อานิสงส์กฐินทาน
ต่อไปนี้ จะพูดถึงอานิสงส์กฐิน ผ้ากฐินทาน จะรับได้ก็ต่อเมื่อถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 หลังจากนั้น จะทอดขนาดไหนก็ตาม จะไม่เป็นกฐิน ฉะนั้น กฐินมีเวลากาลจำกัด
ทีนี้ ว่าถึงอานิสงส์กฐิน อานิสงส์กฐินนี้ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเคยเทศน์ และก็เทศน์ตามบาลี ท่านพูดถึงอานิสงส์ให้ทราบ ฉะนั้น การถวายวันนี้ทั้งหมด เมื่อวานก็ดี วันนี้ก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม จะเป็นของก็ตาม ถือว่าทุกอย่าง เป็นอานิสงส์กฐิน
ต่อไปนี้ก็โปรดทราบ จะนำพระสูตรตามที่ท่านกล่าวไว้ในบาลีให้ทราบ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ในสมัยพระองค์เกิดเป็น "มหาทุคคตะ" ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระปทุมมุตระ" เวลานั้น พระพุทธเจ้าของเรา เกิดเป็นคนจนอย่างยิ่ง เป็นทาสของคหบดี เวลานั้น ถอยหลังจากนี้ไป 92 กัป ก็ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระปทุมมุตระ"
วันหนึ่ง มหาทุคคตะ ไปดูงานทอดกฐินเขา เมื่อเขาทอดกฐินเสร็จ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า บุคคลใด เคยทอดกฐินแล้วในชีวิตหนึ่ง ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพกฐินก็ดี และเป็นบริวารกฐินก็ดี(แต่ว่ากฐินนี้ไม่มีบริวาร มีแต่เจ้าภาพ เพราะเป็นกฐินสามัคคี) จะทำบุญน้อย จะทำบุญมาก มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ทว่าปริมาณอาจจะแตกต่างกัน และอานิสงส์กฐินนี่ เวลานั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
"โภ ปุริสะ ดูก่อนท่านผู้เจริญ บุคคลใดเคยทอดกฐินไว้ในพระพุทธศาสนา แม้ครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าตายจากความเป็นคน ยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ท่านผู้นั้น จะไปเกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้า 500 ชาติ"
นั่นหมายความว่า ถ้าหมดอายุเทวดา หรือ นางฟ้า จุติแล้วก็เกิดทันที 500 ครั้ง เมื่อบุญหย่อนลงมานิดหน่อย เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้าไม่ได้ ลงมาเป็นมนุษย์ จะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก 500 ชาติ แล้วบุญก็หย่อนลงมา ก็จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 500 ชาติ แล้วบุญก็หย่อนลงมา ก็จะเป็นพระมหากษัตริย์ 500 ชาติ หลังจากนั้น จะเป็นมหาเศรษฐี 500 ชาติ
คำว่า "มหาเศรษฐี" นี่ มีเงินตั้งแต่ 80 โกฏิขึ้นไป เขาเรียกว่า "มหาเศรษฐี" ถ้ามีเงินต่ำกว่า 80 โกฏิ แต่ว่าตั้งแต่ 40 โกฏิขึ้นไป เขาเรียกว่า "อนุเศรษฐี"
เมื่อเป็นมหาเศรษฐี 500 ชาติแล้ว ก็เป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติ หลังจากเป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติแล้ว ก็เป็นคหบดี 500 ชาติ !!!
ก็รวมความว่า การทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า นอกจากจะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีแล้ว บุคคลที่ทอดกฐินครั้งหนึ่งในชีวิต จะปรารถนาพระโพธิญาณก็ย่อมได้!!!.....นั่นก็หมายความว่า จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็นอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นมหาสาวกก็ได้ จะปรารถนานิพพานเป็นพระอรหันต์ปกติก็ได้
ฉะนั้น การทอดกฐินแต่ละคราว ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท โปรดทราบถึงอานิสงส์ คนที่เคยทอดกฐินแล้วแต่ละครั้ง รวมความว่า ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด คำว่ายากจนเข็ญใจ จะไม่มีแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกชาติ
คัดลอกจากหนังสือ สนทนาธรรม เล่ม ๑ ของพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
เวลาเกิดความท้อแท้ก็ให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ที่เป็นคนธรรมดาเหมือนเรามาก่อน ท่านก็ตะเกียกตะกายไปตามกำลังแห่งศรัทธา เชื่อในเรื่องของความดีทั้งหลาย ว่าเป็นเหตุที่จะพาให้ไปสู่ความสุขความเจริญอย่างแท้จริง ก็จะหยุดความท้อได้ อย่าเลิกปฏิบัติ
ถ้าวันนี้ไม่อยากนั่งก็หยุดพักสักวันสองวัน พอมีกำลังจิตกำลังใจ ก็กลับมาเริ่มใหม่ ผลัดกันรุกผลัดกันรับ บางทีกิเลสมาแรงเราก็รู้สึกท้อ แต่พอกิเลสเบาลง เราก็เป็นฝ่ายรุกบ้าง สลับกันไป พยายามเข้าหาครูบาอาจารย์ผู้รู้จริงเห็นจริง ฟังเทศน์ฟังธรรมของท่านอยู่เรื่อยๆ ก็จะได้กำลังจิตกำลังใจ ถ้าได้สหธรรมิกที่ชอบปฏิบัติธรรม ก็จะช่วยดึงเราไป ยกเว้นเวลาที่อยู่ในขั้นที่จะต้องปฏิบัติตามลำพัง แต่ก็ยังอยู่ห่างจากหมู่คณะไม่ได้ ถึงเวลาก็ไปมาหาสู่กัน ไปสนทนาธรรมกัน ไปปรึกษาหารือกัน จนกว่างานจะสำเร็จลุล่วงไป
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต ๙ ตุลาคม ๒๕๔๘
" ให้ภาวนานะ อย่าเอาแต่นอน ให้มันได้ประโยชน์ ว่างๆก็ให้นั่งบริกรรม..พุทโธๆอยู่นั่น อย่าให้มันคิดมันนึก ให้มันอยู่กับบริกรรมพุทโธ เรานั่งสมาธิ อย่าอยากได้อะไร นั่งนึกนอนนึกเอาก็ไม่ได้นะ เพราะจิตมันไม่ว่างจากอารมณ์ ธรรมมันจะโผล่ไม่ได้...
พวกเรานี่ มีแต่พากันตะครุบเงา หลงเงาตัวเอง นั่งเข้าๆเวทนามากก็เลยนอน กรนครอกๆกิเลสมันไชโยนะเพราะมันชนะ เดินจงกรมเหมือนกัน ส่งจิตออกแล้วก็ยังจะมาอวดว่าตัวเองทำความเพียร ครูบาอาจารย์ท่านทำจริงนะมาทำเล่นๆไม่ได้...
ถ้าเราปฏิบัติจริงๆเช่นการนั่งสมาธิตลอดรุ่งมันก็จะรู้จะเห็นได้แน่นอน นี่ส่วนใหญ่นั่งนานไปเกิดทุกขเวทนาก็กลัวตาย ไม่เอาจริงจังทั้งที่มันก็เกิดตายมาหลายชาติแล้ว ครูบาอาจารย์ ท่านก็เคยปฏิบัติ ก็ไม่เคยเห็นมีใครตายจริง มีแต่ได้รับผลคือความสงบรวมลงของใจ..."
___________________
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง ( วัดเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
" ให้หมู่พากันตั้งใจปฏิบัติ สิ่งใดไม่ปฏิบัติเองไม่ได้หรอก ทางโลกก็เช่นกัน มีควายมีวัวเขาก็ต้องปฏิบัติ ไม่เช่นนั้น อะไรๆก็เอาไปกินหมด ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น จิตใจเราก็เช่นกัน หากไม่ปฏิบัติแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเอาไปกินหมด แล้วก็ไม่เห็นอรรถเห็นธรรมล่ะคราวนี้ อีกหน่อยก็จะหาโทษใส่ตัวเองว่ามรรคผลนิพพานไม่มี อีกหน่อยก็สึกเท่านั้น มันไม่ สู้เขานะ เพราะของพวกนี้มันดึงมาหลายภพหลายชาติแล้ว ความตายมันเทียวเกิดเทียวตายมามากต่อมาก มันก็กวนนั่น มันตายอยู่อย่างนั้น เกิดภพไหนชาติไหน ก็ตายอยู่อย่างนั้น พากลัวกันอยู่อย่างนั้นล่ะ ท่านไม่กลัวนะ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านไม่กลัวนะ ไม่มีสิ่งไหนที่จะกลัว เพราะท่านเห็นภัย อย่างพวกเรา มันงมอยู่อย่างนี้ล่ะ อ่ะ...เอาล่ะคราวนี้เลิกกัน พากันตั้งใจ..."
หลวงปู่ลี กุสลธโร
อย่างหลวงปู่อ่อน ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านไปชอบผู้หญิงคนหนึ่ง คิดบังคับใจตัวเองขนาดนั้น มันก็ยังไปอยู่อย่างนั้น ท่านว่า จนหลวงปู่มั่นรู้ ท่านไล่หนีเลย ท่านบอกหนีนะ...อย่ามาอยู่นี่นะ ท่านก็เลยไป พอออกไปก็ไปนั่งอยู่บริเวณทุ่งนานั่นน่ะ จะไปไหนก็ไม่ได้เพราะไม่มีทางไป “ครูบาจะไปแล้วเหรอ...จะไม่กลับคืนมาแล้วเหรอ...” เสียงอันนี้ดังตลอด ไม่ว่าจะไปอยู่ไหน เสียงนี้กระซิบที่หัวใจอยู่ตลอดเวลา ท่านเลยคิดว่า ถ้าความรักอันนี้ไม่ขาดจากใจ จะไม่ยอมมันล่ะ จึงสะพายบาตร แบกกลด มือหนึ่งหิ้วกาน้ำ เดินบนขอนต้นยาง บังเอิญขอนไม้ยางนั้นมันยาว หากหล่นลงมาจากนั่นก็คงตายพอดี มันสูงขนาดเลยคอ ท่านเดินไต่บนขอนต้นยาง กลับไปกลับมาอยู่นั่น ตั้งแต่เที่ยงจนบ่าย เลยเกิดหิวน้ำขึ้นมา ส่งจิตออกไปอยู่ตลอด ท่านว่า ใจเลยคิดว่า “เอ้า...หิวน้ำก็จะไม่กิน ตายก็ให้มันตาย ท่านว่า อันความอยาก กับความหนักใจในความรักผู้หญิงคนนี้ ถ้าความรักไม่ขาดจากใจจะไม่กินเลยน้ำนี่น่ะ...” พอนั่งไปๆ น้ำลายน้อยลงแห้งลง ขมปาก ท่านว่า พอจะตายจริงๆ มันจะกลับมารักตัวเอง พอมันเป็นอย่างนั้น ส่งจิตไปหาผู้หญิงคนนั้น ไม่มีอีกแล้ว มันหดกลับเข้ามา พอส่งไปอีก ก็หดกลับเข้ามา เอ้า...เราไม่ตายหรอกยังงี้...ท่านว่า ในที่สุดก็เลยฉันน้ำ ขนาดนั้นเลยนะ ท่านทรมานตนเอง ท่านเป็นครูบาอาจารย์มา หลวงปู่ลี กุสลธโร ๒๖ เมษายน ๒๕๓๘
อย่างท่านหลวงปู่มั่น ที่พ่อแม่ครูจารย์ท่านเล่าให้ฟัง ที่บ้านนามน ได้เข้าไปหาท่าน ท่านว่า
“เออ...มหา มาน่ะ ให้ภาวนาพุทโธนะ ความรู้ที่เรียนมาให้เก็บใส่หีบใส่ตู้ไว้ อย่าเอามาเป็นสัญญา อย่าเอามาเป็นอารมณ์”
ท่านว่าเรียนพุทโธอยู่ตั้ง ๑ ปีกับ ๖ เดือนถึงค่อยอยู่ ขนาดนั้นโน่นนะ ถ้าเราอยู่กับพุทโธ คล้ายๆเวลาเราเดินจงกรมน่ะ เราเดินไปต้องสะดุดล่ะ เวลาเกิดวาระจิตขึ้นนะ ท่านเล่าว่า...
ตรงหัวน่ะเกิดแสงสว่างขี้น แสงออกจากหน้าผาก สว่างออกทั่วไปหมดเลย สว่างหมด พอวาระจิตยุบลงมา มาเห็นกระดูกตัวเอง ขาขวาน่ะขาวหมด ทางนั้นก็หดไป ทางนี้ก็หดมา ขาวโพลนไปหมด
โห...ทำนะ ทำความเพียร เร่งเพราะอยากได้ อยากให้มันเป็นเหมือนเดิม เดินจงกรมไม่มีเกียจคร้านล่ะ นั่งสมาธิก็ไม่เกียจคร้าน เมื่อเหตุมันพร้อม ผลมันเกิดเองหรอก เหมือนชาวนาน่ะ เขาไม่ได้ปรารถนารวงข้าวหรอก เขารักษาลำต้นมันไว้ รักษาไป หากลำต้นมันงาม ดอกผลมันเกิดเอง ถ้าไปตั้งก็จะเกิดสัญญานั่นล่ะจะหลอกเอง เวลาเดินจงกรม ความอยากมันก็อยากอยู่อย่างนั้นท่านว่า บริกรรมก็ให้ถี่อยู่อย่างนั้น ทำอยู่อย่างนั้น เว้นแต่นอนหลับ เวลาตื่นขึ้นมาก็ให้เริ่มพุทโธอยู่อย่างนั้น นานเข้าๆ ก็ลงอีก โห...คราวนี้แรง ปรากฏแสงสว่างขึ้น ปรากฏว่าตัวเองยืนอยู่เห็นกระดูกตัวเองทั้งหมด เหลือแต่กระดูก ดูอยู่นั่น...พ่อแม่ครูจารย์ท่านเห็นอย่างนั้นนะ
หลวงปู่ลี กุสลธโร ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๗
"ถ้าเราได้มาพบกับพระพุทธศาสนา"
พระพุทธศาสนาก็สอนให้เราทำอีกข้อหนึ่งก็คือ ให้เราทำปัญญา ทำวิปัสสนา ให้เราเห็นโทษของความอยากทั้งสาม และหยุดมันฝืนมันไม่ทำตามมัน ถ้าเราฝืนมันหยุดมันทุกครั้งที่มันอยาก เราก็ไม่ทำตามความอยาก ความอยากมันก็จะหมดกำลังไป และมันก็จะไม่มีวันที่จะโผล่ขึ้นมาใหม่ได้อีก มันก็จะไม่ดึงให้ใจเรากลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไป อันนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มาประกาศพระธรรมคำสอน มามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระพุทธศาสนา พวกเราถึงจะสามารถที่จะกำจัดความอยากต่างๆ ที่เป็นเหตุที่ทำให้ใจของเรายังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ได้ ชาตินี้เป็นชาติวิเศษของพวกเรา ที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง โอกาสอย่างนี้นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง โอกาสที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้มาพบกับพระพุทธศาสนา
จึงขอให้พวกเราพยายามปฏิบัติให้ถึงธรรมขั้นสูงสุดให้ได้เถิด คือนอกจากการทำบุญทำทานแล้ว รักษาศีล ๕ แล้ว ก็ขอให้เรามาหัดรักษาศีล ๘ กัน รักษาศีล ๘ แล้วเราก็จะได้มีเวลามานั่งสมาธิทำใจให้สงบกัน ถ้าเรานั่งสมาธิทำใจให้สงบได้ ใจเราจะมีกำลังที่จะสู้กับความอยากได้ ลดตัดความอยากได้ หยุดความอยากได้ ถ้าเรามีปัญญาเห็นว่าการทำตามความอยากจะนำไปสู่ความทุกข์ นำไปสู่การเกิดแก่เจ็บตายอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าเราไม่อยากจะกลับมาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายอีกต่อไป เราก็หยุดความอยากทั้งสามนี้เท่านั้นเอง หยุดกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
นี่เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนสามารถปฏิบัติได้ อย่าไปมองในขณะที่เราเริ่มต้นว่ามันยากเย็น อย่าไปมองธรรมที่สูงกว่าที่เราทำได้ ปฎิบัติธรรมที่อยู่ในความสามารถของเราไปก่อน เราทำทานได้ทำไปก่อน รักษาศีล ๕ รักษาได้รักษาไปก่อน แล้วค่อยขยับขึ้นไป ถ้ารักษาศีล ๕ ได้ ต่อไปก็จะขยับไปรักษาศีล ๘ ได้ รักษาศีล ๘ ได้ ก็จะมีเวลามาฝึกมาทำสมาธิได้ พอทำสมาธิก็จะมีกำลังที่จะหยุดความอยากต่างๆ ได้ด้วยปัญญา
ดังนั้นขอให้พวกเราจงใช้โอกาสอันดีงามของภพนี้ชาตินี้ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้มาเกิดมาพบกับพระพุทธศาสนา ให้พวกเรามาพัฒนาจิตใจของพวกเราแบบยั่งยืนกันดีกว่า หยุดการพัฒนาแบบชั่วคราวทางร่างกายกันเถิด เพราะมันเป็นการพัฒนาที่ไม่มีวันสิ้นสุด ที่จะต้องพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ตายไปแล้วก็ต้องกลับมาพัฒนาใหม่ กลับมาพัฒนาได้มากได้น้อย ตายไปก็หายไปหมด แล้วก็ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ แต่ถ้าเรามาพัฒนาทางจิตใจ ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พัฒนา เราก็จะได้ไม่ต้องกลับมาพัฒนาการซ้ำแล้วซ้ำอีก พัฒนากันหนเดียว พัฒนาจนจิตขึ้นสู่ขั้นที่ไม่มีวันเสื่อมอีกต่อไป นี่คือประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และได้มาเกิดในพระพุทธศาสนา ขออย่าให้ปล่อยประโยชน์อันล้ำค่านี้หลุดจากมือของพวกเราไป โดยที่เราไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนเลย การแสดงธรรมก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้ ขออนุโมทนาให้พร.
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐
"การพัฒนาชีวิต"
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
“ความอยากเป็นปัญหา ถ้าดับความอยากได้แล้วสบาย”
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราปฏิบัติแล้วเจริญก้าวหน้าไปแค่ไหนเจ้าคะ
พระอาจารย์ : ก็ถ้ามันไม่อยากมันก็ก้าวหน้า ถ้ามันยังอยากอยู่มันก็ไม่ก้าวหน้า เช่นถ้ามีแฟนยังอยากนอนกับแฟนอยู่มันก็ไม่ก้าวหน้า ถ้าปฏิบัติไปแล้วไม่อยากจะนอนกับแฟนก็ถือว่าก้าวหน้า ถ้าเคยอยากรวยแล้วเดี๋ยวนี้ไม่อยากรวยก็เรียกว่าก้าวหน้า ถ้าตอนนี้ไม่อยากเที่ยวแล้วก็ก้าวหน้า ถ้าอยากจะซื้อของฟุ่มเฟือยซื้อเสื้อผ้า เดี๋ยวนี้ไม่อยากจะซื้อแล้วก็เรียกว่าก้าวหน้า คือตัดความอยากในลาภยศ สรรเสริญ ในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ให้ดูตรงนี้ถ้าตัดได้ต่อไปก็นุ่งขาวห่มขาวได้ อยู่วัดได้ พวกที่เขาบวชกันนี้เขาก็ตัดไปกันได้เยอะแล้ว แต่ยังตัดเพียงแต่ส่วนนอก คือตัดรูปเสียงกลิ่นรส ตัดลาภยศ สรรเสริญ แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าตัดร่างกายได้หรือเปล่า ตัดความแก่ ตัดความเจ็บ ตัดความตายได้หรือเปล่า ต้องตัดเข้าไปเรื่อยๆ ผ่านร่างกายไปแล้วก็ยังมีเรื่องกามารมณ์อีก ถึงแม้ว่าจะถือศีล ๘ ได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า กามารมณ์มันจะตายไป กามารมณ์มันก็ยังมีอยู่เพียงแต่ว่า เราใช้ศีลเป็นตัวคอยคุมมันไว้ มันเหมือนตัวคุมกำเนิด ถ้าอยากจะให้มันตายจริงๆก็ต้องปฏิบัติเข้าไปถึงรากของมัน รากของมันก็คือความชอบของสวยของงาม ต้องเอาของไม่สวยไม่งามมาให้มันดูบ่อยๆ เอามาป้อนให้มันกินบ่อยๆ พอมันเห็นของไม่สวยไม่งามบ่อยๆ เช่นเห็นซากศพเห็นคนตาย แทนที่จะเห็นคนเป็นทุกครั้งที่เห็นคนเป็นก็นึกถึงเวลาที่เขาตาย หรือเวลาเห็นข้างนอกสวยก็ดูข้างในสวยไหม ดูแต่ข้างหน้าหัดดูข้างหลังบ้าง ดูส่วนที่ไม่สวยไม่งามบ้างแล้วต่อไปมันก็จะดับกามารมณ์ได้อย่างถาวร จะไม่มีกามารมณ์เกิดขึ้น แล้วจะรักษาศีลไม่รักษาศีลก็ไม่เป็นปัญหา เพราะว่ามันจะไม่มีเหตุที่จะไปทำผิดศีล
ศีลนี้เป็นเพียงแต่เหมือนรั้ว เหมือนกับคุกที่ไว้ขังนักโทษ แต่ถ้านักโทษไม่อยากจะแหกคุกและไม่อยาก จะออกจากคุกแล้วชอบอยู่ในคุกแล้วก็ไม่ต้องมีคุกก็ได้ จิตเราก็เหมือนกัน ตอนนี้จิตของพวกเราชอบแหกคุกกัน แหกกรงกัน ชอบทำบาปกัน แต่ถ้ามันไม่อยากจะได้อะไรแล้วต่อไปมันก็จะไม่อยากจะทำบาปเอง พอไม่อยากจะทำบาปก็เอาศีลออกไปได้ เอารั้วออกไปได้ คุกไม่ต้องมีกำแพงก็ได้ เพราะนักโทษมันเชื่องแล้ว นักโทษมันเห็นโทษของการทำบาป เห็นโทษของความอยากแล้ว พอมันไม่อยากแล้วมันก็ไม่ต้องไปทำบาป ไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น ดังนั้นความอยากตัวนี้เป็นปัญหา ถ้าดับความอยากได้แล้วสบาย ถ้าไม่มีความอยากก็จะมีแต่ความพอ.
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๗
“หัวใจของพระพุทธศาสนา”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
"เรื่องอวิชชาเป็นอุปปัตติภพ หรือกรรมภพ ก่อภพทำกรรมอยู่ไม่หยุดไม่ถอย มันก็เป็นเรื่องของวัฏจักรอันเดียวนี้ มันหากก่อภพก่อชาติภายในตัวเองอยู่อย่างนั้น
เรื่องของจิตจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ มีแต่เรื่องก่อภพก่อชาติอยู่เป็นประจำ ทำงานสั่งสมเพื่อตัวเอง แต่โดยมากจะสั่งสมทางกดถ่วงใจให้ดิ่งลงทางต่ำอยู่เสมอ ที่ว่าทำลายกงกรรมก็ทำลายตัวนี้แล พอทำลายตัวนี้แล้วมันก็หมดเครื่องสืบต่อก่อภพก่อชาติลงทันที"
เทศน์หลวงตาอบรมพระอบรม ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๙
“มีสติต่อเนื่อง” ..ถ้าหากเรามีสติต่อเนื่องกัน ระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา ก็รวมความรู้ให้มากขึ้น ๆ หละ อันนี้ใครอยากทดสอบดูก็ได้ เวลาว่าง ๆ กลางคืนก็ตาม กลางวันก็ตาม เวลาไหนก็ตาม ได้หมดทุกกาลทุกเวลา ดึงความรู้เข้ามารวม เราจะมีความรู้สึก ถ้าหากรวมเข้ามาบ้าง มีความรู้สึกผิดแปลกในร่างกาย ในปฏิกิริยาที่แสดงออก ร่างกายเคยเจ็บ เคยปวด เคยเหนื่อย เคยล้า ของเหล่านี้จะหายไปเลยนะ ความสุขอันนี้ก็จะเกิดขึ้นมา เคยอยากอยู่อยากนอน ก็ไม่อยากนอนตลอดคืนจนถึงเช้า ไม่ขบไม่ฉันอาหาร ๓ วัน ๔ วัน ก็ยังแข็งแรงอยู่อย่างนั้น ด้านความเอิบอิ่มในด้านจิตใจ คือใจได้ดูดดื่มรสของธรรมะ รสชาติของธรรมะเลอเลิศกว่ารสทุกอย่างในโลก ทั้งเทวะโลก พรหมโลก ทั้งหมื่นจักรวาล ท่านจึงว่า “ธัมโมโลโก อนุตตโร” ธรรมะนี้เยี่ยมที่สุดในโลก..
หลวงปู่ศรี มหาวีโร เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ
" คน เราที่จะดีจะชั่วก็เนื่องไปจากจิตใจ ความชั่วดีทั้งหลายมันเกิดมาจากใจ จึงว่าใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นประธาน สำเร็จด้วยใจจะประเสริฐก็ด้วยใจ คนที่จะชั่ว ก็คือว่าชั่วไปจากจิตใจ ถ้าจิตชั่วแล้วความชั่วนั้นจะออกมาเป็นรูปร่างหน้าตาของมันทางวาจาและทางกาย กายก็จะทำชั่ว วาจาก็จะพูดชั่ว เพราะจิตใจมันชั่วแล้ว"
โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่วัน อุตฺตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม จังหวัดสกลนคร
เอาเจ้าของให้พอซิ เมื่อพอแล้วใครนับถือไม่นับถือก็เรื่องของเขา ตำหนิก็อยู่ปากเขาโน่น นินทาก็อยู่ปากเขาโน่น อยู่ใจเขาโน้น ดีของเขา ชั่วของเขาต่างหาก เราเป็นแต่เพียงว่าได้ยิน เมื่อสัมผัสพับเราไม่หลงเราก็ไม่เป็นบ้าไปตามลมปากของเขา จะเป็นอะไรไป เอส ธมฺโม สนนฺตโน ความสรรเสริญนินทาเป็นของเก่า เคยมีมาดั้งเดิมแล้ว ท่านสอนว่าอย่างนั้น แล้วตื่นอะไร หาเจ้าของให้พอซิ อย่าไปหาเอาสิ่งอื่น เอาของคนอื่นเขา เรื่องอื่นเข้ามาเพิ่มให้เขาสรรเสริญ นั่นหาเอามาจากภายนอก ให้เขายกยอเขาสรรเสริญ เขาเลื่อมใสเราถึงจะภูมิใจอะไรอย่างนั้น คนหิวจะตายอย่างนั้น คนไม่มีธรรมในหัวใจ หาเก็บตกเอาข้างนอกๆ โน่น อะไรที่ไหนตกเก็บเอาๆ ไม่ทราบว่าดีว่าชั่ว ฟาดกิเลสให้พังทลายลงไป ตัวมันอยากๆ นี้ให้พังทลายไปแล้ว อะไรจะมาอยาก . หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน (ความลึกลับซับซ้อนของจิตวิญญาณ หน้า ๒๓๐)
กิเลสนี่ถ้าเราเข้มแข็งมันจะอ่อนตัวลง พอเราอ่อนมันจะเข้มแข็งขึ้นทันที มันอยู่ในฉากเดียวกัน จิตดวงเดียวกันนั้นแล มันเหมือนกับเก้าอี้ตัวเดียวนั่นละ กิเลสนั่งเราก็ไม่ได้นั่ง เรานั่งกิเลสก็ไม่ได้นั่ง ผลัดกันขึ้นผลัดกันลงอยู่นั้นละ กิเลสอยู่บนเก้าอี้อันเดียวกันนั่นละ นี่กิเลสอยู่บนหัวใจของเรา เหมือนกับคนที่นั่งบนเก้าอี้นั่นแหละ ถ้าคนหนึ่งจะนั่งคนหนึ่งก็ต้องลง เอากิเลสก็ต้องให้เป็นอย่างนั้น เอาให้กิเลสมีแต่ลง อย่าให้มันได้ขึ้น สู้กันอย่างนั้น . หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน (ก้าวเดินตามหลักศาสนธรรม หน้า ๓๓๖–๓๓๗)
...ก็อย่างนี้แหละ มันจะเอากันง่ายๆ บอกปั๊บไปได้ปุ๊บเลย แล้วคนที่มานั่งหลังขดหลังแข็ง มานั่งรักษาศีลนี้ มันก็ไม่มีกำลังจิตกำลังใจ ที่จะปฏิบัติซิ . ...รอให้เวลาใกล้ตายแล้ว ให้เพื่อนมาบอกว่า ไปที่ดีนะจ๊ะ พุทโธไปนะจ๊ะ ทั้งปีทั้งชาติไม่ยอมพุทโธ . ...เวลาจะตาย.. มันจะมีกระจิตกระใจจะพุทโธหรือ อย่าไปทำอะไรเลย ปล่อยให้เขาไป ตามบุญตามกรรมของเขาเถอะ สายไปเสียแล้ว .................................. คัดลอกการสนทนาธรรม ธรรมะบนเขา 13/7/2559 พระอาจารย์สุชาติอภิชาโต วัดญาณสังวราราม ฯชลบุรี
“กล้าหาญในธรรม” ..ฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ อยากให้ทดสอบลองดูบ้างใครก็ตาม ว่าธรรมะเป็นของจริง เพียงไหนแค่ไหน พระพุทธเจ้าพระองค์สอนไว้แล้ว ครูบาอาจารย์ท่านก็นำมาปฏิบัติสืบต่อกันแล้ว ลองดูว่า จะเป็นจริงหรือไม่จริงเพียง เอาร่างกายจิตใจเราทดสอบลองดู ว่าจะให้เป็นสมาธินะ ถ้าไม่เป็น ก็พยายามหาวิธีการร้อยอันพันอย่าง จนกว่าจะให้เป็น ทำขนาดไหนถึงจะเป็นสมาธิได้ ให้ทดสอบไปอย่างนั้น ถ้านั่งชั่วโมงหนึ่งไม่ได้ ก็นั่งสองชั่วโมง นั่งสี่ชั่วโมง ทำทวีคูณขึ้นไปเลย ถ้าผู้หยาบก็นั่งตลอดคืนยันเช้า บางคนก็ ๓ วัน ๓ คืนโน้นหละ อะไรก็ตามไม่เกี่ยวเรื่องความตาย เอาความตายเป็นเดิมพัน ถ้ารู้จักอยู่ก็จะเอาอยู่อย่างนี้หละ มีทางได้ ถ้ากล้าหาญเด็ดเดี่ยว แต่แล้วไม่กล้าเท่าไหร่นะคนเรา แต่ถ้ากล้าไปสร้างความชั่วมากนะ กล้าไปปล้นไปจี้เขา กล้าไปฆ่าเขาเก่งนะของแบบนี้ กล้าเป็นทหาร เป็นตำรวจ ไปสู้กับลูกปืนเขายังกล้านะ แต่กล้าต่อสู้กับใจตัวเอง ทำไมไม่กล้า..
หลวงปู่ศรี มหาวีโร เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ
...มีเมตตากว้างขวาง...
..คนเรานั้น ต้องเป็นผู้ที่มีเมตตา กรุณากว้างขวางนะ กว้างขวางไม่ใช่เฉพาะในบรรดามนุษย์เท่านั้น ก็ต้องมีเมตตาสงสารตลอดจนถึงพวกสัตว์ ที่เกิดขึ้นมาในพื้นปฐพีของเราทั้งหมด ทำจิตให้กว้างขวาง ไม่อยากให้มีกรรมมีเวรมีภัย ต่อเนื่องไป หลายภพหลายชาติ..
..หลวงปู่ศรี มหาวีโร..
"อย่ารบกวนคนที่กำลังฟังเทศน์ฟังธรรม"
การที่ไปรบกวนคนทำสมาธิก็เพียงแค่ไปขัดความเจริญของเขาเท่านั้นเอง ไปเป็นมารไม่ใช่เป็นบาป ไปเป็นตัวทำให้เขาไม่สามารถนั่งให้สงบได้ ก็ไม่ดีก็เพราะว่ามันก็จะทำให้เขามีความรู้สึกไม่ดีกับเราได้ ไปรบกวนเขา
ฉะนั้น เราควรที่จะระมัดระวังเวลาที่เราเห็นคนเขากำลังนั่งสมาธิหรือกำลังนั่งฟังเทศน์ฟังธรรม อย่างที่เวลาเรามาที่นี่ เวลาที่คนเขานั่งฟังเทศน์ฟังธรรมกันอยู่ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็อย่าพึ่งเข้ามาดีกว่า หาที่นั่งตรงไหนก่อนรอให้การฟังเทศน์ฟังธรรมเสร็จก่อน แล้วค่อยเดินเข้ามาก็ได้ อย่ามารบกวนคนที่กำลังฟังเทศน์ฟังธรรม เพราะมันจะทำให้ขาดตอน เวลาฟังเทศน์นี้มันต้องฟังอย่างต่อเนื่อง เหมือนดูภาพยนตร์ ถ้าดูภาพยนตร์แล้วแวบไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวออกมาไม่รู้ภาพยนตร์มันไปถึงไหนนะ การฟังเทศน์ก็เหมือนกัน พอมีอะไรมารบกวนใจ ใจก็จะไม่ได้ฟังแล้ว พอกลับมาฟังอีกทีก็ไม่เข้าใจแล้วว่าพูดถึงเรื่องอะไรแล้ว
ฉะนั้น การฟังเทศน์ฟังธรรมเพื่อให้เกิดผลจริงๆ ต้องฟังอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ขาดตอน ผู้ที่มาทีหลังก็ควรที่จะเคารพนะ สมาธิของผู้ฟัง อย่าไปทำลายสมาธิเขา รออยู่ข้างนอกก่อน รอให้เขาฟังเสร็จก่อนแล้วเราค่อยเข้ามา หรือถ้าจะเข้ามาก็ต้องย่องเข้ามาเงียบๆ แบบไม่รบกวนใคร ก็ทำได้ แต่ไม่ใช่เดินมาแบบส่งเสียงแบบอึกกระทึกครึกโครม ถ้าเป็นยังงั้นก็ไม่ควรที่จะทำ.
สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
“ปฏิบัติให้ได้สัดส่วน” ..ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติผลมันก็ไม่เกิดขึ้นนะ ปฏิบัติไม่ได้สัดได้ส่วน ไม่สมเหตุสมผล ผลก็ไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน ฉะนั้น บรรดานักปฏิบัติ จึงปฏิบัติกันไปหลายแบบ ถ้าปฏิบัติในวัดไม่ได้ ก็ไปอยู่ในป่า ในเขา ในดง มีเสือร้าย งูร้ายอะไรไปโน้น ไปที่มันจะเกรงจะกลัว ไปคนหนึ่งคนเดียว ไม่ต้องไปหลายคน เอาสิ่งกลัวตายเหล่านี้หละ เป็นอาจารย์ใหญ่ ถ้าเสืออยู่ใกล้ร้องดัง ๆ นั้นหละยิ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ เร่งเข้าหละ ทั้งช้างทั้งเสือหละ ไม่มีที่พึ่ง พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างเดียว จิตใจมันก็หดตัวเข้ามานะ มันกลัวตาย หนักเข้าเป็นสมาธิได้ง่ายนะ บางคนต้องทำอย่างนั้น..
หลวงปู่ศรี มหาวีโร เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ
ความเย็นของศีล ของธรรม นี่แหละ จะเป็นเครื่องดับทุกข์ทั้งหลายได้ดีที่สุด . หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
"ผิดกันเฉพาะหัวใจ" . ธรรมเป็นของมีอยู่แล้วดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์กาลไหนๆ จนคำนวณไม่ได้เลยว่านานเท่าไร แต่ไม่มีผู้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหามาเป็นประโยชน์ หรือเป็นสิริมงคลมหามงคลแก่ตน ธรรมก็เหมือนกับแร่ธาตุต่างๆ ฝังจมอยู่ในแผ่นดิน เหยียบไปย่ำมาอยู่อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ผู้มีความฉลาดคุ้ยเขี่ยขุดค้นเอาแร่ธาตุต่างๆ มาก็มาเป็นประโยชน์มากมาย นี่แร่ธรรม ธรรมธาตุก็อย่างนั้นเหมือนกัน มีอยู่อย่างนั้นเหมือนสิ่งอื่นๆ ที่ไร้ค่าไร้ราคา อันนี้มีค่ามีราคามีอยู่เช่นเดียวกัน แต่ผู้โง่ผู้ฉลาดมีสองประเภท ผู้โง่ก็หาเอาตั้งแต่มูตรแต่คูถ ผู้ฉลาดก็หาเอาตั้งแต่สมบัติเงินทองที่ดีๆ อรรถธรรมนั่นละ . สมบัติเงินทองแปรได้สองสภาพ แยกไปทางดีก็ได้ พาให้เจ้าของล่มจมก็ได้ ถ้าเจ้าของประมาทเสียอย่างเดียว ถ้าเจ้าของฉลาดสิ่งนี้หนุนให้ขึ้นถึงนิพพานได้นะไม่ใช่ธรรมดา แปรได้ทั้งนั้น ของต่ำให้เป็นของสูงได้ ของสูงกลับมาเป็นของต่ำ กดเจ้าของจมลงในนรกก็มี อันนี้ไม่แยกออกละ ให้ไปแปลเอา
.............................................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
" คำว่า ไตรลักษณ์อย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณา เช่นเราพิจารณา ในส่วนร่างกาย จัดว่าเป็นไตรลักษณ์ส่วนหยาบ พิจารณาในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จัดเป็นไตรลักษณ์ส่วนกลาง พิจารณาส่วนเรื่องจิตเป็นรากเหง้า แห่งวัฏฏะจริงๆ แล้ว นั่นคือ ไตรลักษณ์ส่วนละเอียด "...
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน...
"คุณสมบัติของผู้ที่จะบรรลุธรรม"
ถ้ามีปัญญาที่สามารถตัดกิเลสได้ก็บรรลุได้ ถ้าขจัดความอยากต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้ ก็บรรลุธรรมได้ แต่ส่วนใหญ่มันจะตัดไม่ได้ถ้าไม่มีสมาธิ เพราะถ้าไม่มีสมาธิ ใจจะไม่มีกำลังที่จะไปตัดกิเลส ถึงแม้จะมีมีด แต่ไม่มีกำลังไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ก็ตัดไม่ได้ แต่ถ้ามีเรี่ยวมีแรงแล้วมีมีด ก็จะสามารถฟันกิเลสฆ่ากิเลสให้ตายได้ ตอนนี้เรามีปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรม แต่ใจของเรานี้อ่อนปวกเปียกเหมือนเด็กทารก ไม่มีกำลังที่จะเอาปัญญาเอามีดของพระพุทธเจ้านี้ไปฆ่ากิเลสได้ เราจึงต้องมาฝึกสมาธิกัน เพื่อทำให้จิตนี้แข็งแรงเหมือนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ใช่เป็นเด็กทารก คนที่ไม่มีสมาธินี้ก็เป็นเหมือนเด็กทารก ใจจะอ่อนปวกเปียก จะโลเล จะไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ แต่ถ้ามีสมาธิแล้วจะเป็นคนหนักแน่น มีหลักมีเกณฑ์ มีพลังที่จะทำอะไรต่างๆได้
ดังนั้น การฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างเดียวถ้าไม่มีสมาธินี้ ยากที่จะบรรลุได้ ผู้ที่บรรลุจากการฟังเทศน์ฟังธรรมนั้นส่วนใหญ่เขามีสมาธิกันแล้ว เช่นในครั้งพุทธกาล ครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้กับบรรดานักบวชทั้งหลาย พวกนี้เขามีฌานมีสมาธิกันแล้ว แต่เขาไม่มีปัญญา พอเขาได้ปัญญาจากพระพุทธเจ้า เขาก็เอาปัญญานั้นมาฆ่ากิเลสได้ทันทีเลย บรรลุธรรมได้ในขณะที่ฟัง เพราะเขามีสมาธิแล้ว เขามีกำลังที่จะเอามีดที่พระพุทธเจ้าหยิบยื่นให้ไปฆ่ากิเลสของเขา แต่พวกเรานี้ตรงกันข้าม พวกเรามีมีด เราฟังเทศน์ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เรารู้ว่ากิเลสคืออะไร แต่เราไม่มีกำลังที่จะไปฆ่ามัน
ดังนั้น เราต้องมาฝึกสมาธิกันก่อน คือถ้าเราฟังเทศน์แล้วไม่บรรลุ เรายังตัดกิเลสไม่ได้ ก็แสดงว่าเราไม่มีกำลังไม่มีสมาธิ เราก็ต้องมาฝึกสมาธิกัน ถ้าเรามีสมาธิแล้วเราอยากเอาธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราเอามาใช้ เราก็จะสามารถเอามาฆ่ากิเลสตัณหาต่างๆให้หมดไปจากใจได้ เราก็จะสามารถบรรลุธรรมขั้นต่างๆ ได้.
จาก "หนังสือสติธรรม"
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
"การออกจากสมาธิภาวนา"
....เวลาจะออกจากที่ภาวนา พึงออกด้วยความมีสติประคองใจ ถ้าจิตยังสงบอยู่ในภวังค์นั้นมิใช่ฐานะจะบังคับให้ถอนขึ้นมาแล้วออกจากที่ภาวนา
แม้ถึงเวลาจะต้องไปทำงานการหรือออกบิณฑบาตก็ไม่ควรรบกวน ปล่อยให้รวมสงบอยู่จนกว่าจะถอนขึ้นมาเอง งานภายนอกแม้จำเป็นก็ควรพักไว้ก่อนในเวลาเช่นนั้น เพราะงานของภวังคจิตสำคัญกว่ามากมายจนนำมาเทียบกันไม่ได้ หากไปบังคับให้ถอนขึ้นมาทั้งที่จิตยังไม่ชำนาญในการเข้าการออก จะเป็นความเสียหายแก่ิตในวาระต่อไป คือจิตจะไม่รวมสงบลงได้อีกดังที่เคยเป็น แล้วจะเสียใจภายหลัง เพราะเรื่องทำนองนี้เคยมีเสมอในวงปฏิบัติ จึงควรระมัดระวังอย่าให้เรื่องซ้ำรอยกันอีก
การออกถ้าจิตรวมสงบอยู่ก็ต้องออกในเวลาที่จิตถอนขึ้นมาแล้วหรือเวลาที่รู้สึกเหนื่อย ขณะออกควรมีสติ ไม่ควรออกแบบพรวดพราดไร้สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นธรรมประดับตัวตามกิริยาที่เคลื่อนไหว ก่อนออกควรนึกถึงวิธีทำที่ตนเคยได้ผลในขณะที่ทำสมาธิก่อนว่าได้ตั้งสติกำหนดจิตอย่างไร นึกคำบริกรรมบทใด ช้าหรือเร็วขนาดใด ใจจึงรวมสงบลงได้ หรือเราพิจารณาอย่างไร ด้วยวิธีใดใจจึงมีความแยบคายได้อย่างนี้ เมื่อกำหนดจดจำทั้งเหตุและผลที่ตนทำผ่านมาได้ทุกระยะแล้ว ค่อยออกจากสมาธิภาวนา
การที่กำหนดอย่างนี้เพื่อวาระหรือคราวต่อไ จะทำให้ถูกต้องตามรอยเดิมและง่ายขึ้น.
.
"พระหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน"
มนุษย์หรือสัตว์ก็มีจิตอันเดียว ผู้ไม่เคยเป็นญาติพี่น้องกันไม่มีในโลก บางทีเขาเคยเกิดเป็นมนุษย์ เคยบวช เคยเป็นเพื่อน จิตอันเดียวกันนี่แหละแต่เสวยวิบากกรรมต่างกัน ทำให้ชาตินี้เขาเกิดมาเป็นช้าง แต่ก่อนเขาคงมีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านพ่อลี คงเป็นศิษย์อาจารย์กันมา อย่าว่าแต่ช้างเลย พวกเรานี้เกิดตายเป็นสัตว์มาสักเท่าไหร่ มีใครรู้เห็นได้บ้าง พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้มีศีลธรรม ให้รักษามนุษย์สมบัติเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะตายไปเกิดเหมือนสัตว์ทั้งหลาย ให้สังเกตง่ายๆนะ ถ้าจิตใจวุ่นวาย จะตายไปเกิดเป็นสัตว์ทันที . หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี คัดจากหนังสือ ๙๐ ปี เศรษฐีธรรม
"การกำหนดลมจะตามด้วยพุทฺโธ เป็นคำบริกรรมกำกับลมหายใจเข้าออกด้วยก็ได้ เพื่อเป็นการพยุงผู้รู้ให้เด่น เมื่อชำนาญในลมแล้วต่อไปทุกครั้งที่กำหนดจงกำหนดลงที่ลมหายใจท่ามกลางอกหรือลิ้นปี่โดยเฉพาะ"
คัดจากหนังสือ ปัญญาอบรมสมาธิ แต่งและเรียบเรียงโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๑
"อานาปานสติภาวนา ถือลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นอารมณ์ของใจ มีความรู้และสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก เบื้องต้นการตั้งลมควรตั้งที่ปลายจมูกหรือเพดานเพราะเป็นที่กระทบลมหายใจ พอถือเอาเป็นเครื่องหมายได้ เมื่อทำจนชำนาญ และลมละเอียดเข้าไปเท่าไรจะค่อยรู้หรือเข้าใจความสัมผัสของลมเข้าไปโดยลำดับ จนปรากฏลมที่อยู่ท่ามกลางอกหรือลิ้นปี่แห่งเดียว ทีนี้จงกำหนดลม ณ ที่นั้น ไม่ต้องกังวลออกมากำหนดหรือตามรู้ลมที่ปลายจมูกหรือเพดานอีกต่อไป
การกำหนดลมจะตามด้วย พุทฺโธ เป็นคำบริกรรมกำกับลมหายใจเข้าออกด้วยก็ได้ เพื่อเป็นการพยุงผู้รู้ให้เด่น จะได้ปรากฏลมชัดขึ้นกับใจ เมื่อชำนาญในลมแล้ว ต่อไปทุกครั้งที่กำหนด จงกำหนดลงที่ลมหายใจท่ามกลางอกหรือลิ้นปี่โดยเฉพาะ ทั้งนี้สำคัญอยู่ที่ตั้งสติ จงตั้งสติกับใจ ให้มีความรู้สึกในลมทุกขณะที่ลมเข้าและลมออก สั้นหรือยาว จนกว่าจะรู้ชัดในลมหายใจ มีความละเอียดเข้าไปทุกที และจนปรากฏความละเอียดของลมกับใจเป็นอันเดียวกัน"
"กองขยะ"
ถาม : เจอเพื่อนร่วมงานเห็นแก่ตัวเอาเปรียบเราจะปรับตัวอย่างไรดีคะถึงจะผลทุกข์ค่ะ
พระอาจารย์ : อ๋อก็เหมือนกับเราเห็นกองขยะ เราทำยังไงเมื่อเราเจอกองขยะ เราก็เดินหนีไปสิ ถ้าอยู่ใกล้ก็ปิดจมูกเสีย คุณไปเปลี่ยนขยะให้เป็นของดีได้หรือเปล่า ใช่ไหม ขยะก็เป็นขยะ ก็ปล่อยเขาเป็นขยะไป คนไม่ดีก็ปล่อยเขาไม่ดีไป ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะต้องไปวุ่นวายกับเขา เรื่องของเราคือ อย่าทำใจให้เราวุ่นวายกับเขา เท่านั้น
สนทนาธรรม
วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
กล่าวเรื่องต่อไปอีก ปฏิปทาของหลวงปู่(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)ทอดสะพานให้ลูก ๆ หลาน ๆ ยังมีอยู่อีกมากมายนัก การเรี่ยไรแผ่ ๆ ขอ ๆ ในทางตรงและทางอ้อมและจัดงานขึ้นในวันเพื่อหารายได้สมทบการก่อสร้างหรือซ่อมแซมที่เกี่ยวกับตัวเงิน ๆ ไม่มีในขันธสันดานขององค์หลวงปู่เลย ของรางของขลังไม่มีในปฏิปทาเลย รูปเหรียญ ขายพระเล็กพระน้อย พุทธาภิเษกก็ไม่มีในปฏิปทาขององค์ท่านเลยนา วิชาปลุกเสก แกะหูแกะตา แคะหู แคะตา ให้พระพุทธรูปหรือทำพิธีบวชให้พระพุทธรูปก็ไม่มีในสันติวิธีขององค์ท่าน
องค์ท่านกล่าวว่า "สมมติเป็นพระพุทธรูปแล้วก็เสร็จกัน เราดีอย่างไรจึงจะไปบวชให้องค์ท่าน องค์ท่านบวชก่อนเราแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปปลุกท่านให้ตื่น ท่านตื่นก่อนเราเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปแคะหูแคะตาให้องค์ท่าน ตานอกตาในหูนอกหูในขององค์ท่านดีกว่าเราแล้ว จะภิเษกภิษันให้องค์ท่านเป็นอะไรอีก องค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเต็มภูมิแล้ว จะเอาไสยศาสตร์ไปพอกไปทาองค์ท่านทำไม นั้นแหละตัวบาป นั้นแหละขุมนรกขุมมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเต็มภูมิแล้วยังสำคัญว่าเห็นชอบ เข้าข้างตัวแต่ไม่เข้าข้างธรรมวินัย เพียงเท่านี้ก็ยังไม่รู้จักผิดรู้จักถูกแล้ว ธรรมอันละเอียดลออก็ยังมีขึ้นไปกว่านี้มาก ไฉนจะรู้ได้"
จาก ชีวประวัติ พระหล้า เขมปตฺโต
"ธรรมะแสดงอยู่ทุกเมื่อ เกิดอยู่เสมอ ผู้มีปัญญา ย่อมโอปนยิโก คือ น้อมเข้ามาใส่ตัวเอง น้อมเข้ามาพิจารณาในตัวเอง เมื่อพิจารณามากเข้า ก็จะปัจจัตตัง คือ รู้ได้เฉพาะตน"
-:-หลวงปู่ท่อน ญาณธโร-:-
"คนที่เขาว่าเราไม่ดีนั้น เขาก็ไม่ได้มาทำให้เราดีให้เราชั่ว เราเองเป็นคนที่ทำให้เราดี เราเองเป็นคนที่ทำให้เราชั่ว"
-:- หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล -:-
"ทำอะไรให้ทำจริง อย่าทำเล่น... ถ้าเราทำเล่น.. เราก็ได้ของเล่น ถ้าเราทำจริง.. เราก็ได้ของจริง"
#หลวงปู่มั่น
|