นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 3:59 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ดับอารมณ์โกรธ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 27 ก.ค. 2017 6:02 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
"ดับอารมณ์โกรธ"

ถาม : เวลาที่เรามีอารมณ์โกรธไม่พอใจกับการที่ถูกล้ำเส้นความเป็นส่วนตัว เราจะระงับอาการนี้ได้อย่างไร หรือมีวิธีป้องกันไม่ให้มันเกิด อยากเป็นแบบปฐพีที่หลวงพ่อสอนว่าใครทำอะไรก็ได้ จะเหยียบย่ำจะอะไรก็ไม่มีอารมณ์ แต่หนูเป็นเหมือนแผ่นดินที่จะคอยไหวและสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา

พระอาจารย์ : ก็ต้องพยายามแก้มันไป เพราะเราห้ามเขาไม่ได้ แต่เราห้ามเราได้ วิธีเวลาเกิดอารมณ์ขึ้นมาก็ให้ภาวนาไป บริกรรมพุทโธๆ ไป นับ ๑ ๒ ๓ ไปก็ได้ นับไปจนกว่าใจจะสงบอย่าส่งใจเราไปคิดถึงเหตุการณ์หรือบุคคลที่ทำให้ใจเราวุ่นวาย เราต้องถือหลักว่าเราห้ามเขาไม่ได้ แต่เราห้ามใจของเราได้

ดังนั้นอย่าไปพยายามห้ามเขา อย่าไปตอบโต้เขา อย่าไปพูดอะไรกับเขา ถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์อย่าไปพูด เรากลับมาทำใจของเราดีกว่าว่า เราอยู่ในโลกนี้เราก็จะต้องเจอสิ่งต่างๆ สิ่งที่เราชอบและสิ่งที่เราไม่ชอบ เราไม่สามารถที่จะเลือกได้เสมอ เมื่อเราเจอสิ่งที่ไม่ชอบเราก็ต้องหัดทำใจ ถ้าเราทำใจได้สิ่งที่เราไม่ชอบจะไม่ทำให้เราเดือดร้อนใจ

ถาม : หนูอยากเป็นคนเมตตากับทุกคนได้เท่าๆ กัน แต่ทำไมกับบางคนหนูรู้สึกไม่ชอบไม่พอใจเขาเลย ทั้งที่ในใจก็อยากเมตตา อยากไม่ถือสากับคำพูดหรือการกระทำของเขา แต่พอได้เข้าใกล้ได้เจอเขาได้พูดคุย ก็มีอารมณ์ทุกครั้ง หนูจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดีคะ ถึงได้ชื่อว่าเป็นคนมีเมตตา

พระอาจารย์ : ก็เราต้องมองในส่วนที่เหมือนกันทุกคน ทุกคนนี้มีส่วนเหมือนกันตรงไหน ก็มีส่วนเหมือนกันตรงที่เกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องเจอความทุกข์ด้วยกันทุกคน ถ้าเรามองตรงส่วนนี้เราก็จะมีความเมตตากับเขา

ได้ แต่ถ้าเราไปมองเห็นส่วนต่างๆที่บางคนก็มีความสุขมากกว่า มีความทุกข์น้อยกว่า มีสิ่งนั้นมากกว่ามีสิ่งนี้มากกว่าอะไรอย่างนี้ ถ้าเราไปเห็นส่วนต่างก็อาจจะทำให้เรา ไม่สามารถที่จะให้ความเมตตาเท่าเทียมกันได้

ดังนั้นเราต้องมองส่วนที่เหมือนกันและส่วนที่เป็นความมีน้ำหนักมากที่สุดก็คือทุกคนเกิดมาแล้วจะต้องเจอกับความทุกข์ด้วยกันทุกคน ทุกข์กับความแก่ ทุกข์กับความเจ็บ ทุกข์กับความตาย เราไม่จำเป็นจะต้องไปเพิ่มความทุกข์ให้กับเขา เพราะความทุกข์ที่เขาจะต้องแบกนี้มันมากอยู่แล้ว ไปให้ความทุกข์กับเขามันก็ไม่เพิ่มมากขึ้นก่ายกองแต่กลับจะทำให้เขากลับมาให้ความทุกข์กับเราอีก ถ้าเราให้ทุกข์กับเขาเดี๋ยวเขาก็ต้องกลับมาให้ทุกข์กับเรา ถ้าเรายังไม่สามารถให้ความเมตตาได้ ก็ให้ใช้อุเบกขาไปก่อน คือปล่อยเขาไปตามเรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็เรื่องของเขา ตอนนี้เรายังให้ความเมตตาไม่ได้ก็อย่าไปทำร้ายเขาก็แล้วกัน ทำใจเฉยๆ ปล่อยเขาไป เขาจะร้ายก็เรื่องของเขา เขาจะดีก็เรื่องของเขา.

ธรรมะบนเขา

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







"ต้องพยายามระลึกถึงภัยที่จะเข้ามาหาเรา"

ต้องพยายามระลึกถึงภัยที่จะเข้ามาหาเราคือความตาย พยายามเจริญมรณานุสติอยู่เรื่อยๆ ไปเยี่ยมดูคนตายอยู่เรื่อยๆ เมื่อเช้านี้ไปบิณฑบาต บ้านหนึ่งเขาบอกว่าลูกเขาอายุ ๓ - ๔ ขวบมั้ง ใส่บาตรก็เกือบทุกอาทิตย์ วันเสาร์อาทิตย์เขาก็จะมาใส่บาตรกัน แล้วก็มีลูก ๒ คน คนโตคนเล็ก อายุไร่เรี่ยกัน คนหนึ่งอ่อนกว่าสักปีหนึ่ง วันนี้เหลือคนเดียว วันนี้เขาบอกว่าคนโตตายไปแล้ว ไปเข้าโรงพยาบาลติดเชื้ออะไรในปอดหรือในเลือดก็ไม่ทราบ ๕ วันก็ตาย นี่เด็กอายุไม่กี่ขวบ ๔ - ๕ ขวบเท่านั้นเอง ปุ๊บปั๊บก็ตายได้ ให้คิดอย่างนี้ เราจะได้เห็นภัยเห็นโทษแล้วจะเห็นทุกข์ แล้วจะทำให้เรามีฉันทะ วิริยะ ที่จะหมั่นปฏิบัติให้มากขึ้น.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๘

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต





“สู้เวทนา”
..แต่บางองค์ ท่านกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นไหวต่อเวทนา เอาสู้กันเลย เอาจนว่ามันเกิดมาจากมุมไหนตรงไหนเวทนา จนรู้ต้นปลายสาเหตุของมัน แต่แล้วเกิดมาจากจิตดวงเดียวนั้น ถ้าไม่มีจิตใจ มันจะรู้จักทุกข์ รู้จักเวทนา ว่าเจ็บ ว่าปวด ว่าเหนื่อย ว่าล้า ว่าหิวเหรอ เรื่องของใจมันเสกสรรขึ้นมาเฉย ๆ เมื่อจิตออกจากร่างไปแล้ว นอนอยู่เฉย ๆ เขาเรียกว่าคนตาย ไม่เห็นมันเจ็บสักครั้ง ไม่เห็นมันบ่น นั่น มันเกิดจากจิตดวงเดียว รู้สมมุติฐานของมันแล้ว จิตมันก็หมดปัญหาเท่านั้นหละ มันก็ไม่ไปสมมุติว่า เจ็บนั้น ปวดนี้ เป็นรูปนั้น วิธีนี้ อันนั้น มันส่งออกไปภายนอก ท่านรู้จักชัดถึงขนาดนั้นนะพวกนักปฏิบัติ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง นิวรณ์ธรรม ๕





การเจริญสติอย่างต่อเนื่อง คือการเปลี่ยนความเคยชินจากความไม่รู้ ไปสู่ความรู้ เปลี่ยนจากอวิชชาอันเป็นบ่อเกิดแห่งกิเลส ทั้งปวงมาเป็น วิชชา คือความรู้อันเป็นที่มาแห่งกุศลธรรมทั้งปวง
พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่







"ญาติโยมทั้งหลาย
บุญกุศลไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย
แต่มีอยู่ที่จิตที่ใจของเรา
ก็ขอให้รักษาบุญไว้ให้ดี

คือ รักษากายของเรา
ให้สงบเสงี่ยม ให้ดีอยู่เสมอ
รักษาวาจาของเรา
ให้พูดจาปราศรัย แต่ในสิ่งที่ดี
รักษาใจของเรา
ให้นึกคิด แต่ในสิ่งที่มีประโยชน์

ก็ขอให้ทุกคน จงยืนหยัดอยู่ในศีล ๕
ให้รักษาศีล ๕ ประจำชีวิต
ด้านจิตใจ ก็ขอให้มีอจลศรัทธา คือ
เป็นศรัทธาที่มั่นคง
ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ใดๆ
มีความเชื่อ ความเลื่อมใส
ในพระรัตนตรัย อย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว"

-:- ครูบาเจ้าพรหมา พฺรหฺมจกฺโก -:-






"มันไม่มีอะไรที่ไหน ที่น่าชื่นใจ น่าชื่นชม
เท่ากับผู้ที่ให้อภัย คนที่เคยล่วงละเมิดเขาได้
มันงดงามมากจริงๆ"
-:- พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ -:-







"...เรียนมามากเท่าไรให้กิเลสเอาไปถลุงหมด ใช้ไม่ได้นะ เมืองไทยเรานี้เรียนมาก เรียนสูงถึงขั้นดอกเตอร์ดอกแต้อะไรก็ไม่รู้ละ แต่ความประพฤติลงอยู่ใต้พื้น กับความคิดที่เรียนมาเข้ากันไม่ได้เลย

เรียนวิชาทางโลกมา ต้องเอาวิชาทางธรรมเข้าไปแทรก ถ้าไม่แทรกใช้การงานอะไรไม่ได้ มันพาคนให้เสีย เพราะความลืมเนื้อลืมตัวเย่อหยิ่งนั่นแหละสำคัญ วิชาของกิเลสมักเย่อหยิ่งเสมอ

วิชาของธรรมถ้าเป็นธรรมจริงๆ ไม่เย่อไม่หยิ่ง เรียนรู้มากเท่าไร ปฏิบัติหนักมากเท่าไรยิ่งสวยงามน่าดูน่าชม วิชาธรรมถ้ากิเลสเข้าไปแทรกแล้ว วิชาธรรมก็กลายเป็นโลกไปหมดแล้วเสีย..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน







"...ถ้าหากคนเรา เห็นพระรู้จักพระ
ทำไมเอาพระมาห้อยคอ
แล้วไปเต้นรำวงกันเล่น
ไปเป็นขี้ข้าตัณหาทำไม

ใครๆ ก็จะหาแต่วัตถุในประเทศของตัว
ธรรมะไม่เอาเลย มีอยู่ไทย ลังกา พม่า
ยังเหลืออยู่นิดเดียวเท่านั้นแหละ
นอกนั้น หนักการเมือง หนักวัตถุ
ชอบรบฆ่าฟันกัน

พวกโลกีย์เอาพระแขวนคอ
พวกโลกุตตระเขาเอาพระแขวนที่ใจ
พระโสดาแขวนพระอยู่ภายในใจนี่เอง
ทำสติให้ตั้งมั่น สัมปชัญญะความรู้ตัว..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่บุดดา ถาวโร






เกาะชายจีวร

... ในวันหนึ่ง มีผู้ศรัทธาหลายท่านได้มากราบหลวงปู่ มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ปีกว่า เข้ามากราบหลวงปู่ด้วยความศรัทธาเธอนั่งพนมมือ แล้วกล่าวกับหลวงปู่ว่า...

" หลวงปู่เจ้าคะ ลูกจะขอเกาะชายจีวรหลวงปู่ไปนิพพาน ด้วยคนนะเจ้าคะ "

หลวงปู่ท่านหันหน้ามาพูดกับหญิงคนนั้นว่า...

" ขี้แทนกันได้หรือเปล่าล่ะ "

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่บุดดา ถาวโร





ชำระจิตให้หายเหม็น

หลวงปู่ : ถุงเท้า เสื้อผ้า ที่ใช้แล้วยังไม่ได้ซัก เหม็นไหม ?

ศิษย์ : เหม็นค่ะ

หลวงปู่ : แล้วขี้ เยี่ยว เหม็นไหม ?

ศิษย์ : เหม็นค่ะ

หลวงปู่ : เสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก กับ ขี้เยี่ยวที่อยู่ข้างใน อันไหนเหม็นกว่ากัน ?

ศิษย์ : ข้างในเหม็นกว่าค่ะ

หลวงปู่ : แล้วไอ้ขี้ที่อยู่ข้างนอก ตั้งแต่หัวจดเท้าลงมา เหม็นไหม แล้วซักได้ไหม ?

ศิษย์ : ซักได้ชั่วคราวค่ะ

หลวงปู่ : แล้วร่างกาย มันมีดีตรงไหน ในเมื่อกายไม่ดี เหม็นขี้ทั้งตัว โดยอาศัยความโง่ ที่เราไปหลงเกาะติดกาย ทำให้เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ทุกข์ของกายอย่างนี้แก้ไขให้หายเด็ดขาดไม่ได้ จนกว่ากายจะตายไป

ถ้าเอ็งหมั่นชำระจิตให้หายเหม็น วาจาก็หายเหม็นได้ ส่วนกายนั้นแก้ไม่ได้มีแต่ขี้ทั้งนั้น จิตนั้นแก้ได้ต้องแก้ที่จิต ทุกข์-สุข เกิด-ดับ ต้องแก้ที่ตรงจิตนี้ สิ้นทุกข์-สุข รู้เกิด-ดับเมื่อไหร่ จิตก็หายเหม็นเมื่อนั้น.

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่บุดดา ถาวโร
วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี






"...วันนี้เรานั่งสมาธิแล้วหรือยัง เวลานี้จิตเราตั้งมั่นในสมาธิเป็นปรกติดีหรือยัง ผู้ใดปล่อยจิตไปตามกามารมณ์ ผู้นั้นจะต้องเดือดร้อนในภายหลัง

เพราะกามทั้งมวล ล้วนแต่นำทุกข์มาให้ ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน และติดตามไปในอนาคต นักปฏิบัติทางจิตทั้งหลาย ควรละทิ้งให้ได้ในเวลานี้ เป็นการดีมาก

เพราะท่านผู้ใดละกามตัวนี้ได้ ย่อมอยู่เป็นสุขทุกลมหายใจ สิ่งเดือดร้อนทั้งหลายในโลกนี้ ทั้งมวลนี้ ล้วนแล้วแต่กามเป็นเหตุ เหตุใหญ่อยู่ที่ใจ หลงใหลในกามารมณ์..."

โอวาทธรรมคำสอน..
อง์หลวงปู่สิม พุทธาจาโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO