นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 5:06 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ให้พากันสวดมนต์ภาวนา
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 25 ก.ค. 2017 4:51 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
"เอาพุทโธมาเป็นที่พึ่งแหละ ว่างจากงานก็ "พุทโธ" ให้ต่อเนื่อง อย่าให้อารมณ์ทางโลกมาแทรก พุทโธ คือ พระบรมศาสดา พุทโธแล้วไปสวรรค์ไปนิพพานได้ ใครด่าก็อย่าไปด่าตอบ พุทโธๆๆ เอาไว้"

-:- หลวงพ่อสวัสดิ์ ปิยธัมโม -:-
วัดป่าคูขาด ต.หนองเรือ อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม





...ตอนต้น เวลาเรา
จะรักษาศีลก็รู้สึกมันยาก
ข้อนี้ก็ยาก ข้อนั้นก็ยาก
มันยากไปหมด
.
...เพราะเราไม่เคยรักษามัน
เราเคยมีแต่ทำลายศีล
ไม่มีการรักษาศีล
เราอยากจะพูดปดเราก็พูดปดกัน
เราอยากจะฉ้อโกงเราก็ฉ้อโกงกัน
เราอยากจะประพฤติผิดประเวณี
เราก็ประพฤติผิดประเวณีกัน
เราอยากจะดื่มสุรายาเมา
เราก็ดื่มกัน
เราอยากจะฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
เราก็ฆ่ากัน
. ...มันก็เลยทำให้รู้สึกยาก
เวลาที่เราจะมาหยุดการกระทำเหล่านี้
แต่ถ้าเรามีความตั้งใจว่า
"มันเป็นสิ่งที่ดี"
ถ้าเรารักษาศีลได้แล้ว เราจะ
ได้รับความสุขมากกว่าการที่เรา
ไม่รักษาศีล
........................................

คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมมะบนเขา 25/6/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







การนั่งภาวนานี้ มีข้อสำคัญที่จะต้องทำอยู่ ๓ ข้อ คือ

๑. ลมหายใจ ให้เป็นวัตถุที่ตั้งของจิต

๒. สติ คือการนึกถึงคำภาวนา พุท หายใจเข้า โธ หายใจออก

๓. ทำจิตให้อยู่กับลมกับคำภาวนา ทำลมให้สบาย ทำจิตให้สบาย อย่าสะกดลม อย่าสะกดจิต ทำจิตของตนให้เที่ยงตรง ไม่วอกแวก

สติอยู่กับลม เรียกว่า "อานาปานสติ"

สติอยู่กับกาย เรียกว่า "กายคตาสติ"

ถ้ามีสติอยู่กับกายและจิตอยู่เสมอ เรียกว่า "เจริญกรรมฐาน"

อย่างที่เรานั่งภาวนากับอยู่อย่างนี้ ก็เรียกว่า เรานั่งทำงาน คือทำ "กรรมฐาน"

ผลที่เกิดจากกรรมฐาน คือ ทำให้บาปทางใจสงบไปหมด และทำให้ธาตุสงบไปทุกๆ กอง จิตของเราก็โปร่งว่างเหมือนทะเลที่ไม่มีคลื่น คือ ลมก็สงบ น้ำก็ราบเรียบ อากาศก็ใส.

"ท่านพ่อลี ธมฺมธโร"








...รู้ภายนอก รู้ภายใน...

..ถ้าเอาทางโลกมันก็ดีอยู่ สร้างวัตถุภายนอกไว้ใหญ่โต แต่แล้วสร้างของภายนอกเก่ง อย่างพวกโทรเลข โทรทัศน์ โทรพิมพ์ โทรสาร นานัปการ สร้างได้อยู่ของภายนอก แต่ไม่สร้างภายใน สมัยครั้งพุทธกาล เครื่องเหล่านี้ไม่มี แต่ท่านรู้ได้หมด ทำไมถึงรู้ได้ ก็คือมาเอาใจ เอาสติกับใจมาอยู่ด้วยกัน จนลงเป็นสมาธิ วางจากอารมณ์ทางนอกหมด ความรู้ทางในมันก็รู้เท่านั้น ออกจากทางนอกนี่ก็ไปรู้ภายใน ถ้าเรายังรู้อยู่แต่ภายนอก ก็รู้แต่ของภายนอกแค่นี้ ตาก็ดูแต่ของภายนอก หูก็ได้ยินแต่เสียงภายนอก ดูแต่ของภายนอก เข้าไปภายในไม่รู้จักเรื่อง ก็ว่าเข้าไปหาโลกวิญญาณไม่ได้..

..หลวงปู่ศรี มหาวีโร..





ธรรมะแก้หนาว

" หลวงปู่เจ้าค่ะ ลูกไปอินเดียมา ไปไหว้พระที่ ๔ สังเวฯ เห็นผ้าขนจามรีรู้สึกชอบเลยซื้อมาถวายหลวงปู่เจ้าค่ะ เป็นผ้าขนวัวเจ้าค่ะ" สตรีสูงอายุท่านหนึ่งพร้อมคณะกว่าสิบท่านได้เดินทางมากราบหลวงปู่ เช้านี้อากาศหนาวและคณะศิษย์หลายท่านเป็นห่วงองค์หลวงปู่จึงเดินทางมาจากอ่างทองเพื่อนำผ้าขนวัว จามรีมาถวาย

หลวงปู่ : โอ้ งัวหยังมาขนยาวแท้ มันคืองัวบ้านเฮาบ่ (โอ้ วัวอะไร ทำไมขนมันยาว ทำไมวัวบ้านเราขนไม่ยาว)

โยม : ไม่เหมือนเจ้าค่ะ วัวนี้เป็นวัวบนเขาหิมะ หนาวมากขนวัวเลยยาวเจ้าค่ะเอาไว้กันหนาว วัวบ้านเราเป็นวัวเมืองร้อน ขนเลยสั้นเจ้าค่ะ คนเอาขนมันมาทำผ้าห่มกันหนาว อุ่นมากเลยนะเจ้าค่ะ

หลวงปู่ : วัวนี้มันเก่งนะรู้จักปรับตัว อากาศหนาว อากาศร้อน คนเราก็เหมือนกันนะ ให้รู้จักปรับตัว โลกมันหนาวก็หาผ้ามาห่ม โลกมันร้อนก็อาบน้ำแก้ร้อน ฝนมันตกให้รู้จักกางร่มกันฝน เราปรับตัวใส่โลก อย่าให้โลกปรับตัวใส่เรา เราแก้โลกไม่ได้แต่เราปรับตัวเองใส่โลกได้ อย่าคอยแต่ให้โลกตามใจเรา เราต้องปรับใจใส่โลก หมดหนาวมันก็ร้อน หมดร้อนมันก็ฝน หมดฝนมันก็หนาว หมดหนาวมันก็ร้อน โลกมันสอนเรา สอนให้เราปรับตัว แก้หนาว แก้ร้อน แก้ฝน แก้ทั้งปีทั้งชาติ ปัญหาทั้งหลายก็เหมือนกัน หมดเรื่องนี้ก็มีเรื่องใหม่ อย่าคิดว่าชีวิตเราจะไม่มีปัญหา มีก็แก้ ก็ปรับตัวปรับตน ทุกคนก็มีปัญหาของตนเอง ก็แก้ของตนเอง ปรับใจใส่แก้เอาทำเอา หนาวมันสอนเรา ร้อนมันสอนเรา ฝนมันสอนเรา ปรับเอาแก้เอา วัวมันยังปรับยังแก้เป็นคนอย่าแพ้วัว เข้าใจนะ......

โอวาทธรรม : หลวงปู่หา สุภโร





" มัวแต่คิดจะต่อต้านผู้อื่น ทำไมไม่คิดต่อต้านกิเลสตัวเอง เอาชนะกิเลสตัวเอง

ทำอย่างไร...ความโลภมันจึงจะเบาบางลง
ทำอย่างไร...ความโกรธมันจึงจะเบาบางลง
ทำอย่างไรความหลงมัน...จึงจะเบาบางลงไป

นี่คือ...หน้าที่ของเราโดยตรง "

สนิม กินเหล็ก กิเลส กินใจ โลภ โกรธ หลง เป็น "กิเลส" ที่ยุให้รำ ตำให้รั่ว จองเวรจองกรรม ไม่สื้นสุด ไม่มีเหลือ เราอย่าไปโทษคนอื่น กิเลสของเราเองนี่แหละ ทำลายจิตใจของตัวเรา ทำลายคุณสมบัติ ของจิตใจของเราให้เสื่อม จากคุณงามความดี ไปเกิดในภพที่ต่ำ ลำบาก ตรากตรำ ตนเตือนตน เตือนตนเอง ระวังกันไว้ให้ดีนะ สนิม มันกินเหล็ก กิเลส มันกินใจ

โอวาทธรรม องค์หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
วัดศรีอภัยวัน อ.เมือง จ.เลย






เดี๋ยวนี้เราเข้าใจคำว่า ‘บุญ’ และ ‘ทาน’ แคบลง หรือเข้าใจคลาดเคลื่อน ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการทำบุญ คือ การถวายของให้พระหรือวัดเท่านั้น ความคิดนี้ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เนื่องจากการถวายของแก่พระสงฆ์นั้น ก็ถือว่าเป็น ‘ทาน’ อย่างหนึ่ง

‘ทาน’ ในพระพุทธศาสนานั้น หมายถึง การสละสิ่งของจะให้ใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือฆราวาส ก็เรียกว่า ‘ทาน’ ทั้งสิ้น อย่างทานที่ถวายพระสงฆ์ก็ เรียกว่า ‘สังฆทาน’ แต่คนมักจะเข้าใจผิดว่า การให้ของแก่ฆราวาส เรียกว่า ‘ทาน’ แต่การให้ของแก่พระ เรียกว่า ‘บุญ’ อันนี้ไม่ใช่

‘บุญ’ ในพระพุทธศาสนานั้นมี 10 อย่าง โดยมี ‘ทาน’ เป็นหนึ่งในบุญเหล่านั้น นอกจากนี้ ก็จะมีการทำบุญอีก 9 วิธีที่เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย เช่น การรักษาศีล การบำเพ็ญภาวนา การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘เวยยาวัจจมัย’ คือ บุญที่เกิดจากการทำเพื่อส่วนรวม ซึ่งใกล้เคียงกับคำว่า ‘จิตอาสา’

แต่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ‘บุญ’ เกิดจากการถวายของให้พระ ทำให้คนส่วนใหญ่มุ่งแต่จะถวายสิ่งของ ถวายเงินให้พระอย่างเดียว ไม่สนใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ปฏิเสธที่จะเป็นจิตอาสารักษาสิ่งแวดล้อม มองข้ามการทำงานช่วยเหลือสังคม ฯลฯ เหตุผลเพราะ ประการที่หนึ่ง เราไปเน้นการให้ด้วยเงิน ทั้ง ๆ ที่สามารถให้อย่างอื่นได้ด้วย เช่น ให้เวลา ให้แรงงาน หรีอให้ความรู้ ประการที่สอง เรามักไปเน้น ‘ผู้รับ’ ที่เป็น ‘พระ’ มากกว่าคนทั่วไป

คนในอดีตจะเข้าใจคำว่า ‘บุญ’ กว้างกว่าคนในปัจจุบัน ยกตัวอย่างง่ายๆ คนเมืองเพชรแตก่อนเวลาเขาจะปลูกต้นไม้สักต้น เขาจะมีคาถาเรียกว่า “คาถากลบดิน”คือ

‘พุทธัง ผลาผล นกเกาะได้บุญ คนกินเป็นทาน
ธัมมัง ผลาผล นกเกาะได้บุญ คนกินเป็นทาน
สังฆัง ผลาผล นกเกาะได้บุญ คนกินเป็นทาน’

จะเห็นได้ว่า การปลูกต้นไม้นั้นก็ถือเป็นการทำบุญ เป็นการให้ทานที่ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่เกิดจากจิตที่เมตตาทั้งกับคนและสัตว์

โอวาทธรรม พระไพศาล วิสาโล





"เมื่อเราทำความดี ในวันหนึ่งๆ อยู่ทุกวัน
จะตายวันไหน ก็ดีทั้งนั้น ประเสริฐทั้งนั้น"
-:- สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ -:-







"ดูหัวใจเจ้าของนั่นซิ
อย่าไปดูหัวใจคนอื่น
ไปตำหนิคนนั้น ไปเกลียดคนนี้
ไปชังคนนั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร
มีแต่เข้าเนื้อเจ้าของทั้งนั้น
ดูเจ้าของมันบกพร่องตรงไหน
ดูเจ้าของ ซ่อมเจ้าของลงไป
ให้เต็มที่แล้วพอแล้วเท่านั้นพอ"

-:- หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน -:-







"ฟังธรรมแล้วไม่นำมาปฏิบัติ
ก็เหมือนกับถือผลไม้ไว้เท่านั้น
ยังไม่ได้กิน ยังไม่ได้ลิ้มรส
ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร"

-:- หลวงปู่ชา สุภัทโท -:-





"จะหาเท่าไร มันก็เท่านั้น สมบัติในโลก
สุดท้ายก็ต้องคืนให้กับโลก จะเอาอะไรนักหนา
เอาเท่าที่ได้ พอใจเท่าที่มี เท่านั้นพอ"
-:- ท่านพุทธทาสภิกขุ -:-





"...กิเลสไม่ได้อยู่ที่กาย กิเลสอยู่ที่ใจ เหมือนฝึกม้าพยศ กิเลสไม่มีพอ ไม่เคยอิ่ม หิวตลอด อยากตลอด เหมือนเชื้อไฟกองใต้ภูเขา กิเลสเก่งแบบนี้ แต่พอธรรมเก่ง ธรรมก็พอกันกับกิเลส ตามฟาดฟัน กันตลอด ธรรมทำกิเลสหมอบได้ จนขาดสะบั้นลงในที่สุด..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี






"...แม้แต่เนื้อตัวร่างกายของท่านที่เคยยิ่งใหญ่ จนถึงกับเป็นผู้ที่ไม่อาจแตะต้องได้ แต่แล้วก็ต้องทอดทิ้งจมดินและทราย จนในที่สุดก็สลายไป จนหาไม่พบว่า เนื้อ หนัง กระดูก ขน เล็บ ตับ ไต ไส้ กระเพาะ ของท่าน ไปอยู่ที่ตรงไหน คงเหลืออยู่แต่สิ่งที่เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามสภาพเดิม ที่ก่อกำเนิดมาเป็นตัวของท่านแต่เพียงชั่วคราวเท่านั้น

เมื่อความจริงก็เห็นๆกันอยู่เช่นนี้แล้ว เหตุใดเราท่านทั้งหลายไม่เร่งขวนขวายสร้างสมบุญบารมี ที่เป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐ ซึ่งจะติดตามตัวไปได้ในชาติหน้า..."

พระโอวาทธรรมคำสอน..
องค์สมเด็จพระญาณสังวร(เจริญ สุวัฑฺฒโน)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์








"...ให้พากันสวดมนต์ภาวนา จำศีล อย่าปล่อยอย่าวาง อันนี้ละเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตาย ส่วนหน้าที่การงานสมบัติเงินทองอะไรมากมายนั้น ก็จะทิ้งเกลื่อนอยู่ในโลกอันนี้ไม่ไปกับเรา ส่วนที่ไปกับเรามีแต่บุญ ให้พยายามสั่งสมบุญเสียตอนนี้ อย่าพากันประมาท เวลาตายแล้วจะไม่มีอะไรเกาะไม่มีอะไรติด มีแต่บุญกับบาปติดที่หัวใจ

เพราะฉะนั้น ให้สร้างบุญให้มากกว่าบาป ให้พยายามละบาป แล้วบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลให้มากขึ้นโดยลำดับ ตายแล้วใจก็เบาหวิว ใจมีบุญมีกุศลนี้เบาหวิว ใจของคนมีศีลมีธรรมนี้ไปได้เบาหวิวๆ ใจของคนมีแต่บาปหาบแต่กรรมนี้จมเลยๆ ให้พากันจำให้ดี..."

เทศนาธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO