นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 9:06 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ตัดความโลภ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 30 ก.ค. 2017 9:42 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
" ทุกดวงจิตต่างลงมาบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นพระอรหันต์ "

อย่าไปดูถูกใครเขา ให้คิดเสียว่าดวงจิตทุกดวงจิต มีพระนิพพานเป็นที่ไปสุดท้าย ทุกดวงจิตต่างลงมาบำเพ็ญเพียร เพื่อเป็นพระอรหันต์กันทั้งสิ้น แต่ในระหว่างทาง ที่จะไปถึงพระนิพพานได้นั้น ดวงจิตแต่ละดวงจิตก็ต้องเผชิญการทดสอบ การบำเพ็ญเพียรที่แตกต่างออกไป ตามกรรมของแต่ละดวงจิต เวลาที่เราเห็นใครทำดี เราก็โมทนาในความดีของท่านทั้งหลายนั้น หากเห็นเขาทำอะไรไม่ดี ก็ให้สงสารเขา แล้วถ้าพอจะช่วยเขาได้ ก็ช่วยตามกำลังของเรา แต่หากช่วยไม่ได้ ก็ให้ถืออุเบกขา เพราะเราไม่สามารถจะช่วยเขา ทั้งหลายได้ทั้งหมด แล้วให้คิดเสียว่า ดวงจิตนั้นได้กระทำการที่เสี่ยง ต่อการไปนรกให้เราได้เห็น ได้เรียนรู้ เขาได้เสียสละตนเอง แสดงเหตุที่เสี่ยงต่อการไปนรกให้ เราได้เห็น และอย่าไปทำตามเขา

คำสอน หลวงตาวัชรชัย
เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)
จ.สระบุรี





ตัดความโลภ

.. ถ้าความโลภมันเกิดขึ้นกับใจ อยาก
จะได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นมาเป็นของ
ตน ก็พยายามหวนคิดมาถึงความรู้สึกของ
ตัวเราเอง ว่าถ้าเราถูกโกง หรือถูกลักถูก
ขโมย ถูกยื้อแย่งทรัพย์สมบัติอย่างนั้น
เราจะพอใจไหม

นี่วัดถึงความรู้สึก เราก็ต้องไม่พอใจ
เราจะไปโกงเขาล่ะ เขาจะพอใจหรือไม่
ความรู้สึกมันก็จะบอกเอง ถ้าเราเป็นคน
ไม่เรียกว่า ขอโทษ! ถ้าไม่โง่เกินไป เรา
ก็จะรู้ว่าเขาเองก็ไม่พอใจเหมือนกัน

ทีนี้อารมณ์แห่งความโลภ อยากจะได้
ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นมาเป็นของตน
จริงๆ มันเกิดขึ้นบ่อยๆ พระพุทธเจ้าก็ให้
หาทางแก้ แทนที่จะดึงเข้ามากลับให้ออก
ไปเสีย คือตัดด้วย "การให้ทาน"

เป็นการแลกกัน ความโลภดึงเข้า แต่
การให้ทานเป็นการขยายออก นำออก ทีนี้
การให้ทานปรากฎขึ้นมาบ่อยๆ จนกระทั่ง
จิตใจของเราประกอบไปด้วยความเมตตา
ปรานี มีความรักความสงสารบุคคลอื่น

เห็นคนอื่นที่มีความทุกข์ปรารถนา
อยากจะให้ความสุข จิตใจของเรานอกจาก
จะไม่มีความโลภ ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติ
ของบุคคลอื่นใดที่ได้มาโดยไม่สุจริตธรรม
แล้ว แต่ใจของเรายังใสเหมือนแก้ว

กล่าวคือมีความเมตตาปรานี อยากจะ
สงเคราะห์สัตว์และบุคคลทั้งหลายให้มี
ความสุข มีความสบาย ตามกำลังที่เรา
จะทำให้ได้ อย่างนี้แสดงว่าน้ำใจของ
บรรดาท่านพุทธบริษัทชนะความโลภแล้ว

นี่ต้องค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำ ทำไป
วันละเล็กละน้อย พิจารณาใคร่ครวญอยู่
เสมอ ไม่ช้ามันก็สลายตัวด้านความโลภ

#ตัดความโกรธ

ทีนี้ถ้าความโกรธมันเกิดขึ้น องค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หาทางตัด
ในอาการตรงกันข้ามเหมือนกัน ความ
โกรธมีความประสงค์อยู่อย่างหนึ่งคือ
อยากคิดอยากจะฆ่าเขาบ้าง

แล้วเราก็มานั่งคิดดูว่า คนที่เกิดมา
ในโลกนี้มีความทุกข์ย่ำแย่อยู่แล้ว เราไม่
ประทุษร้ายเขา เขาก็มีความทุกข์ เขาก็มี
ความลำบาก เราไม่พิฆาตไม่ทำร้ายเขา
เขาก็เจ็บช้ำ มีความป่วยไข้ไม่สบาย มี
ความแก่

มีความกลัดกลุ้มใจ เพราะความ
ปรารถนาไม่สมหวัง ทุกคนก็ไม่มีความสุข
มีความทุกข์อยู่แล้ว ถ้าเราจะไปฆ่าเขาให้
ตายจะมีประโยชน์อะไร เพราะเขาก็ต้อง
ตายอยู่แล้ว ถ้าคิดอย่างนี้ใจมันยังไม่สบาย

องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ให้
พิจารณาว่า เขากับเรามีความรักสุขเกลียด
ทุกข์เหมือนกัน นี่เราจะไปนั่งสร้างศัตรูเพื่อ
ประโยชน์อะไร คนที่โกรธชาวบ้าน ทำใจ
ให้เป็นภัยกับชาวบ้าน คือคิดประทุษร้าย
เขาเป็นการสร้างศัตรู

เมื่อเรามีศัตรูมากเพียงใด ความทุกข์
มันก็มีมากเพียงนั้น เพราะอะไร เพราะไป
ทางไหนก็ต้องระวังอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรา
ไปไหนมีคนรัก เรามีเพื่อนมาก เราก็มี
ความสุขมาก

ถ้าเรามีศัตรูมาก เราก็มีความทุกข์
มาก เพราะความไม่สบายกายไม่สบายใจ
เพราะระวังศัตรูจะทำร้ายเรา

#ให้อภัย

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท องค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้อาการ
"โทสะ" ด้วยอาศัย "เมตตาบารมี" คือ คิด
ไว้เสมอว่าทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์เหมือน
กัน เราจะไปฆ่าเขาเราจะไปทำร้ายเขาเพื่อ
ประโยชน์อะไร

ให้ทำใจของเราให้รู้จัก "ให้อภัย" กับ
บุคคลผู้ทำความผิด คิดเสียว่าคนที่ทำ
ความผิดทุกคนน่ะ ทำด้วยความเข้าใจผิด
ความหลงผิด เพราะคนทุกคนต้องการ
ความสุข ไม่มีใครต้องการความทุกข์

แต่ที่ทำกันอย่างนั้นเพราะอาศัยอำนาจ
แห่ง "โมหจริต" คือความคิดผิดเข้ามา
ครอบงำใจจึงได้ทำไปอย่างนั้น ถ้าเราจะ
คิดกันง่ายๆ ก็เรียกว่า "เขาทำไปด้วย
อำนาจของความโง่" ไม่ใช่ทำไปด้วย
อำนาจของความฉลาด

ถ้าเขามีความฉลาดจริงๆ ก็ไม่มีบุคคล
ใดต้องการเป็นศัตรูกับใคร เพราะการเป็น
มิตรมีความสุขกว่า เมื่อเราคิดว่าเขาโง่เสีย
อย่างเดียวเราก็สบายใจ ถ้าเขาจะโกรธก็
ปล่อยให้เขาโกรธไปคนเดียว การตบมือ
ข้างเดียวมันไม่ดัง

ทีนี้คนที่มีความโกรธน่ะ พระพุทธเจ้า
กล่าวว่า "โทสัคคิ" ไฟคือ "โทสะ" ความ
โกรธมันมีอาการเผาผลาญให้ร้อนอยู่
ตลอดเวลา ไม่มีความสุขกายสุขใจ ลอง
คิดถึงในการ "ให้อภัย" ที่เรียกว่า
"อภัยทาน"

ใครเขาจะว่าอย่างไร ใครเขาจะด่า
อย่างไร ใครเขาจะทำแบบไร ก็ถือว่า
ช่างเถอะ ปล่อยไปเราไม่ตอบสนอง
ไม่ช้าเขาก็เลิกไปเอง

#แบบโบราณาจารย์

แต่ว่าคิดอย่างนี้ไม่ไหว ยังทานอำนาจ
ของความโกรธไม่ไหว ใจมันยังโกรธอยู่
อย่างนี้มีอีกแบบหนึ่ง สำหรับพระโบราณา
จารย์ ท่านแนะนำให้อุทิศส่วนกุศลให้เขา
ไปเลยว่า

"บุญใดที่เราทำแล้ว จะมีผลกับเรา
เพียงใด เราขออุทิศกุศลทั้งหมด
ให้กับเขา ขอให้เขามีความสุข"

ที่ทำอย่างนี้ ก็คิดว่าเวลานี้เขาตายจาก
เราไปแล้ว อย่างนี้ใจของท่านก็จะคลายลง
ไปได้ แต่ความจริงการทำอย่างนี้ไม่ใช่ว่า
จะเป็นการแช่งเขาให้ตาย คือเป็นการระงับ
อารมณ์ร้ายจากใจของเรา

คิดว่าเวลานี้เขาตายไปแล้วเป็นผี
"อุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเลย" หรือถ้า
หากว่าใครว่าบังสกุลได้ ก็ว่าบังสุกุล
เสียก็ได้ว่า

"อะนิจจา วะตะ สังขารา
อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ
เตสัง วูปะสะโม สุโข"

ไม่ต้องแปล ว่าอย่างนี้ก็คิดว่าเวลานี้
เขาตายไปแล้ว เราบังสุกุลเสียเลย ถ้าทำ
อย่างนี้อารมณ์ใจมันก็จะเบาลงได้ ลองทำ
ดูก็แล้วกัน มีผลดีเหมือนกัน นี่เป็นเรื่อง
ของ "พระโบราณาจารย์" ท่านสอนไว้

#ตัดความหลง

ทีนี้มีอีกอารมณ์หนึ่งคือ "ความหลง"
เมื่อความหลงเกิดขึ้นมา มันเกิดแล้วมัน
ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย แต่เราลืมไป
ถ้าเราลืมไปเราก็นึกถึงใจ เตือนใจไว้ให้
มาก ถามมันบอกว่าเมื่อเราเกิดใหม่ๆ
ตัวโตเท่าไร เวลานี้เราโตขนาดไหน

เราแก่ลงไปกว่าเก่าหรือมันเท่ากัน
แล้วเวลานี้เราเดินทางใกล้ความตายเข้า
ไปแล้วหรือยัง นี่พยายามเตือนใจมันเข้าไว้
อย่าให้มันหลง และยังเตือนใจไว้เสมอว่า
ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งหมดในโลกนี้
เวลาเราตายนำอะไรไปไม่ได้เลย

แม้แต่ร่างกายอันเป็นที่รักเราก็นำไป
ไม่ได้ นี่สอนใจให้มันมีความรู้สึกเขาไว้ว่า

"เมื่อเราตายไปแล้วสิ่งที่เราจะนำไปได้
ก็คือความสุขกับความทุกข์ ความดีกับ
ความชั่ว ถ้าเรานำความดีไป เราก็ไปเกิด
เป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง ไปนิพพาน
บ้าง ถ้าเรานำความชั่ว อารมณ์ชั่วของจิต
ไป เราก็ไปเกิดในอบายภูมิ"

เราเลือกหาความดี ความดีที่เราจะพึง
ปรารถนาก็คือ จิตตั้งไว้เสมอว่าร่างกายนี่
ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกาย
ไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔
เข้ามาประชุมกัน คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน
ธาตุลม ธาตุไฟ

เมื่อสิ้นลมปราณเมื่อไรกายมันพัง
เราก็ต้องไปจากกาย เราคือจิตที่มาสถิต
อยู่ในกาย

#วิธีที่เราจะไม่เกิด

"ทีนี้หากว่าเรายังเกาะกายเพียงใด
เราก็ต้องเกิดเป็นอย่างนั้น"

ในอันดับต้นเราก็ต้องผ่อนอาการ
ความเกิดเสียก่อน

"นึกอยู่เสมอว่าเราต้องตาย"

ถ้าหากว่าเราจะตายเราจะต้องไม่ไป
อบายภูมิ เรื่องเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต
เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เราไม่เอา
ไม่เกิดกันแน่ วิธีที่เราจะไม่เกิดเราทำ
อย่างไร

จับใจให้มีความเคารพในองค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ทั้ง ๓ ประการ ให้มั่นเข้าไว้ ว่าเราขอยึด
พระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการนี้เป็นสรณะ
อย่างไรๆ ก็ตามเราจะไม่ยอมปล่อยคุณ
ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

และประการที่ ๒ เราจะทรงศีล ๕ ให้
บริสุทธิ์เป็นปกติ ไม่ยอมให้บกพร่อง นี่
เรียกว่าศีล ๕ จะขาดด้วยเจตนาไม่มี
สำหรับเรา

ประการที่ ๓ อารมณ์ใจของเราตั้งไว้
เฉพาะพระนิพพาน

ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทรง
อารมณ์อย่างนี้ได้ ท่านกล่าวว่าท่านทั้ง
หลายเป็นผู้ทรงความเป็น "พระโสดาบัน"
เข้าไว้ จัดเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น ถึงแม้
ว่าเราจะยังไม่พ้นจากความเกิด ก็ผ่อน
ความเกิดเสียได้

คือปิดอบายภูมิทั้ง ๔ ประการได้
ไม่ต้องเกิดในนรก เปรต อสุรกาย สัตว์
เดรัจฉาน มาเกิดเป็นคนกับเทวดาสลับกัน
ไป อย่างเลวเกิดอีก ๗ ชาติถึงพระนิพพาน
ถ้ามีอารมณ์ใจอย่างกลางเกิด ๓ ชาติถึง
พระนิพพาน ถ้ามีอารมณ์ใจละเอียดเกิด
อีกชาติเดียวถึงพระนิพพาน

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
ก่อนจะอธิบายเรื่องการเจริญพระกรรมฐาน
เราก็พูดกันทุกเที่ยว วันนี้มาซ้อมของเก่ากัน
พยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น
ระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต โดยกำหนด
รู้ลมหายใจเข้าออก

เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลา
หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก ถ้าจะใช้คำ
ภาวนาใดๆ ถ้าเคยภาวนามาแล้วแบบไหน
จนคล่อง ก็ไม่ต้องเปลี่ยน ถ้าไม่เคยใช้คำ
ภาวนามาก่อน จะใช้คำว่า "พุทโธ" ก็ได้
"ธัมโม" ก็ได้ "สังโฆ" ก็ได้

แล้วก็ตั้งใจเพื่อพระนิพพาน จะภาวนา
ว่า "นิพพานนัง" ก็ได้ตามอัธยาศัย จนกว่า
จะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา สวัสดี ..
(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
ที่มาจาก.. ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๔๒๙ หน้าที่ ๘๗-๙๐






"ความยินดีในของที่มีอยู่นี้
เป็นคาถาเศรษฐี และมหาเศรษฐี"
-:- หลวงปู่ชา สุภทฺโท -:-






"ทุกคนมีอดีต แต่อย่าไปทุกข์กับอดีต
ทุกข์ไป มันก็แก้ไม่ได้ ของมันผ่านไปแล้ว
ไม่มีประโยชน์ อดีตที่ผิดที่พลาด ที่เสียที่หาย
มันทำให้เรามีวันนี้ มีเดี๋ยวนี้ จะไปแก้มันทำไม

โยมจะเป็นอะไรก็ตาม เราทุกคนล้วนมีกรรม
ปรุงให้เกิด อย่าไปแก้ตอนที่มันส่งมาให้เกิด
ให้แก้จากวันนี้ไป อย่าคิดชั่ว อย่าทำชั่ว
อย่าพูดชั่ว อย่าหนีปัญหา"

-:- หลวงปู่หา สุภโร -:-





ความทุกข์และความสุขของโลก
ล้วนเป็นของไม่ถาวร เพราะความสุข
เจือด้วยอามิส (สิ่งของวัตถุ เครื่องล่อใจ)
ความสุขในพระนิพพาน
เป็นความสุขถาวร
เพราะความสุขไม่เจือด้วยอามิส
เป็นนิรามิสสุข.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)






"...การศึกษาอบรมธรรม ก็จงตั้งใจจริงๆ อย่าทำความเหลาะๆแหละๆมาสังหารตน และทำลายเพื่อนฝูงผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรม ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วมันไม่ไว้หน้าใคร มันทำลายทั้งสิ้น ไม่ว่าพระหรือเณร

อย่าเข้าใจว่ามันจะมาถวายตัวเป็นศิษย์ก้นกุฏิ หรือให้ความสะดวกในการบำเพ็ญธรรม อย่าเข้าใจว่าเป็นอาจารย์ของมัน แท้จริงกิเลสมันขึ้นมาอยู่บนหัวเรา ตั้งแต่เป็นฆราวาส จนมาบวชเป็นพระเป็นเณร แล้วมันยังไม่ยอมลงจากหัวเราเลย

นี่แหละ!พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต สอนถ่ายทอดกันมาแก่บรรดาศิษย์ให้ใส่เกล้าเอาไว้..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ขาว อนาลโย






"...ธรรมดาที่เราต้มน้ำนั้น มีอยู่ ๒ ประการ ประการที่หนึ่ง ถ้าไฟมันแรง มันเดือดมากเป็นเหตุให้น้ำเป็นไอมาก เดือดท่วมหม้อ ไฟเราก็ดับ บางคราวไฟมันอ่อน น้ำไม่เดือด ไอไม่เกิด

บางคราวก็พอดีๆ ไม่อ่อนมากนัก ไม่แรงมากนัก เป็นพอปานกลาง เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ไฟเราก็พอดีพอเหมาะ พอเกิดเป็นไอขึ้น ไม่ถึงกับจะต้องไปดันฝาหม้อให้เปิด แต่มันมีไอออกมาตามหม้อตามไหที่เรากลั่น ไอที่มันออกมามันกลายเป็นน้ำจืด อันนี้แหละท่านจึงให้สังเกตดู

เมื่อเราต่อสู้ การอยากให้มันเป็นมากๆ ใจของเราก็ไม่สงบ ลมก็กำเริบไม่ละเอียด นี่คือความอยากเข้าไปแทรก

บางคราวก็อ่อนเกินไป นั่งสงบใจ ลมก็ละเอียด เบา หลับไปเลย อย่างนี้ก็ไม่สุก เราต้องปรุงให้ดี ให้พอเหมาะพอสม

ให้มีสติสัมปชัญญะกำกับอยู่เป็นนิจ ดวงจิตเราจะอยู่กับลมหยาบเราก็ทราบ ดวงจิตจะอยู่กับลมละเอียดเราก็ทราบ เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะประจำอยู่โดยอาการเช่นนี้ ผลที่มันเกิดขึ้นนั้นก็คือได้แก่ ปีติ กายก็สบาย กายเบา กายสงบ กายก็เยือกเย็น ดวงจิตนั้นก็รู้สึกว่าอิ่มหนำสำราญ เบิกบานใสแจ๋วอยู่ในองค์สมาธิ..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์ท่านพ่อลี ธมฺมธโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO