นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 3:23 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การพัฒนาชีวิต
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 22 ส.ค. 2017 7:29 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
"เรื่องของใจ มันพาให้วุ่น คิดโน่นคิดนี่
ไปคิด ไปติด กับคนนั้นคนนี้
มันเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ดูหัวใจตัวเอง

ถ้าดูหัวใจตัวเองแล้ว จะไม่เป็นอย่างนั้น
นี่คิดดูสิ ดีก็อยู่ที่ปากเขา ชั่วก็อยู่ที่ปากเขา
เขาติฉินนินทา ก็อยู่ที่ปากเขาโน่น
เราไม่เอามาเป็นอารมณ์ ก็ไม่มีอะไรๆ ล่ะ

คนที่มีธรรม เป็นอย่างนั้นนะ
มีแต่คนไม่มีธรรมนั่นล่ะ ที่วิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลา
หากอบรมแล้ว จิตมันจะลงพรึ่บเลย
ได้กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
กราบครูบาอาจารย์เท่านั้น"

-:- หลวงปู่ลี กุสลธโร -:-







ถ้าใจเลว วาจาก็เลว การกระทำก็เลวไปด้วย ยิ่งอยู่ในครอบครัวที่ไม่มีศีลยิ่งยุ่งใหญ่ เดี๋ยวนี้คนมุ่งทำทานแต่ไม่รักษาศีล อาตมาจึงว่าละบาปดีกว่าทำบุญนะ ละความเลวของตนเองก่อนดีที่สุด และควรรีบทำอย่างว่องไวด้วย

เรื่องของคนอื่นเลว ยังไม่รู้จริงหรือปลอมเลย เราชอบไปสอดรู้สอดเห็น แถมไปนินทาต่อ สร้างกรรมเพิ่มเข้าไปอีก
เรื่องตัวเราเลวเองกลับทำมองไม่เห็น กิเลสมันไม่ยอมรับ ไม่ยอมแก้ไข มันถึงได้ติดขัด ไม่สว่าง ไม่คล่องตัวในชีวิตสักที
พึงยอมรับเถอะว่า ...ไม่มีใครโกหกตนเองได้ !!!

พระอาจารย์คม อภิวโร







"การพัฒนาชีวิตสองรูปแบบที่เราสามารถที่จะเลือกพัฒนาได้"

ชีวิตของพวกเรานี้มีการพัฒนาได้สองรูปแบบด้วยกัน คือพัฒนาแบบชั่วคราว กับการพัฒนาแบบยั่งยืน การพัฒนาแบบชั่วคราวก็คือการพัฒนาทางร่างกาย ทางลาภ ยศ สรรเสริญ ทางความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อันนี้จะเป็นการพัฒนาแบบชั่วคราว เพราะว่าร่างกายเป็นของชั่วคราวนั่นเอง ร่างกายนี้อยู่ได้ไม่เกินร้อยปีก็ต้องตายไป สิ่งที่พัฒนาร่วมกับร่างกายก็คือ ลาภยศสรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะต้องหมดสภาพไปตามกาลหมดสภาพของร่างกาย

ส่วนการพัฒนาแบบยั่งยืนแบบถาวรก็คือ การพัฒนาทางด้านจิตใจ คือการพัฒนามรรคผลนิพพาน เป็นการพัฒนาที่ยังยืนที่ถาวร เพราะว่าจิตใจนี้เป็นสิ่งที่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ถาวรไม่มีวันสิ้นสุดไม่มีวันตายเหมือนกับร่างกาย

พวกเราส่วนใหญ่นี้จะรู้จักแต่การพัฒนาแบบชั่วคราวกัน คือพัฒนาทางร่างกาย พัฒนาทางลาภยศสรรเสริญ ทางความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน เพราะไม่มีใครรู้จักเรื่องของการพัฒนาแบบยั่งยืนแบบถาวร คือพัฒนาทางด้านจิตใจกัน เราจึงได้แต่สิ่งที่เป็นของชั่วคราว ได้ความสุขชั่วคราวแล้วเดี๋ยวก็ต้องสูญเสียมันไปเวลาที่ร่างกายแก่ลงไปเจ็บไข้ได้ป่วยและตายไปในที่สุด

ถ้าเราไม่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา เราจะไม่รู้เรื่องของการพัฒนาแบบยั่งยืน เรื่องของการพัฒนาจิตใจด้วยการพัฒนามรรคผลนิพพานที่มีพระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก ที่ได้ทรงค้นพบการพัฒนาในรูปแบบนี้ หลังจากที่พระองค์ได้ทรงค้นพบการพัฒนาแบบยั่งยืน พระองค์ก็นำเอาการพัฒนาแบบยั่งยืนนี้มาเผยแพร่สั่งสอนให้แก่พวกเรา ผู้ที่มีความศรัทธาหลังจากที่ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าก็น้อมนำเอาไปปฏิบัติ พอปฏิบัติก็จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานกัน ได้พบกับความสุขที่ยั่งยืนความสุขที่ถาวร ได้พบกับการสิ้นสุดของความทุกข์ที่ยั่งยืนที่ถาวร

นี่คือการพัฒนาสองรูปแบบที่เราสามารถที่จะเลือกพัฒนาได้ ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนามาสั่งมาสอนเราก็ไม่มีทางเลือก เราก็มีการพัฒนาเพียงทางเดียว คือทางร่างกาย ทางลาภยศสรรเสริญ ทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน นี่คือลักษณะของผู้ที่ไม่มีศาสนาเป็นที่พึ่งเป็นผู้สั่งผู้สอนก็จะพัฒนาอยู่กับทางร่างกาย หาลาภ หายศ หาสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็ต้องสูญเสียสิ่งที่หามาได้ไป เวลาที่ร่างกายตายไปแล้วก็ต้องเสียไปหมด แล้วก็ต้องกลับมาพัฒนาใหม่กลับมาเกิดใหม่ จนกว่าจะได้มาพบกับพระพุทธศาสนา ได้พบกับพระพุทธเจ้าก็ดีหรือได้พบกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ดีหรือได้พบกับพระอริยะสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ก็จะได้เรียนรู้วิธีพัฒนาแบบยั่งยืนแบบถาวร ถ้าน้อมนำเอาคำสอนนี้ไปปฏิบัติก็จะสามารถพัฒนาจิตใจให้เจริญขึ้นไปตามลำดับไปจนถึงขั้นสูงสุดได้ โอกาสที่จะได้พัฒนาจิตใจแบบยั่งยืนนี้นานๆ จะเกิดขึ้นได้สักครั้งหนึ่ง เพราะนานๆ จะมีพระพุทธศาสนามาปรากฏเป็นผู้นำเป็นผู้สั่งสอนให้พวกเราได้รู้จักวิธีการพัฒนาแบบยั่งยืนกัน ชาติใดที่ได้มาเกิดมาพบกับพระพุทธศาสนา จึงเป็นชาติที่วิเศษเป็นโอกาสอันเลิศที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก การมาเกิดเป็นมนุษย์ของพวกเรานี้มันก็ยากอยู่แล้วนานๆ จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์สักครั้งหนึ่ง แล้วการที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้พบกับพระพุทธศาสนา อันนี้ก็เป็นความยากอีกประการหนึ่ง ยากสองประการ เกิดเป็นมนุษย์นี้ก็ยากแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อมาพบพระพุทธศาสนาก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกหนึ่งเท่า เพราะการปรากฎของพระพุทธศาสนานี้ก็นานๆ จะปรากฏขึ้นสักครั้งหนึ่ง เช่นหลายล้านๆ ชาติด้วยกัน ถึงจะมีพระพุทธศาสนาปรากฎขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง แล้วการมาเกิดเป็นมนุษย์ก็หลายล้านชาติเหมือนกันกว่าจะได้มาเกิดสักครั้งหนึ่ง เพราะการไปเกิดเป็นอย่างอื่นมันง่ายกว่า เกิดเป็นเดรัจฉานนี้ง่ายกว่าเป็นมนุษย์

ดังนั้นการที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้มาเกิดได้มาพบกับพระพุทธศาสนานี้เป็นสิ่งที่ยากมาก และเป็นโอกาสที่ดีมากที่จะทำให้เราได้มารู้จักวิธีการพัฒนาแบบยั่งยืน เพื่อเราจะได้ไม่ต้องมาพัฒนาแบบชั่วคราวกัน

พัฒนาแบบชั่วคราวนี้เดี๋ยวก็ต้องกลับมาพัฒนาใหม่ เวลามาเกิดแล้วเรามาทำมาหากินหาเงินหาทองหาอะไรต่างๆ อาจจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี อาจจะเป็นใหญ่เป็นโต เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานนาธิบดี เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นพระมหาจักรพรรดิก็เป็นได้ชั่วคราวเท่านั้น พอร่างกายตายไปสิ่งที่เราหามาได้มันก็หมดสภาพไป เราก็ต้องไปต่อไปเกิดเป็นอะไรต่อตามบุญตามบาปที่เราได้ทำกันในขณะที่เราเป็นมนุษย์ แล้วหลังจากที่เราได้ไปใช้ผลบุญผลบาปเราถึงจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์กันอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็มาพัฒนาชั่วคราวกันอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่เรารู้จักพัฒนากัน จนกว่าเราจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้มาพบกับพระพุทธศาสนา เราถึงจะได้เรียนรู้เรื่องของการพัฒนาแบบยั่งยืนแบบถาวร แบบที่ทำให้เราไม่ต้องกลับมาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตาย มาพัฒนาสิ่งต่างๆ อย่างที่เรากำลังพัฒนากันอยู่ในขณะนี้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด นี่คือความวิเศษของการที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้มาพบกับพระพุทธศาสนา.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐

"การพัฒนาชีวิต"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







คำถาม ข้อที่ ๑. วิปัสสนา และ กรรมฐานต่างกันอย่างไร

พระอาจารย์ : คำว่ากรรมฐานนี้เป็นอารมณ์ที่เราใช้ในการฝึกสมาธิและฝึกวิปัสสนา เช่นกรรมฐานที่เราฝึกสมาธิก็คือพุทโธ พุทโธ ถ้าเราบริกรรมพุทโธพุทโธนี้ เรากำลังใช้กรรมฐาน คือพุทธานุสติ กรรมฐานนี้มีอยู่ ๔๐ ชนิด แล้วก็มีแบ่งเป็นสองพวก พวกที่เป็นวิปัสสนา แล้วก็มีพวกที่เป็นสมาธิก็มี เช่นการบริกรรมพุทโธนี้ เรียกว่าพุทธานุสติ ก็เป็นกรรมฐานสำหรับการทำใจให้สงบ ก็เรียกว่าเป็นสมาธิ ส่วนกรรมฐานที่จะนำมาทำให้เป็นวิปัสสนาก็มี เช่นการพิจารณาซากศพ ๑๐ ประการ พิจารณาร่างกายที่ตายไป ตายใหม่เป็นยังไง ตายสามวันเป็นยังไง ตายอาทิตย์หนึ่งเป็นอย่างไร ก็จะเห็นสภาพของความเสื่อมของร่างกาย ของการแยกสลายของร่างกายให้คืนเป็นดินน้ำลมไฟไป ถ้าเห็นแบบนี้ก็จะเป็นวิปัสสนา เพราะจะเห็นอนิจจัง เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของร่างกาย เห็นอนัตตา เห็นว่าร่างกายไม่มีตัวตน ร่างกายมาจากดินน้ำลมไฟ แล้วก็จะกลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟไป อันนี้ก็จะเป็นวิปัสสนาไป ฉะนั้นกรรมฐานนี้เป็นได้ทั้งสองอย่าง บางอย่างก็เป็นสมาธิ บางอย่างก็เป็นวิปัสสนา.

ข้อที่ ๒. ความอยากที่จะพัฒนาตนเองแบบถาวรถือว่าเป็นกิเลสหรือไม่

พระอาจารย์ : อันนี้เป็นความอยากที่ไม่เป็นกิเลส เพราะเป็นความอยากที่จะฆ่ากิเลส ความอยากฆ่ากิเลสนี้ไม่ถือว่าเป็นกิเลส เป็นธรรม

ข้อที่ ๓. ถ้าหากตั้งใจจะถือศีล ๘ แต่ติดกับข้อจำกัดในการทำงาน เช่นการแต่งกาย ควรจะลดไปถือศีล ๕ หรือถ้าถือศีล ๘ แต่ปฏิบัติไม่ครบ จะเหมาะสมหรือไม่

พระอาจารย์ : ก็ดีกว่าปฏิบัติศีล ๕ ถึงแม้จะไม่ได้ครบ ๘ ข้อ ได้ ๖ ข้อ ก็ยังดีกว่าได้ ๕ ข้อ ได้ ๗ ข้อก็ยังดีกว่า ฉะนั้นข้อไหนที่เรายังรักษาไม่ได้ เราก็เว้นไปก่อน เหมือนเวลาเราทำข้อสอบ เวลาเราเจอข้อสอบข้อไหนมันยากเรายังทำไม่ได้เราก็ข้ามไปก่อน รีบไปทำข้อที่มันง่ายก่อน เดี๋ยวเวลามันจะหมด ก็รีบทำก็ที่เราทำได้ก่อน พอเราทำข้ออื่นได้แล้วเราค่อยกลับมาทำข้อที่ยากต่อไป.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต








...ถ้าไม่มี "สติ" นี้
ใจเราจะอ่อนไหวได้ง่าย
.
...ได้ยินเสียงเบาๆ
เสียงที่เขาด่าเราเบาๆ
แค่นี้ "ใจก็ล้มระเนระนาดไปแล้ว"
.
...ไม่ต้องให้มันเสียงดังหรอก
เสียงค่อยๆ เหมือนเสียงกระซิบ
ด่าเราแบบกระซิบนี้..
"ก็ทำให้ใจเราเศร้าแล้ว"
.
...แต่ถ้ามีสมาธิ "ใจจะเฉยๆ"
ใจจะไม่มีความรู้สึกหวั่นไหว
.......................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 21/8/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






“หาทรัพย์ภายใน”
..ฉะนั้น บรรดาพวกเรา ก็ให้เห็นว่าเป็นของสำคัญในชีวิตของเรา เป็นอริยะทรัพย์ภายใน จะหาแต่ทรัพย์ภายนอก หาแล้วก็มาบำรุงธาตุสังขารร่างกายชั่วระยะ พอให้มีกำลังประพฤติปฏิบัติเอาธรรมะภายใน อริยะทรัพย์ภายในนี้เป็นของเราที่แท้จริง เพราะว่ามันเป็นยาบำรุงจิตใจ เป็นอาหารของใจ ร่างกายแม้เลี้ยงดีขนาดไหน มันก็จะต้องไปตามสภาพของเขาอยู่แล้ว อย่างเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ท่านยิ่งเลี้ยงดี แต่แล้วก็ตายไปเหมือนกับเรานี้หละ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร








อย่าลืมยิ้มให้คนอยู่หน้ากระจกเด้อ

"จริงๆแล้วเรื่องราวต่างๆในชีวิตเฮา
บ่มีอิหยังใหม่ในสังขารวัฏเลย
นอนหลับไปคืนนี้ ถ้าวันใหม่บ่ตื่นขึ้นมาทุกอย่างกะคือจบ เพราะฉะนั้น อย่าไปยึดมั่นถือมั่นอิหยังให้มันหลาย สร้างบุญบารมีทำความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้น
อยู่อย่างมีสติ มีปัญญา บ่หาเรื่องร้ายๆใส่โตทำให้หมองใจดีกว่า
จะได้หลับเป็นสุข ตื่นขึ้นมากะเป็นสุขกันทุกวัน
ตื่นกะตื่นมาพร้อมกับรอยยิ้ม ยิ้มจากใจที่สดใส
ให้กับคนรอบๆ กาย เพราะว่าโลกนี้ขาดรอยยิ้มบ่ได้ โดยเฉพาะคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกนั้น ยิ้มให้เค้าหลาย ๆ และบอกเค้าว่า ''พรุ่งนี้ฉันจะดีขึ้น...จะดีขึ้น...จะดีขึ้น"

โอวาทธรรม หลวงตาสรวง สิริปุญโญ
วัดศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร






เมื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
๓ รัตนะนี้เป็นที่พึ่งของตนจริง ๆ เสมอด้วยชีวิตแล้ว
ท่านกล่าวว่าถึงสรณะแล้ว
มีผลอานิสงส์ใหญ่ยิ่งกว่าทานหมดทั้งสิ้น.
สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทธสิริ)







“...ศีลนำความสุขมาให้ตราบเท่าชรา ศีลนำความสุขมาให้ตลอดชีวิต ศีลนำความสุขไปให้ตลอดและมีสุคติเป็นที่ไป

สีเลนะ โภคะสัมปะทา ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์สมบูรณ์ ไม่อด ไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ก็เพราะเป็นผู้รักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์นี้แล...”

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ขาว อนาลโย








"...ขอให้ท่านทั้งหลายจงสำรวจดูความสุข ว่าตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต ครั้นสำรวจดูแล้ว มันก็แค่นั้นแหละ! แค่ที่เราเคยรู้ เคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น มากกว่านั้นไม่มี

โลกนี้มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซ้ำๆ ซากๆ อยู่แค่นั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ร่ำไป มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดพิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น

พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละสุขส่วนน้อยนั้นเสีย เพื่อแสวงหาสุข อันเกิดจากความสงบกาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัย หาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล








"...เรื่องของสมาธินี่ ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี เป็นสิ่งที่เราสามารถบำเพ็ญให้เกิดมีขึ้นมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของสมาธิย่อมมีเสื่อมมีเจริญ

เหตุแห่งความเสื่อมของสมาธินั้นคือ ความประมาท ไม่ฝึกฝนให้ต่อเนื่องกัน หรือบางทีเราอาจจะทำผิดศีลธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สมาธิก็ย่อมเสื่อมได้

เพราะเรื่องของสมาธิเป็นเรื่องของโลก เรื่องของโลกียวิสัย มีเสื่อมแล้วก็มีเจริญ..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO