นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 9:32 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เมตตาภาวนา
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 24 ส.ค. 2017 7:26 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
...ถ้ามนุษย์เรา
ทำเหมือน..เดรัจฉาน
ก็ไม่ต่างจาก..เดรัจฉาน
.
...ถ้าละเลยหน้าที่
"ไม่ยอมเลี้ยงดูพ่อแม่"
ก็เหมือนกับ..เดรัจฉาน
ร่างกายเป็นมนุษย์
แต่ใจเป็น..เดรัจฉาน
.
...มนุษย์นี้
สูง กว่าเดรัจฉาน เพราะว่า
มีปัญญามากกว่าเดรัจฉาน
"รู้ผิดถูกดีชั่ว รู้ที่สูงรู้ที่ต่ำ"
..........................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 21/8/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







คนมีธรรม มิใช่อ่านเก่ง จำเก่ง พูดเก่ง
แต่ต้องสามารถนำธรรมไปปรับปรุงแก้ไข
ความคิด การพูด และการกระทำของตนให้ดีขึ้น
จนตัวเองรู้นั่นแหละของจริง
.
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน








"ความอยากทำให้เราอยู่ไม่เป็นสุข"

ถ้าอยากจะดับความอยากอย่างถาวรนี้ ต้องใช้ปัญญา ปัญญานี้จะเป็นตัวที่จะดับความอยากได้อย่างถาวร แต่ปัญญาจะดับกิเลสได้ก็ต้องมีสติเป็นผู้คอยสนับสนุนให้กำลัง สติจะให้กำลัง ปัญญาจะเป็นคนบอกว่าการทำตามความอยากนี้เป็นอันตราย ถ้าไม่มีปัญญาก็จะไม่รู้ว่าการทำตามความอยากนี้เป็นอันตราย แทนที่จะคิดว่าความอยากนี้เป็นศัตรู กลับไปคิดว่าเป็นมิตร ก็เลยเอามาเลี้ยงมัน มาดูแลมัน แล้วมันก็มากัดเราทีหลัง

แต่ถ้ามีปัญญา ปัญญาจะบอกว่าความอยากนี้เป็นข้าศึกศัตรูหมายเลขหนึ่ง พอมันโผล่มาเมื่อไหร่ ต้องหยุดมันเมื่อนั้น อย่าไปทำตามมันทันที มันอยากจะดื่มสุราต้องไม่ดื่มทันที อยากจะดื่มกาแฟต้องไม่ดื่มทันที อยากจะกินในเวลาที่ยังไม่ถึงเวลากิน ก็อย่าไปกิน อยากจะดูอยากจะทำอะไรที่ไม่จำเป็นจะต้องดูต้องทำก็อย่าไปดู ถ้าดูแล้วมันติด เข้าใจไหม มันต้องดูอยู่เรื่อยๆ ฟังอยู่เรื่อยๆ กินอยู่เรื่อยๆ ดื่มอยู่เรื่อยๆ เวลาไม่ได้ดู ไม่ได้ฟัง ไม่ได้กิน ไม่ได้ดื่ม ก็จะทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ทำมันเราจะไม่ทุกข์ พอเราไม่ทำตามความอยากแล้ว ความอยากมันก็จะหายไป แล้วความอิ่มความพอก็จะเกิดขึ้นมาในใจ

อันนี้เป็นหน้าที่ของปัญญา เราต้องหมั่นสอนใจให้เห็นโทษของการทำตามความอยาก ให้เห็นคุณของการไม่ทำตามความอยาก เวลาไม่มีความอยากแล้วสบาย อย่างตอนนี้น่ะ เรานั่งตรงนี้ได้เพราะอะไร เพราะเราไม่มีความอยากจะไปทำอะไร แต่ถ้ามีความอยากปั๊บนี้นั่งไม่ไหวแล้ว คนที่ติดบุหรี่นี้สมมติถ้าติดบุหรี่ นั่งอยู่สักพักนึงอยากจะสูบบุหรี่นี้ขยับซ้ายขยับขวา เดี๋ยวทนไม่ไหวก็ลุกไป เพราะอยาก แต่คนตอนนี้ถ้าไม่มีความอยากก็นั่งเฉยๆ ได้สบาย ความอยากนี่แหละเป็นตัวที่ทำให้เราอยู่ไม่เป็นสุข ทำให้เราไม่อิ่มไม่พอ ทำให้เราหิวอยู่เรื่อยๆ ความอยากก็คือความหิวนั่นเอง.

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต








"ร่างกายเป็นเพียงองค์ประกอบ"

ถาม : มีคนบอกว่าการปฏิบัติธรรมต้องมีร่างกายครบ ๓๒ การทำหมันทำให้ร่างกายเราไม่สมบูรณ์เต็มร้อย ปฎิบัติธรรมจะไม่ก้าวหน้าจริงไหมคะ

พระอาจารย์ : อ๋อ ไม่จำเป็นหรอก การปฏิบัติธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับร่างกาย ขึ้นอยู่กับสติ ขึ้นอยู่กับสมาธิ ขึ้นอยู่กับปัญญา คนพิการ คนตาบอด คนหูหนวกก็ ปฏิบัติได้ แต่คนหูหนวกนี้ถ้าเขารู้วิธีปฏิบัติ ถ้าเขารู้จักวิธีเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญา เขาก็ปฏิบัติได้ เพราะการปฏิบัตินี้ไม่ได้เกี่ยวกับร่างกาย ร่างกายเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้นเอง มีร่างกายก็ดี บางทีจะได้ปฏิบัติง่ายหน่อย ปฏิบัติได้ต่อเนื่อง แต่ถ้ารู้จักวิธีปฏิบัติแล้ว ร่างกายจะมีหรือไม่มีก็ไม่สำคัญ อยู่ที่มีสติ มีสมาธิ มีปัญญาหรือเปล่าเท่านั้นเอง.

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







ชีวิตนี้เป็นประดุจผ้าขี้ริ้ว เป็นเหมือนถังขยะที่คอยเก็บอานิสงส์ของกรรมดีชั่ว แล้วก็ให้ผลแก่เราเป็นผู้เสวย ถ้าเรานำชีวิตที่เราพิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว น้อมพิจารณาให้เกิดธรรมะขึ้นภายในใจ ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั่นแหละจะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที เพราะร่างกายของคนนี้ไม่มีค่า มันมีค่าอยู่ที่หัวใจที่มีธรรม รูปธรรมทุกๆ อย่างจึงเป็นผ้าขี้ริ้ว นามธรรมคือหัวใจ ที่ฝึกปฏิบัติ จนได้เห็นธรรมตามความสามารถ นั่นแหละเป็นทอง คือธรรมสมบัติอันล้นค่า ปรากฏเด่นขึ้นมาเป็นสักขีพยาน
.
แต่ถ้าพวกเราไม่สนใจในการฝึกจิตรักษาใจ สร้างคุณงามความดีแล้วละก็ คนประเภทนี้ก็อาจเรียกได้ว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อก้อนขี้หมา” เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่รู้จักคุณค่าของคนแล้วยังไม่พอ ยังกลับไม่รูจักค่าของคุณงามความดีด้วย คือการปฏิเสธความดี แต่จิตนี้มั่งมีไปด้วยความชั่วเสีย เกิดเป็นคนแต่ใจไพล่ไปในทางเปรตผี รูปร่างแบ่งแยกมนุษย์ให้รู้ว่าสวยขี้เหร่อย่างใด ใจก็แบ่งแยกมนุษย์เรื่องดี-ชั่ว สะอาด-สกปรก ได้อย่างนั้นเหมือนกัน
.
เกิดเป็นคนเหมือนกันแต่ใจมันไม่เหมือนกัน ใจนี่แหละทำให้คนต่างกัน ไม่ใช่ร่างกาย ทรัพย์สมบัติเงินทองของนอกกาย
.
พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา แต่พระทัยของพระองค์เป็นโลกวิทู รู้แจ้งโลก ที่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปก็คือพระทัยของพระองค์ที่บริสุทธิ์นั่นแหละ พระอรหันต์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ท่านก็เป็นคนเหมือนพวกเรา แต่ท่านไม่เหมือนพวกเราในเรื่องหัวใจที่ใสบริสุทธิ์ คือเป็นคนเหมือนกันแต่หัวใจมันต่างกัน ท่านผู้ประเสริฐมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเหล่านี้ ท่านเป็นผู้ฝึกตนมาดี เก็บเกี่ยวเอาทุกๆ เรื่องมาสอนตน ในที่สุดท่านก็กลายเป็นผู้ประเสริฐขึ้นมาได้ท่ามกลางโลกที่โสมม
.
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท
จากหนังสือ ประวัติพระครูสุทธิธรรมรังษี
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี






ที่พึ่ง"

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องที่พึ่งทางใจของพวกเราว่ามีอยู่สองส่วนด้วยกัน ส่วนที่หนึ่งก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เรากล่าวถึงว่าพุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณังคัจฉามิ อันนี้เป็นที่พึ่งส่วนที่หนึ่ง ส่วนที่สองก็คือ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน นี่คือที่พึ่งทางใจของพวกเรา เหมือนกับที่พึ่งทางร่างกาย ร่างกายก็มีที่พึ่งสองส่วนด้วยกัน ส่วนที่หนึ่งก็คือบิดามารด เวลาที่เราเกิดมาใหม่ๆ เรายังพึ่งตนเองไม่ได้เราก็ต้องมีบิดามารดาเป็นผู้ที่เลี้ยงดูเรามาให้เราเจริญเติบโต พอเราโตจนสามารถพึ่งตนเองได้แล้ว เราก็ใช้ที่พึ่งส่วนที่สองเป็นที่พึ่งคือพึ่งตนเอง เราก็ไปทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเราได้ แต่ก่อนที่เราจะโตขึ้นมาเป็นที่พึ่งของเราได้ เราก็ต้องอาศัยบิดามารดาเป็นที่พึ่ง ถ้าบิดามารดาไม่เลี้ยงดูเราเราก็คงจะต้องตายไปถ้าไม่มีคนอื่นมาเลี้ยงดูแทนบิดามารดา ฉันใดที่พึ่งทางใจของพวกเราก็เป็นแบบเดียวกัน

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เป็นเหมือนบิดามารดาของพวกเรา ตอนที่เรายังไม่สามารถที่จะเป็นที่พึ่งของตนเองได้ ตอนนี้เรายังไม่สามารถที่จะทำให้ใจของเราหลุดพ้นจากความทุกข์ต่างๆ ได้ เราจึงยังถือว่าเป็นเหมือนเด็กทารกอยู่ เราจึงต้องอาศัยบิดามารดาทางจิตใจคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นผู้เลี้ยงดูเราด้วยการอบรมสั่งสอนให้พวกเราศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย แล้วนำเอาพระธรรมคำสอนไปปฏิบัติ เราก็จะได้บรรลุธรรมขั้นต่างๆ บรรลุพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ พอเราได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นที่หนึ่ง เราก็จะสามารถที่จะดับความทุกข์ต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจของเราให้หมดไปได้ตามลำดับ พอเราได้เป็นพระอริยบุคคลแล้วเราก็จะมีที่พึ่งเป็นตัวของเรา เป็นที่พึ่ง เราก็จะมี อัตตา หิ อัตตโน นาโถ เราก็ไม่ต้องพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกต่อไป

พระโสดาบันนี้เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่หนึ่ง พอท่านได้บรรลุแล้วนี้ท่านสามารถที่จะปฏิบัติไปจนถึงขั้นที่สูงสุดได้ คือขั้นพระอรหันต์ได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เพราะท่านมีดวงตาเห็นธรรม ท่านมีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อยู่ในใจแล้ว ถ้าท่านตายไปก่อนที่จะบรรลุถึงขั้นพระอรหันต์ ท่านไปเกิดที่ไหนท่านก็สามารถที่จะปฏิบัติต่อได้ ท่านสามารถเป็นที่พึ่งของตนเองได้ สามารถสั่งสอนตนเองให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิงตามลำดับต่อไป นี่คือเรื่องของที่พึ่งทางใจของพวกเรา ตอนนี้เรายังไม่สามารถที่จะดับความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาภายในใจของพวกเราได้ เราจึงต้องพึ่งผู้ที่รู้จักวิธีดับความทุกข์ต่างๆ ให้เป็นผู้สั่งผู้สอนเรา แล้วเราก็น้อมนำเอาไปปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติได้เราก็จะสามารถดับความทุกข์ใจต่างๆ ให้หมดสิ้นไปได้ เราก็จะไม่ต้องพึ่งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อีกต่อไป.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๐

"ที่พึ่งทางใจ"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต








...ถ้าเราอยากจะมีแต่วันสุข ไม่มีวันทุกข์
เราก็ต้องสอนใจให้ "รู้เฉยๆ"

ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าดี หรือไม่ดี
เขาจะดีก็เป็นเรื่องของเขา
เขาจะไม่ดีก็เป็นเรื่องของเขา

เขาไม่มีวันที่จะทำร้ายเราได้
เขาไม่มีวันที่จะทำให้เราดีขึ้นมาได้
เขาไม่มีวันที่จะทำให้เราเลวลงไปได้

สิ่งที่จะทำให้เราเลวหรือดีขึ้นไป
ก็คือ "อยู่ที่ตัวเราเอง" อยู่ที่ว่า
เราหยุดความวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือเปล่า
หยุดความอยากได้หรือเปล่า

ถ้าเราหยุดได้
เราก็จะดี เราก็จะสบาย
ถ้าเราหยุดไม่ได้
เราก็จะทุกข์ เราก็จะวุ่นวาย.
.......................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 20/7/2556
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






“ครูบาอาจารย์ท่านชมก็นับว่าเป็นสิริมงคลดี”
.
“อย่าว่าแต่ชมเลย แม้ท่านติก็นับว่าเป็นสิริมงคลดี
เพราะทั้งการชมการตำหนิ ล้วนเป็นไปด้วยเหตุผล
อันประกอบด้วยธรรมทั้งนั้น”
.
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท








" ไม่มีอำนาจร้ายแรงใด จะทานอำนาจแห่งเมตตาได้ นี้เป็นสัจจะ คือ ความจริงที่จะเป็นจริงเสมอไป ไม่มีเปลี่ยนแปลง

พลังร้ายภายนอกยิ่งแรง ยิ่งต้องใช้พลังเมตตาที่แรง เมื่อใดพลังเมตตาแรงพอก็จะสยบพลังร้ายได้สิ้น "

พระโอวาท : สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก








"อภิญญาไม่สามารถสู้กิเลสได้"

ถาม : ไม่เข้าใจว่าทำไมพระปฏิบัติดีน่าเลื่อมใสในระดับหนึ่ง ต้องมาสึกเพราะสตรีคนเดียว

พระอาจารย์ : เพราะว่าท่านยังไม่ได้เจริญอสุภกรรมฐาน ท่านอาจจะอยู่ในขั้นสมาธิ อาจจะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อภิญญานี้ไม่สามารถที่จะสู้กิเลสได้ เวลากิเลสมันออกฤทธิ์นี้ต่อให้เหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ร่วงได้ ร่วงลงมาได้ อย่างที่มีนิทานในพุทธประวัติมั้งที่ท่านเล่าว่ามีฤาษีรูปหนึ่ง ท่านเก่งทางด้านสมาธิ ท่านมีอภิญญาเหาะเหินเดินอากาศได้ มีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งเคารพนับถือ เวลาเข้าวังท่านก็บินเข้าไป เหาะเหินเดินอากาศเข้าวัง วันหนึ่งเหาะผ่านทางห้องบรรทมของพระราชินี เห็นท่านเปลือยกายอยู่ ก็เกิดกามารมณ์ขึ้นมา แล้วก็ไปขอเสพกามกับท่านหรืออย่างไรนี่ แล้วก็ไปร่วมเสพกัน พระเจ้าแผ่นดินทราบทีหลังก็เสียพระทัยเสียศรัทธา อันนี้ก็เป็นเพราะว่าเอาแต่สมาธิไม่เอาทางปัญญา คือถ้าได้สมาธิชำนาญทางสมาธิแล้ว ต้องออกทางปัญญา พิจารณาอสุภะ ถ้าเป็นนักบวช พิจารณาร่างกาย พิจารณาดินน้ำลมไฟ อาการ ๓๒ เพื่อให้เห็นว่าร่างกายนี้แท้จริงแล้วไม่น่าดูน่าชม น่าดูแต่เฉพาะภายนอก แต่พอมองเข้าไปใต้ผิวหนัง ก็จะเห็นสิ่งที่ไม่น่าดูน่าชม มันก็จะไม่หลง มันก็จะตัดกามารมณ์ได้.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต








พระให้เร่งภาวนานะ ที่จะให้รอว่างานการเบาบางแล้วค่อยภาวนา ตายทิ้งเปล่าๆ นะ เห็นไหมหนังสืออาจารย์เจี๊ยะท่านเขียนไว้นั่น ขึ้นเบื้องบนว่า สู้ตาย แล้วท่านว่า ไอ้ห่า.มึงเป็นพระให้เขากราบไหว้ แล้วมึงภาวนานั่งสู้ญาติโยมแก่ๆ ไม่ได้ แล้วมึงจะมาบวชทำไม. ไปอ่านดูก็รู้ นี่ไม่ใช่ความหยาบนะ โลกเขาถือเป็นความหยาบทั้งหมด แต่ธรรมถือเป็นธรรมบทหนักกระเทือนใจ กระทุ้งเข้าไปในใจให้ใจได้ตื่นตัว ความหมายว่างั้น นั่นละภาษาของธรรมกับภาษาของโลกจึงสวนทางกัน
.
โลกเขามีแต่นิ่มนวลอ่อนหวาน อะไรๆ นี้หวานมากกิเลส กิเลสหวานมาก แล้วพวกบ้ากิเลสก็ชอบมาก ถ้าเป็นธรรมแล้วอย่างอาจารย์เจี๊ยะนั่น นั่นละเราถึงใจนะ คือการปฏิบัติตัวของเราก็อย่างนั้น ท่านก็ปฏิบัติตัวของท่านมาอย่างนั้น ท่านจึงนำอย่างนี้ออกมา ท่านได้ผลเพราะเหตุนี้ เป็นอย่างนั้นนะ ขึ้นไอ้ห่า.... เราถึงใจเลย คือเคยอยู่ในสนามรบกับกิเลสมาแล้วแบบนี้ จะไปอ่อนๆ แอๆ ไม่ได้นะ ต้องเด็ดกันๆ เด็ดจนกิเลสเป็นของดีเยี่ยมแล้วเรียกว่าธรรม ไม่เด็ดกับกิเลสก็เป็นกิเลสไปด้วยกันเลย ใช่ไหมล่ะ พวกนี้จะเป็นกิเลสไปด้วยกันหรือจะเด็ดแบบว่า ไอ้ห่า....เราฟังแล้วเราถึงใจนะ นี่ท่านเป็นภาษาธรรมล้วนๆ แสดงออกมาจากความใจเด็ดของท่าน เด็ดอันนี้เด็ดฆ่ากิเลสของท่าน ได้ผลมาแล้วออกมาใช้

......................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๘
"ตัวทำลายศาสนาทั้งทางอ้อมและทางตรง"







หน้าที่ปลูก หน้าที่ตาย
.
มีครั้งหนึ่งสมัยก่อนองค์หลวงปู่ลี ได้นำพาลูกศิษย์ไปปลูกต้นไม้ไว้จำนวนมากมายถวายหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เป็นที่รู้ดีกันว่าสภาพดินแถวนั้นไม่ค่อยเหมาะกับการปลูกต้นไม้ใหญ่ หรือไม้ยืนต้น ชาวบ้านจะนิยมทำนาปลูกข้าว ปทุมธานีไม่ค่อยมีสวนผลไม้ เพราะดินเปรี้ยว
.
สังเกตดูเวลาปลูกต้นสัก ต้นตะเคียน ฯลฯ พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งต้นไม้ก็ตาย สาเหตุเพราะรากมันลงไปถึงดินเปรี้ยว รากมันเน่าก็ตายหมดเลย ตายทุกปีทุกครั้ง ปลูกต้นไม้ไม่รู้กี่หนก็ตาย จากนั้นต่อมาองค์หลวงปู่ก็ไม่ได้ลดละความพยายาม ท่านก็ได้พาลูกศิษย์ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนลูกศิษย์ที่ติดตามไปช่วยปลูกต้นไม้เกิดความท้อใจและเกิดความสงสัยในใจ จึงได้ขอโอกาสกราบเรียนถามองค์หลวงปู่ลี เพื่อให้เกิดความกระจ่างว่า
.
ลูกศิษย์ : ปลูกไปแล้วก็ตาย ไม่ทราบจะปลูกทำไมครับผม
หลวงปู่ลี : หน้าที่ปลูกเป็นหน้าที่ของเรา หน้าที่ตายเป็นหน้าที่ของต้นไม้
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
จากหนังสือ ๙๐ ปี เศรษฐีธรรม








"กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง
กรรมดีให้ผลดีจริง กรรมชั่วให้ผลชั่วจริง
ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
ผู้ไม่ได้ทำ หาต้องได้รับไม่"

-:-สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ-:-







"คนเถียงพ่อ เถียงแม่ จะเอาดีไม่ได้
ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่ไม่ดี
ก็ทำมาหากินไม่ขึ้นแล้ว

ต้องแก้ปัญหาก่อน คือถอนคำพูด
ถอนความคิด ไปขอขมาลาโทษ
กรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกิน คุณพ่อคุณแม่
ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
ขอให้คุณพ่อคุณแม่ อโหสิกรรมให้แก่ลูกด้วย

แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่
คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูต่อพ่อแม่''

-:-หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม-:-






เห็นคนเห็นสัตว์ เห็นหมาเห็นแมวเนี่ย...
ให้เห็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
พระอรหันต์องค์หนึ่งหรือใครองค์หนึ่ง
ซึ่งบริสุทธิ์ นั่นคือจิตของเขา
ว่าผลที่สุดแล้วเขาเป็นอย่างนั้น

ขณะนี้เขาพลาดพลั้ง
เขาอยากเรียนหลักสูตรสัตว์นรก
สัตว์เดรัจฉาน เป็นสิทธิ์ของท่าน
เพราะท่านยังไม่จบหน่วยกิตอันนี้
เข้าใจมั้ยลูก?

ท่านต้องทำของท่าน
แต่ผลสุดท้ายท่านต้องจบอันนี้
เข้าไปถึงตรงโน้น
ก็อันนี้เป็นเพียงภาคหนึ่งปางหนึ่ง
ของพระอรหันต์องค์หนึ่งในอนาคต
ท่านอยากสนุกของท่าน
ก็มึงเสือกไปยุ่งอะไรกะท่าน

ถ้าส่งเสริมให้ท่านมีสติ
แล้วเข้าถึงธรรมเร็วๆไม่ได้
มึงอย่าไปผิดศีลตัวเอง ผิดสติตัวเอง
เสียเวลาตัวเองไปด่าว่า
ไปรังแกไปอะไรท่านเลย
เสียเวลาของเราเปล่าๆ
เข้าใจมั้ยลูก?

ให้มองตลอดไปว่า
เมื่อเข้านิพพาน
ทุกองค์เป็นพระอรหันต์หมด

พระครูภาวนาพิลาศ : หลวงตา
จากหนังสือ "เสียงจากถ้ำนารายณ์"
ฉบับที่ ๓๘ หน้า ๙๕ - ๙๖








หลวงปู่ขาว อนาลโย เป็นวิปัสสนาจารย์สายหลวงปู่มั่นภูริทตฺโต ที่มีลูกศิษย์ลูกหานับถือมาก โดยเฉพาะในภาคอีสาน ท่านเป็นพระท่ีเด็ดเดี่ยวมั่นคงในสมาธิภาวนาจนเป็นที่เลื่องลือ ขณะเดียวกันท่านก็เปี่ยมไปด้วยเมตตาอย่างมาก

มีเรื่องเล่าว่าคราวหนึ่งแม่พาเด็ก สามขวบมาถวายอาหาร เช้าให้หลวงปู่ขาว ในฝาบาตรของหลวงปู่ขาวนั้นมีเงาะซึ่งปอกเปลือกเรียบร้อยวางอยู่ใกล้ๆ เด็กไม่เคยเห็นเงาะ ก็สนใจเพราะมันขาว น่ากินดี หลวงปู่จึงถามเด็กน้อยว่าอยากกินหรือเปล่า ถ้าอยากกิน ต้องแลกกันนะเด็กตอบประสาซื่อว่าอยากกินแล้วถามว่าอยาก กินต้องทำอย่างไร

หลวงปู่บอกให้นั่งสมาธิ เด็กถามว่านั่งสมาธิทำอย่างไร หลวงปู่จึงแนะว่า ให้นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้ายหลับตา แล้วภาวนาไปด้วยเด็กน้อยถามต่อว่าภาวนาอย่างไร หลวงปู่ขาวก็บอกว่าให้ภาวนาว่า “หมากเงาะ” (ภาษาอีสานเรียก ลูกเงาะว่าหมากเงาะ) เด็กก็ทำตาม ทีแรกเด็กนั่งไปก็เลียริมฝีปากไปด้วยเพราะ อยากกินมาก แต่พอนั่งสมาธิไปสักพัก จิตก็รวมเป็นหน่ึง รู้สึก สบาย เพราะว่าจิตไปอยู่ที่คำว่าหมากเงาะๆ เด็กรู้สึกสงบเป็นอย่างยิ่งไม่นานเด็กก็ได้ยินเสียงระฆัง พอเปิดตาขึ้นมาปรากฏว่า ไม่มีใครอยู่ในศาลาแล้ว มีแต่หลวงปู่ขาวกำลังนั่งสมาธิอยู่ด้วย ปรากฏว่าตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสามแล้ว เป็นเวลาท่ีพระจะต้อง ออกมาทำกิจส่วนรวม วันนั้นเด็กน้อยนั่งสมาธินานถึงเจ็ดชั่วโมง ท้ังๆ ท่ีไม่เคย นั่งสมาธิมาก่อน และไม่ได้สนใจสมาธิด้วย สนใจอย่างเดียวคือ “หมากเงาะ” หลวงปู่ขาวทราบดีว่าสมาธินั้นไมใช่เรื่องของผู้ใหญ่เท่านั้น เด็กก็ทำได้เพราะเป็นศักยภาพที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ใช่แต่เท่านั้นท่านยังทราบดีว่า อุบายท่ีนำไปสู่สมาธิน้ันมีมากมายหลายอย่าง แม้แต่ความอยากหรือ “ตัณหา” ก็สามารถจูงใจให้เกิดสมาธิได้ หากรู้จักใช้ให้เป็น ไมจำเป็นว่าจะต้องบริกรรมด้วยคำว่า “พุท โธ” หรือ “พองหนอ ยุบหนอ”เท่านั้นทุกอย่างที่เรามีอยู่ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมหากใช้ให้เป็นก็สามารถก่อประโยชน์ หรือสร้างกุศลธรรมให้เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น รวมท้ังกิเลส แม้แต่ความทุกข์ ไม่เพียงช่วยให้เราเข้มแข็งหรือต้ัง อยู่ในความไม่ประมาทเท่านั้น แต่หากเรารู้จักและเข้าใจมันอย่าง แจ่มแจ้ง ก็ช่วยให้เกิดปัญญาจนเป็นอิสระจากความทุกข์ได้







เมตตาภาวนานี้
เป็นข้าศึกแก่พยาบาทโดยตรง
เมื่อเจริญเมตตานี้
ย่อมละพยาบาทเสียได้ด้วยดี
เมตตานี้ชื่อว่า เจโตวิมุตติ์
เพราะเป็นเครื่องหลุดพ้นจากพยาบาทของใจ
มีผลอานิสงส์ยิ่งใหญ่กว่าทานและศีลหมดทั้งสิ้น.
สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทธสิริ)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO