นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 1:23 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความหวัง
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 14 ก.ค. 2017 4:20 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
ลูกอยากแต่งหน้าเข้าสังคมค่ะ

โยม ; หลวงปู่เจ้าขา ในพรรษานี้ลูกอยากมาถือศีลแปดทุกวันพระ ติดที่ว่าลูกต้องไปทำงานทุกวัน มาถือศีลไม่ได้เจ้าค่ะควรทำอย่างไรเจ้าค่ะ

หลวงปู่ ; ศีลของคุณอยู่ไหนหล่ะ ถ้าคุณถือศีลที่วัดคุณก็ไม่ต้องมา ถ้าคุณถือศีลที่ใจปฏิบัติส่วนตัวเองคุณก็มาถือสิ

โยม ; ศีลโยมถือที่ใจเจ้าค่ะ

หลวงปู่ ; เออ คุณถือที่ใจ ใครๆก็ถือที่ใจ ถ้าคุณถือศีลที่วัดคุณก็ต้องอยู่วัด ถ้าคุณถือศีลที่ใจจะไปไหนๆคุณก็ไม่ต้องห่วงจะไม่มีศีล มันเป็นเรื่องของใครของมัน เป็นกิจภายในเราจะต้องห่วงอะไร คุณก็เอาศีลไปทำงานด้วยสิ

โยม ; แต่ถ้าโยมถือศีลแปดแล้วไปทำงานโยมก็แต่งตัว ทาแป้ง ทาลิปไม่ได้นี่สิเจ้าค่ะ

หลวงปู่ ; บ่ะ ไหนคุณว่าคุณถือศีลที่ใจเด้ คุณเอ้ย ศีล๕ ศีล๘ ศีล ๒๗๗ ศีล๓๑๑ ศีลแปดโกฏิสี่กือ ไม่มีดอก ศีลมีข้อเดียว คือข้อใจข้อเจตนา ศาสนานี้เอาเจตนาเป็นใหญ่ ส่วนจำนวนพวกนั้นเป็นชื่อของความเลว เป็นชื่อของความชั่ว พระพุทธเจ้าเอาเจตนาเป็นใหญ่ ถ้าเจตนาอย่างไรผลก็ไปตามนั้น เจตนาเป็นตัวชี้กรรมชี้วิบาก คุณเอ้ยคนมีธรรมคือคนเข้าใจธรรมชาติ คนที่ผิดธรรมชาติ กระทำผิดธรรมชาติอันนั้นไม่เรียกว่าธรรม ทาโลดทาลิป ทาแป้งนั้นทาโลด คุณทาเพื่อเข้าสังคมทำตัวให้เป็นปกติในสังคม วันดีคืนดี มาเข้าวัดจำศีลไปทำงาน หน้าดำปากขาว ปานผีหลอก คนเห็นเข้าจะว่าคุณบ้า เขาจะว่าผีหลอก เขาจะตำหนิว่าคนเข้าวัดบ้าๆบอๆ ให้ฉลาดนะ คนปฏิบัติธรรมให้ฉลาดนะ เราแต่งหน้าถือศีลแปด เรารู้ว่าเราแต่งตัวเพื่อไม่แปลกสังคม ไม่ได้ทาเพื่อยึดเพื่อติด เพื่อสวยเพื่องาม เอาใจเอาเจตนาเป็นสำคัญนะ ทำใจแบบนี้คุณจะถือศีลแปดไปทำงานได้หรือไม่หล่ะ

โยม ; รักษาศีลแปดก็ไปทำงานได้เจ้าค่ะ

หลวงปู่ ; เออ คนมีธรรมอย่าโง่นะ อย่าแปลกสังคมธรรมมะคืออยู่กับสังคมไม่แปลกสังคม เขาใจนะ

โอวาทธรรม หลวงปู่หา สุภโร






"กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง
กรรมดีให้ผลดีจริง กรรมชั่วให้ผลชั่วจริง
ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
ผู้ไม่ได้ทำ หาต้องได้รับไม่"

-:- สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ -:-







"อันความหวังนั้น หวังด้วยกันทุกคน
แต่สิ่งที่จะมาสนองความหวังนั้น
ขึ้นอยู่กับ การประพฤติปฏิบัติของตน
เป็นสำคัญ เราอย่าให้มีความหวังอยู่ภายในใจ
อยู่อย่างเดียว ต้องสร้างเหตุอันดี ที่จะเป็น
เครื่องสนองตอบแทน ความหวังนั้นด้วย"

-:-หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน-:-






ขอเตือนว่าให้ท่านทั้งหลายหมั่นอนุสรณ์
คำนึงถึงคุณความดีที่ตนได้ประพฤติมาแล้ว...
ถ้าเห็นคุณความดีที่ตนได้ประพฤติมา
พอเป็นที่อุ่นใจได้
ก็ควรอิ่มใจว่าเราเกิดมาไม่เสียชาติ
เราได้บำเพ็ญคุณความดีไว้ถึงเพียงนี้แล้ว
แม้มรณภัยจะมาถึงวันใด
เราก็จักไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกินแหนง
จะยอมตายด้วยดี.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)






ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อชา
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

•• สภาวธรรม เกิดเอง เป็นเอง พอดี ••

วันหนึ่งขณะที่เดินจงกรมอยู่ เวลาประมาณห้าทุ่มกว่า รู้สึกแปลกๆ มันแปลกมาแต่ตอนกลางวันแล้ว รู้สึกไม่คิดมากมีอาการสบายๆ เขามีงานอยู่ในหมู่บ้านไกลประมาณสิบเส้นจากที่พักซึ่งเป็นวัดป่า เมื่อเดินจงกรมเมื่อยแล้วเลยมานั่งที่กระท่อมมีฝาแถบตองบังอยู่ เวลานั่งรู้สึกว่าคู้ขาเข้าเกือบไม่ทัน เอ๊ะ จิตมันอยากสงบ มันเป็นเองของมัน

พอนั่งจิตก็สงบจริงๆ รู้สึกตัวหนักแน่น เสียงเขาร้องรำทำเพลงอยู่ในบ้าน มิใช่ว่าจะไม่ได้ยิน ยังได้ยินอยู่ แต่จะทำให้ไม่ได้ยินก็ได้ แปลกเหมือนกัน เมื่อไม่เอาใจใส่ก็เงียบไม่ได้ยิน จะให้ได้ยินก็ได้ ไม่รู้สึกรำคาญ ภายในจิตเหมือนวัตถุสองอย่างตั้งอยู่ไม่ติดกัน ดูจิตกับอารมณ์ตั้งอยู่คนละส่วน เหมือนกระโถนกับกาน้ำนี่ ก็เลยเข้าใจว่าเรื่องจิตป็นสมาธินี่ ถ้าน้อมไปก็ได้ยินเสียง ถ้าว่างก็เงียบ ถ้ามันมีเสียงขึ้นก็ดูตัวผู้รู้ขาดกันคนละส่วน

จึงพิจารณาว่า “ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ มันจะใช่ตรงไหนอีก” มันเป็นอย่างนี้ไม่ติดกันเลย ได้พิจารณาอย่างนี้เรื่อยๆ จึงเข้าใจว่า อ้อ ! อันนี้ก็สำคัญเหมือนกัน เรียกว่าสันสติ คือความสืบต่อขาด มันเลยเป็นสันติ แต่ก่อนมันเป็นสันสติ ทีนี้เลยกลายเป็นสันติออกมา จึงนั่งทำความเพียรต่อไป

จิตในขณะที่นั่งทำความเพียรคราวนั้นไม่ได้เอาใจใส่สิ่งอื่นเลย ถ้าเราจะหยุดความเพียรก็หยุดได้ตามสบาย เมื่อเราหยุดความเพียร เจ้าเกียจคร้านไหม เจ้าเหนื่อยไหม เจ้ารำคาญไหม เปล่า ไม่มี ตอบไม่ได้ ของเหล่านี้ไม่มีในจิต มีแต่ความพอดี หมดทุกอย่างในนั้น

•• ประสบการณ์การรู้ธรรม ๓ วาระ ••

ถ้าเราจะหยุดก็หยุดเอาเฉยๆ นี่แหละต่อมาก็หยุดพัก หยุดแต่การนั่งเท่านั้น ใจเหมือนเก่ายังไม่หยุด ดึงเอาหมอนลูกหนึ่งมาวางไว้ ตั้งใจจะพักผ่อน เมื่อเอนกายลงจิตยังสงบอยู่อย่างเดิม พอศรีษะจะถึงหมอนมีอาการน้อมใจ ไม่รู้มันน้อมไปไหนแต่มันน้อมเข้าไป คล้ายกับมีสายไฟอันหนึ่งไปถูกสวิตซ์ไฟเข้า ไปดันกับสวิตซ์อันนั้น กายก็ระเบิดเสียงดังมาก ความรู้ที่มีอยู่นั้นละเอียดที่สุด

พอมันผ่านตรงจุดนั้นก็หลุดเข้าไปข้างในโน้น ไปอยู่ข้างในจึงไม่มีอะไรแม้อะไรๆ ทั้งปวง ก็ส่งเข้าไปไม่ได้ ส่งเข้าไปไม่ถึง ไม่มีอะไรเข้าไปถึง หยุดอยู่ข้างในสักพักหนึ่งก็ถอยออกมา คำว่าถอยออกมานี่ไม่ใช่เราจะให้ถอยออกมาหรอก เราเป็นเพียงผู้ดูเฉยๆ เราเป็นผู้รู้เท่านั้น อาการเหล่านี้เป็นออกมาๆ ก็มาถึงปกติจิตธรรมดา

เมื่อปกติดังเดิมแล้วคำถามก็มีขึ้นมาว่า “นี่มันอะไร ?” คำตอบเกิดขึ้นว่า “สิ่งเหล่านี้ ของเป็นเอง ไม่ต้องสงสัยมัน” (ภายในจิตเขาตอบเอง) พูดเท่านี้จิตก็ยอม เมื่อหยุดอยู่พักหนึ่งก็น้อมเข้าไปอีก เราไม่ได้น้อมจิตมันน้อมเอง พอน้อมเข้าไปๆ ก็ไปถูกสวิตซ์ไฟดังเก่า ครั้งที่สองนี้ร่างกายแตกละเอียดหมด หลุดเข้าไปข้างในอีก เงียบ ยิ่งเก่งกว่าเก่า ไม่มีอะไรส่งเข้าไปถึง เมื่อเข้าไปอยู่ตามปรารถนาของมันแล้วก็ถอยออกมาตามสภาวะของมัน

ในเวลานั้นมันเป็นอัตโนมัติ มิได้แต่งว่า จงเป็นอย่างนั้น จงเป็นอย่างนี้ จงออกอย่างนั้น จงเข้าอย่างนี้ไม่มี เรา เป็นเพียงผู้ทำความรู้ ดูเฉยๆมันก็ถอยออกมาปกติ มิได้สงสัย แล้วก็นั่งพิจารณา น้อมเข้าไปอีก ครั้งที่สามนี้โลกแตกละเอียดหมดทั้งพื้นปฐพี แผ่นดิน แผ่นหญ้า ต้นไม้ ภูเขา โลก เป็นอากาศธาตุหมด ไม่มีคน หมดไปเลย ตอนสุดท้ายนี้ไม่มีอะไร

เมื่อเข้าไปอยู่ตามปรารถนาของมัน ไม่รู้ว่ามันอยู่อย่างไร ดูยาก พูดยาก ของสิ่งนี้ไม่มีอะไรจะเปรียบปานได้เลย นานที่สุดที่อยู่ในนั้น พอถึงกำหนดเวลาก็ถอนออกมา คำว่าถอนเรามิได้ถอนหรอก มันถอนของมันเอง เราเป็นผู้ดูเท่านั้น ก็เลยออกมาเป็นปกติ ขณะนี้ใครจะเรียกว่าอะไร ใครรู้ เราจะเรียกอะไรเล่า

•• พลิกโลกพลิกแผ่นดิน ••

ที่เล่ามานี้เรื่องจิตธรรมชาติทั้งนั้น อาตมามิได้กล่าวถึงจิต เจตสิก ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น มีศรัทธาทำเข้าไปจริงๆ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน เมื่อถึงวาระที่เป็นอย่างนี้ออกมาแล้ว โลกนี้แผ่นดินนี้มันพลิกไปหมด ความรู้ความเห็นมันแปลกไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างในระยะนั้น ถ้าคนอื่นเห็นอาจจะว่าเราบ้าได้นะ เพราะมันไม่เหมือนเก่าสักอย่างเลย เห็นคนในโลกไม่เหมือนเก่า แต่มันก็เป็นเราผู้เดียวเท่านั้น แปลกไปหมดทุกอย่าง
ความนึกคิดทั้งหลายทั้งปวงนั้น เขาคิดไปทางโน้น แต่เราคิดไปทางนี้ เขาพูดไปทางนี้ แต่เราไปทางโน้น เขาขึ้นทางโน้นเราลงทางนี้ มันต่างกับมนุษย์ไปหมด มันก็เป็นของมันเรื่อยๆ ไป ดูจิตของเราต่อๆ ไป มันอาจหาญที่สุดอาจหาญมาก นี่คือกำลังของจิต เรื่องกำลังของจิตมันเป็นได้ถึงขนาดนี้








"..ทำงานอย่าเอาแต่ใจตัวเอง
เราทำอะไรเราก็ว่าเราถูก

แต่มันอาจจะไม่ถูกคนอื่นเขา

อย่ามัวแต่ว่าคนนั้นทำผิด คนนี้ทำผิด
ให้กลับมาดูความผิดของตัวเองอย่างเดียวดีกว่า..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก






"...เพราะร่างกายไม่ใช่ของสวยงามอะไร เขาเกิดมาเพื่อแก่ เพื่อเจ็บ เพื่อตายเท่านั้นเอง อวัยวะแต่ละส่วนๆ ก็ล้วนเป็นของปฏิกูลด้วยกันทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าร่างกายเป็นของปฏิกูล เป็นของน่าเกลียดเป็นของไม่สวยไม่งาม จะสวยงามอะไรก็ของมันต้องล้างกันอยู่ทุกวัน ถ้ามันไม่ล้างแล้วมันจะขนาดไหน นี่ ความจริงเป็นอย่างนี้

แต่เราพยายามปกปิดกัน พยายามที่เอาอันนั้นมาปิด เอาอันนั้นมาเคลือบ เอาอันนั้นมาย้อม อันนี้เป็นการปกปิดเป็นการหลอกลวงกันอยู่เสมอ ความเป็นจริงเราไม่ค่อยจะให้มันปรากฏออกมา..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่แบน ธนากโร







"...อะไรที่ทำให้เราต้องกระทบ ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม มันล้วนแต่กฎของกรรมทั้งนั้น

ไปพบชาวโลกเขาด่า เขานินทา เขาสรรเสริญ เขาใช้เราทำโน่นทำนี่ ก็ต้องถือว่าพบพอดี เราทำเขาไว้ก่อน ถ้าไม่ทำไม่เจอหรอก พอดีอย่างนั้น..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่บุดดา ถาวโร







"...พอตัวกู โผล่มาที่ไร ก็มีอาการโรคบ้า
บ้าเพราะทุกข์ ของอาการยึดมั่นถือมั่น

จะมีเพียงธรรมกำมือเดียวนี่แหล่ะ
ที่จะรักษาโรคบ้านี้ได้ ไม่มีเรื่องอื่น

สั้นๆ ลัดๆ คือ ให้ทำลายความยึดมั่น
ว่านี่ตัวกู นี่ของกู เท่านั้นเอง..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์ท่านพุทธทาสภิกขุ







"...เราจะเข้าสู่สงคราม กิเลสสงครามคืออะไรเล่า คือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้ เวลาเราจะดับขันธ์ให้ตั้งสติเพ่งตรงผู้รู้ เข้าถึงสมาธิคือจิตตั้งมั่น มันก็ไม่หวั่นไม่ไหวในทุกขเวทนาทั้งหลาย

เวทนาก็สักแต่เวทนา สัญญาก็สักแต่ว่าสัญญา สังขาร วิญญาณก็สักแต่ว่าเป็นสังขาร วิญญาณ นึกถึงแต่ผู้รู้ รู้เท่าสังขารรู้เท่าวิญญาณ เรื่องมันเป็นยังงั้น..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO