ นอนๆ เหละๆ หละๆ เอาแต่สนใจนอกเรื่อง จะเรียกว่าเป็นพุทธบุตรก็ไม่ได้ จะเรียกว่าคนดีสาวกของพระพุทธฑเจ้าก็ไม่ได้ เราไม่ใส่ใจ เราไม่ตั้งใจ เหมือนเราเป็นโรคร้าย หมอบอกให้กินยาตรงเวลา ขาดแม้แต่เวลาหนึ่งไม่ได้ กินใหม่ก็ไม่มีผล คนๆ นั้นจะปฏิบัติตนอย่างไร แน่นอน... มนุษย์และสัตว์ต้องกลัวตาย ต้องกินตามที่หมอสั่งตรงเวลาทุกวัน เพราะกลัวว่าจะตาย ...

แต่คนไม่เห็นประโยชน์ในการภาวนาจิต ในการมีสติ ในการสำรวมระวังในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถือว่า มันไม่สำคัญ เห็นเรื่องอื่นเป็นเรื่องสำคัญมากกกว่า แต่พอเรานั่งปฏิบัติเวลากลางคืน จิตไม่สงบ "นี่เป็นเพราะอะไร" เพราะว่าเวลาปกติของเรา เราไม่ได้สำรวมไม่ระวัง แล้วเราจะปฏิบัติดีได้อย่างไร เท่ากับเรากำลังปรามาสคำสอนของ พระุทธเจ้าว่าเป็นของง่าย..."

จากหนังสือ ก้าวลงสู่กระแสธรรม ๓ โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน







...ค้นหาสภาพความเป็นจริง...

..เราจะค้นคว้า หาสภาพความเป็นจริง อยู่ในธาตุสังขารก้อนนี้ อยู่ในรูปในนามก้อนนี้หละ ว่าความเป็นจริง มันเป็นรูปไหนวิธีไหน ถ้าหากเราขาดอุปกรณ์ในการค้นคือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แล้ว เป็นไปได้ยาก..

..หลวงปู่ศรี มหาวีโร..







ท่านอาจารย์ตื้อด่าพญานาค

อยู่น้ำตกแม่กลาง ท่านอาจารย์ตื้อด่าพญานาค เมื่อครั้งท่านอาจารย์ตื้อพักวิเวกอยู่น้ำตกแม่กลาง ทางขึ้นดอยอินทนนท์ใกล้บริเวณที่พักมีหนองน้ำขนาดกว้าง พอควร เป็นที่รองรับตาน้ำผุดไหลออกมาจากใต้ภูเขา น้ำออกสีเขียวน่ากลัว มีฟองน้ำผุดขึ้นเป็นสายเป็นสาย

วันเว้นวันจะมีงูใหญ่เท่าลำหมากสีเหลืองทอง หัวเหลืองหงอนแดง คอแดง เลื่อมเป็นเงา ลอยออกมาจากรูน้ำผุด แล้วก็วนอยู่ในหนองน้ำรอบสองรอบสามรอบ แล้วก็เลื้อยเข้าไปในรูเดิมที่มา ทำให้น้ำนั้นส่งกลิ่นคาวเหม็น ใช้สอยมิได้

เป็นอยู่เช่นนี้นาน จนหลวงปู่ตื้อดูรู้วาสนาของมัน เมตตาจะสั่งสอนนาคทั้งหลายเหล่านั้น

วันนั้นมันก็ออกมาของมันแต่ดูเหมือนมันเองก็จะรู้ตัวเช่นกัน บ่าย ๔ โมง ฤทธิ์มันก็มาก เปลี่ยนจากน้ำสีเขียวน่ากลัวมาเป็นน้ำสีแดงเหมือนน้ำล้างเนื้อ คาวก็คาว ท่านอาจารย์ตื้อ สำรวมจิตดูให้รู้ว่ามันประสงค์อะไรกันแน่จึงว่ามันไปว่า...

“ไอ้สัตว์ขี้ทุกข์ สูเจ้าจะเอาหน้าอกแถกไถไปมาอยู่เช่นนี้หรือ ศีลธรรมพระเจ้าไม่เอาใจใส่ เมื่อใดมันจะพ้นได้ ข้ามาอยู่ตรงนี้มาภาวนาหาทางพ้นทุกข์ พวกสูเจ้าอยู่ตรงนี้หวงแหนถิ่นที่ คิดดูให้ดี สูเจ้าเกิดก่อนที่นี่ หรือที่นี่เกิดก่อนสูเจ้าทั้งหลาย ใครมาก่อนมาหลัง จะมาหวงโลกหรือ เพราะสูมันหวงโลกนี้แหละ จึงได้มาอยู่อย่างนี้ พระเจ้าไม่รู้ พระธรรมไม่รู้ พระสงฆ์ไม่รู้ สูจะเอาอันใดเป็นที่พึ่งของตน เอาความหวงที่นี้หรือ หรือว่า จะมาทดลองฤทธิ์กัน จะเอาไหม จะเอาก็เอา เอ้า! ลงมือ ใครแพ้ใครชนะให้รู้ให้ได้วันนี้”

ว่าแล้วท่านอาจารย์ตื้อก็ทำท่าขึงขัง ตึงตังขึ้นมา น้ำในหนองนั้นก็หยุดเป็นฟองฟอด เป็นจากแดงฉานมาเป็นสีปกติ กลิ่นคาวเลือดก็หายไป หมู่นาคน้อยใหญ่ก็มายินดียอมต่อคำสอนของท่านอาจารย์ตื้อ แต่ท่านอาจารย์ปู่ตื้อก็มิได้เล่าอะไรให้ผู้ข้าฯ ฟังไปมากกว่านั้น มีแต่ว่า...

“สวดมนต์พระปริตรให้เขาฟัง แปลพระปริตรให้เขาฟัง สอนให้รู้จัก ศีล ๕ ให้รู้จักพรหมวิหารธรรม”

จากธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ







...จุดยืนของใจ หรือ ฐานของจิต
เราต้อง.."ดึงจิตเข้าไปที่ฐาน"

ถ้าจิตยืนอยู่บนฐานแล้ว
จิตจะมีความมั่นคง
มีความหนักแน่น
ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหวกับ
รูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะ
ที่ใจมาสัมผัสรับรู้

เท่านี้เอง "นี่คือเคล็ดลับของชีวิต"
เคล็ดลับของความสุขใจ
อยู่ตรงนี้แหละ

ดึงใจให้มันไปอยู่ตรงจุดนั้นให้ได้
ตรงจุดที่เป็น "อุเบกขา สักแต่ว่ารู้"
แล้วเวลาอะไรมากระทบนี้
มันจะสักแต่ว่ารู้แค่นั้นเอง
มันจะไม่ดีใจไม่เสียใจ
ไม่วิตกไม่กังวล ไม่ห่วงใย
......................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 21/9/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








" ให้หมู่พากันตั้งใจปฏิบัติ สิ่งใดไม่ปฏิบัติเองไม่ได้หรอก
ทางโลกก็เช่นกัน มีควายมีวัวเขาก็ต้องปฏิบัติ
ไม่เช่นนั้น อะไรๆก็เอาไปกินหมด ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น
จิตใจเราก็เช่นกัน หากไม่ปฏิบัติแล้ว
ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเอาไปกินหมด
แล้วก็ไม่เห็นอรรถเห็นธรรมล่ะคราวนี้
อีกหน่อยก็จะหาโทษใส่ตัวเองว่ามรรคผลนิพพานไม่มี
อีกหน่อยก็สึกเท่านั้น มันไม่ สู้เขานะ
เพราะของพวกนี้มันดึงมาหลายภพหลายชาติแล้ว
ความตายมันเทียวเกิดเทียวตายมามากต่อมาก
มันก็กวนนั่น มันตายอยู่อย่างนั้น
เกิดภพไหนชาติไหน ก็ตายอยู่อย่างนั้น
พากลัวกันอยู่อย่างนั้นล่ะ
ท่านไม่กลัวนะ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านไม่กลัวนะ
ไม่มีสิ่งไหนที่จะกลัว เพราะท่านเห็นภัย
อย่างพวกเรา มันงมอยู่อย่างนี้ล่ะ
อ่ะ...เอาล่ะคราวนี้เลิกกัน พากันตั้งใจ..."

หลวงปู่ลี กุสลธโร






มัจจุราชมันไล่เข้าๆ แล้วนะ มันบีบเข้าๆ อนู่นั่น
คนเรานี้ มันก็เท่านั้น เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดๆ อยู่อย่างนั้น มีแต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านไม่อุปทานความยึดมั่น ฟังไป ก็ไม่เอาไปพิจารณา ไปกำกับจิตของเจ้าของ มันก็ไม่เกิดผลนะมันเอาแต่ความจำ "ความจริง" มันไม่เกิดกับใจเจ้าของ

หลวงปู่ลี กุสลธโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO