นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 3:04 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 13 ก.ค. 2017 5:45 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
ธรรมเป็นของมีอยู่แล้วดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์กาลไหนๆ จนคำนวณไม่ได้เลยว่านานเท่าไร แต่ไม่มีผู้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหามาเป็นประโยชน์ หรือเป็นสิริมงคลมหามงคลแก่ตน ธรรมก็เหมือนกับแร่ธาตุต่างๆ ฝังจมอยู่ในแผ่นดิน เหยียบไปย่ำมาอยู่อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ผู้มีความฉลาดคุ้ยเขี่ยขุดค้นเอาแร่ธาตุต่างๆ มาก็มาเป็นประโยชน์มากมาย นี่แร่ธรรม ธรรมธาตุก็อย่างนั้นเหมือนกัน มีอยู่อย่างนั้นเหมือนสิ่งอื่นๆ ที่ไร้ค่าไร้ราคา อันนี้มีค่ามีราคามีอยู่เช่นเดียวกัน แต่ผู้โง่ผู้ฉลาดมีสองประเภท ผู้โง่ก็หาเอาตั้งแต่มูตรแต่คูถ ผู้ฉลาดก็หาเอาตั้งแต่สมบัติเงินทองที่ดีๆ อรรถธรรมนั่นละ
.
สมบัติเงินทองแปรได้สองสภาพ แยกไปทางดีก็ได้ พาให้เจ้าของล่มจมก็ได้ ถ้าเจ้าของประมาทเสียอย่างเดียว ถ้าเจ้าของฉลาดสิ่งนี้หนุนให้ขึ้นถึงนิพพานได้นะไม่ใช่ธรรมดา แปรได้ทั้งนั้น ของต่ำให้เป็นของสูงได้ ของสูงกลับมาเป็นของต่ำ กดเจ้าของจมลงในนรกก็มี อันนี้ไม่แยกออกละ ให้ไปแปลเอา

.............................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๗





...คนที่..เสพรูปเสียงกลิ่นรสนี้
"ต้องใช้ ร่างกาย" เป็นเครื่องมือ
.
...พอร่างกายบกพร่องไป
ไม่สามารถเสพได้ก็ ทุกข์
ขาดความสุขที่ได้จาก รูปเสียงกลิ่นรส
.
...แต่คนที่..เสพความสงบนี้
"ไม่ต้องใช้ ร่างกาย"
ไม่ต้องใช้ ตาหูจมูกลิ้นกาย
.
...มีสติ ทำใจควบคุมใจให้ "ใจสงบ"
ใจก็มีความสุขแล้ว.
.........................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 11/7/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





"วางเฉยได้ก็ดีที่สุด"

ถาม : ดิฉันได้อ่านธรรมะที่เกี่ยวกับคนหลงดีค่ะ ดิฉันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีคนเกลียดเยอะ ซึ่งดิฉันก็ถามเพื่อนถึงข้อเสียของตัวเอง แต่เพื่อนก็บอกมาแล้วดิฉันก็พยายามปรับปรุง แต่ที่ยังมีคนเกลียดอยู่เพราะมีคนใส่ร้ายอยู่ค่ะ แล้วดิฉันก็วางเฉย เพราะบางเรื่องที่เขาเอาไปพูดไม่เป็นความจริง ทำให้มีคนเกลียดเยอะมากขึ้น ดิฉันวางเฉยในเรื่องนี้ดิฉันทำถูกไหมคะ

พระอาจารย์ : ถูกแล้วแหละ เพราะว่าเราไปห้ามเขาไม่ได้ เขาจะพูดดีพูดร้ายเกี่ยวกับเรานี้ เราไปสั่งเขาไม่ได้ห้ามเขาไม่ได้ ขอให้เราดูความจริงของเราก็แล้วกัน เขาว่าเราเป็นควาย เราดูว่าเรามีเขาหรือเปล่า ดูที่กระจกดู ถ้าเราไม่มีเขาไม่มีอะไรเราก็อย่าไปสนใจ แต่เราไปห้ามเขาไม่ได้ห้ามเขาไม่พูดว่าเราเป็นควายไม่ได้ ก็ปล่อยเขาพูดไปอย่าไปสนใจ วางเฉยได้ก็ดีที่สุด.

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






"ความได้ในสิ่งสารพัดทั้งปวงเรียกว่า ลาภ

มนุษย์เมื่อได้ลาคก็เกิดความพอใจยินดีแล้วก็ไม่อยากให้ลาภเสื่อมไปเสียไป และเมื่อลาภเสื่อมไปเสียไป ก็เกิดความเด์อดร้อนตีโพยตีพาย วุ่นวายกระสับกระส่ายไม่เป็นอันจะกินจะนอน นั้นเรียกว่าโลกโดยแท้ พระองค์จึงทรงสอนธรรมทับลงเหนือโลกแท้ คือ แสดง ความได้ลาภ - เสื่อมลาภ ให้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นธรรมดาของโลก แต่ไหนแต่ไรมาโลกนี้ต้องเป็นอยู่อย่างนั้น เราจะถือว่าของกูๆ ไม่ได้

ถ้ายึดถือว่าของกูๆ อยู่ร่ำไป เมื่อลาภเสื่อมไปมันจึงเป็นทุกข์เดือดร้อนกลุ้มใจ นั่นแสดงให้เห็นชัดเลยว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ของตน มันจึงเสื่อมไปหายไป ถ้ามันเป็นของเราแล้วไซร์มันจะหายไปที่ไหนได้ ท่านจึงว่ามันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของตนของตัว มันจึงต้องเป็นไปตามอัตภาพของมัน

ความได้ยศ - เสื่อมยศ ก็เช่นเดียวกัน ได้ยศคือความยกย่องว่าเป็นใหญ่เป็นโต มีหน้ามีเกียรติ มีอำนาจหน้าที่ มีชื่อเสียง จิตก็พองตัวขึ้นไปตามคำว่า ยศ นั้น

หลงยึดว่าเป็นของตัวจริงๆ จังๆ ธรรมดาความยกย่องของคนทั้งหลายแต่ละจิตละใจก็ไม่เหมือนกัน เขาเห็นดีเห็นงามในความมียศมีศักดิ์ของคนตนด้วยประการต่างๆ เขาก็ยกย่องชมเชยด้วยความจริงใจ

แต่เมื่อเขาเห็นกิริยาวาจาอันน่ารังเกียจของตนที่แสดงออกมาด้วยอำนาจของยศศักดิ์ เขาก็จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งปฏิบัติไปด้วยความเกรงกลัว ตนกลับไปยึดถือศักดิ์นั้นว่าเป็นของจริงของจัง เมื่อมันเสื่อมหายไป ความเกรงใจจากคนอื่นก็หมดไปด้วย ตนเองก็กลับโทมนัสน้อยใจ ไม่เป็นอันหลับอันนอน อันอยู่อันกิน แท้จริงแล้วความได้ยศ- เสื่อมยศนี้ เป็นของมีอยู่ในโลกแต่ไหนแต่ไรมาเช่นนี้ ตั้งแต่เรายังไม่เกิดมา พระพุทธองค์จึงทรงสอนธรรมให้เห็นว่า ได้ยศ-เสื่อมยศนี้เป็นของมีอยู่ในดลก มิใช่ของใครทั้งหมด ถ้าผู้ใดไปยึดถือเอาของเหล่านั้นย่อมเป็นทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด ให้เห็นว่ามันเป็นอนัตตาไม่ใช่ของใครทั้งหมด มันหากเป็นจริงอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา"

....หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี







"ให้เอา พุทโธ เป็นอารมณ์ของจิตไปก่อน

เมื่อบริกรรม พุทโธ จนจิตเป็นสมาธิแล้วให้วาง พุทโธ แล้วกำหนดผู้รู้คือจิต

เมื่อพักอยู่ในความสงบพอควรแล้ว ให้ถอนจิตขึ้นมากำหนดพิจารณากายเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งก่อน พิจารณาอยู่จุดเดียวจนเกิดความชำนิชำนาญแล้วจึงขยายต่อไปสู่ส่วนอื่นจนทั่วทุกส่วนของร่างกาย

เบื้องบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา พิจารณาให้รู้ให้เข้าใจหมดสงสัยทั้งกายตนกายผู้อื่น ทั้งหญิงทั้งชาย พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในไตรลักษณ์อย่าให้จิตส่งออกภายนอกกาย

เอากายนี้เป็นเป้าหมายในการพิจารณา เอากายนี้เป็นมรรค เอากายนี้เป็นผล

ถ้าผู้ปฏิบัติส่งจิตออกรู้ภายนอกจากายนี้ เป็นการปฏิบัติที่ผิดทาง

การเจริญภาวนาโดยยึดเอาอายตนะภายใน ๖ อย่าง มาเป็นอารมณ์เพื่อทำให้ใจสงบ การพิจารณาต้องน้อมนำเข้ามาสู่ภายใน พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็จะวางเอง

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้กล่าวไว้ว่า "เหตุก็เขาเก่านี้แหละ แต่ไม่รู้ว่าของเก่า"

ของเก่านี้ได้แก่ ขา แขน ตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อเวลาปฏิบัติภาวนาก็ให้พิจารณาอันนี้แหละให้รู้แจ้งภายใน นักปฏิบัติต้องพิจารณาตรงที่ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ให้พิจารณากาย พิจารณาใจ ให้เห็นให้เกิดความเบื่อหน่าย ผู้ปฏิบัติต้องน้อมเข้าหาสมมุติ ให้เกิดเป็นวิมุตติ พิจรณาให้รู้แจ้งสมมุติให้เกิดเป็นวิมุตติ พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้อันนี้ ให้เห็นถึงของเก่าซึ่งไม่จิรัง ยั่งยืน จะต้องผุ เน่า เปื่อย ไปในที่สุด"

....หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ






"ความขลัง".....หลวงตามหาบัว ญานสมฺปนฺโน

.....ทุกวันนี้พระองค์ไหนมีคนแห่ มันถึงจะขลัง ไปที่ไหนมีคนห้อมล้อม แล้วขลัง ถ้าไม่มีคนห้อมล้อมแล้วจืดชืด ใช้ไม่ได้

ถ้าเป็นของขลัง อยู่ที่ไหนมันก็ขลังหมด อยู่คนเดียวก็ขลัง อยู่กับใครก็ขลัง ขลังตลอดเวลา

เพราะเรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นเรื่องของโลกของกิเลส ไปไหนต้องแห่กันไป ขลังนะ อาจารย์องค์นั้น มีลูกศิษย์ บริษัท บริวารมาก ขลังในตัวเองไม่ดู ทำตัวให้ดีสิ

คนมีพุทโธนั่นแหละ

คนขลังอยู่ตรงนั้น

พุทโธ คือพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พอพุทโธแย็บขึ้นมาภายในใจ

นั่นแหละ ความขลังอยู่ตรงนั้น.







ขี้ข้างทางมันเหม็น ทำหยาบ ๆ ก็ได้บุญหยาบ ๆ ทำประณีตก็ได้บุญละเอียด ไม่ใช่ทำบุญแบบรีบ ๆ ไม่เตรียมตัว หาซื้อแต่ถังสังฆทานข้างทางโดยไม่เลือก เคยเปิดดูหรือไม่ว่าข้างในมีอะไร หาแต่กระดาษหนังสือพิมพ์ส่งไปให้เขา คนรับเขาจะได้รับอานิสงส์ผลบุญอะไร ให้เขากินหนังสือพิมพ์บ้อ อยากถวายอะไรเราก็เลือกซื้อใส่ถุงนำไปถวายพระท่านเลย งานศพก็อย่าไปหาบูชาผ้าไตรบังสุกุลจากที่วัด ห้ามเลย ไปแย่งทั้งพระแย่งทั้งคนตาย ญาติพี่น้องเขาทำบุญถวายพระให้คนตายแล้ว ไปแย่งเขามา พระก็ไม่ได้ใช้ ไปแย่งกันถึงสวรรค์ถึงนรก อย่าพากันหลงเป็นบ้า ให้ซื้อใหม่ตามกำลัง จะทำบุญเอาหน้าหรือเอาบุญ

ธรรมคำสอนหลวงปู่ประไพร สุภโร







ทรรศนะต่างกัน

การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกันมากเข้าย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา

ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฐิความเห็นย่อมต่างกัน
ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน
การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจ้วงจาบในพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์หรือท่านที่มีศีลมีธรรมก็ดี

จะเป็นกรรมติดตัวเราและขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า
ดังนั้น หากใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย
แม้ต่างวัดต่างสำนักหรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม ไม่มีใครผิดหรอก

เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน
เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุด เท่านั้น

ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า แล้วเราล่ะถึงที่สุดแล้วหรือยัง

โอวาทธรรม หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ
วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จากหนังสือ พรหมปัญโญบูชา







"ความสบายใจ ไม่ได้อยู่ที่
การพยายามทำทุกสิ่ง ให้ได้ดั่งใจ
แต่อยู่ที่การยอมรับว่า
ไม่มีอะไรจะได้ดั่งใจเรา ไปทั้งหมด"

-:-พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ-:-






"การปฏิบัติภาวนา ไม่ต้องรั้งรอ
เพราะคนเรา ไม่รู้ว่าความตาย
จะมาถึงตนวันไหน คืนไหน เวลาใด
ไม่มีใครรู้ เรารู้แต่ว่า
เราเกิดวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น
แต่วันตาย ไม่มีใครรู้
จะรู้ได้ก็โน้นแหละ ตายไปแล้ว"

-:-หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร-:-






"บางทีมีความสุข บางทีมีความทุกข์
บางทีสบาย บางทีรำคาญ
บางทีรักคนโน้น บางทีเกลียดคนนี้
นี้คือธรรมะ"

-:-หลวงปู่ชา สุภัทโท-:-






เรื่องอารมณ์ของใจ
มันทุกข์กับอารมณ์นั่นแหละ
ถ้าคิดมากก็พุทโธ
ท่องเข้าให้มันถี่ยิบ
ท่องพุทโธๆอยู่นั่นแหละ

หลวงปู่ลี กุสลธโร






การภาวนาเบื้องต้น
มันต้องฝึกความสงบให้มาก
อยู่กับการฝึกสติให้มาก
ตัวสตินี้เป็นยอดคำสอนของพระพุทธเจ้า
ถึงแม้จิตจะเป็นสมาธิ
หรือจิตจะเป็นปัญญา
ถ้าสติไม่เพียงพอมันไม่เกิดนะ...

หลวงปู่ลี กุสลธโร






หัวใจตัวเองมันเป็นไฟอยู่ไม่ดูเลย...
ไม่หาดูว่าไฟนั้นมันเกิดมาจากไหน
มันถึงร้อน ไปคิดถึงทางโลกนู่น
ทางธรรมมันไม่คิดเลย
แล้วมันจะไปเกิดความอัศจรรย์ได้อย่างไร
ไปกับรูป กับเสียง กับกลิ่น กับรส
มีเสียงอะไรมาก็ไปด้วยหมด
แล้วหัวใจมันก็ไม่เกิดอะไรสักอย่าง
ไม่มีความอัศจรรย์อะไร

หลวงปู่ลี กุสลธโร





โลกธรรมนั้นเป็นสิ่งธรรมดาโลก
ถ้าใครไปยึดถือมันเข้าก็จะต้องหลง
เกิดความเดือดร้อนกระวนกระวาย
อย่าไปถือเลย
หลวงตาจันทร์กับเจ้าคุณ
มันก็คนคนเดียวกันนั้นเอง
แต่เป็นเรื่องที่เขาสวมหัวโขนให้กันเท่านั้น.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)







เพื่อนของเราส่วนใหญ่มักจะเป็นศัตรูในคราบของเพื่อนโดยที่เราไม่รู้สึกตัว
เขาจะชวนเราไปทางลาภ ยศ สรรเสริญ
ไปหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเราเองก็มีความยินดีอยู่แล้วพอมีใครมาชวนไปในทางนี้ก็เลยมีข้ออ้างทันทีว่ากลัวจะเสียเพื่อนยินดีที่จะเสียมรรค ผล นิพพานมรรค ผล นิพพาน นี้ถ้าได้มาแล้วมันจะเป็นของที่อยู่กับเราอย่างถาวรแต่เพื่อนที่เรากลัวจะเสียนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตายจากกันอยู่ดีแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรในทางธรรมเลย

โอวาทธรรมพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






วิธีแก้ดวงไม่ดี พระราชสังวรญาณ (หลวงปู่พุธ ฐานิโย)ใครว่าดวงดีดวงไม่ดี จะไปแก้ดวงกันได้อย่างไรนอกจากปฏิบัติดีเท่านั้น วิธีแก้ดวงไม่ดีเอาอย่างนี้ซิ ให้ไหว้พระสวดมนต์ เริ่มต้นด้วย อะระหัง.. สวากขาโต.. สุปะฏิปันโน จบแล้วก็ นะโม ๓ จบ สวดอิติปิโส..สวากขาโต.. สุปะฏิปันโน จบแล้วแผ่เมตตาพรหมวิหาร

มาอธิษฐานจิตขอบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงช่วยดลบันดาลให้ดวงข้าพเจ้าดีขึ้น แล้วก็สำรวมจิต สวดเฉพาะบทอิติปิโสบทเดียว สวดให้ได้เท่าอายุตัวเอง หรือจะชักลูกปะคำสวดให้มันได้ ๑๐๘ จบ ยิ่งดี

ทีแรกเราสวด ๓ บทต่อเนื่องกันไปก่อน พออธิษฐานจิตแล้วเราสวดเฉพาะบทอิติปิโสบทเดียว สวดทุกวันๆ เอาบทนี้แหละแทนบทภาวนาเลย ทีนี้พอสวดไปๆ

ถ้าเราสวดทุกวัน สวดหนัก ๆ เข้า เราจะมีอาการกายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ บางทีจิตวูบไปนิ่งสว่าง... หยุดสวดมนต์ปล่อยให้มันหยุดอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องสวดอีก จิตหยุดนิ่ง ...สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน

อิติปิโสนี่เป็นพุทธคุณ พรรณนาคุณของพระพุทธเจ้า เมื่อเราสวดไม่หยุด จิตเราถึงพุทธคุณแล้ว นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน คุณของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นที่จิตของเราแล้ว เราหยุดสวดทันที กำหนดรู้อยู่เฉย ๆ ทำใจเฉย ๆ อยู่

ทีนี้ในช่วงนั้นถ้าหากว่าจิตมันจะละเอียดลงไปจนกระทั่งถึงร่างกายตัวตนหาย ช่างมัน ปล่อยไป... พอมันนิ่งไปสุดช่วงแล้วจิตมันจะถอนออกมาเอง

ถ้าในขณะที่มันนิ่งที่เรารู้อยู่เฉพาะที่จิต ไม่รู้เรื่องภายนอกนี่ คนอื่นเขาอาจเข้าใจว่าเราเป็นอะไรไป แล้วเขาจะมาทุบมาตีมาปลุก

เมื่อปลุกแล้วเราไม่รู้ตัว ถ้าในขณะนั้นจิตยังไม่ถอนเอง บังเอิญเราตื่นขึ้นมาเพราะการปลุก เราจะรู้สึกไม่สบาย ถ้ากลัวมันจะเลยเถิดกำหนดเวลาเอาไว้ว่า ถ้าจิตของข้าพเจ้าเป็นสมาธิแล้ว ข้าพเจ้าจะอยู่ในสมาธิ ๑ ชั่วโมง

ถ้าเรากำหนดไว้อย่างนี้ แม้จิตของเราจะสงบแค่ไหน ถึงเวลาแล้วเขาออกมาเอง... นี่คือบทภาวนาที่วิเศษที่สุด

ถ้าหากว่าใครมีคนเป็นหนี้เป็นสิน สวดไปแล้วอย่างที่ว่านั้นแล้วมาอธิษฐานจิต ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงดลใจลูกหนี้ให้เอาหนี้มาคืนข้าพเจ้า แล้วก็สวดอยู่นั่นแหละ สวดอิติปิโสนี่แหละ เสร็จแล้วลูกหนี้จะเอาหนี้มาคืน

ที่แปดริ้ว อาซิ้มคนหนึ่งมา.. "หลวงพ่อ เขาเป็นหนี้อั๊ว ทำไงจะได้คืน อั๊วไปทวงทีไรเขาด่าแล้วก็ไล่ลงจากบ้านทุกที" "ไปสวดอิติปิโสซิซิ้ม" ก็แนะวิธีให้ไปสวด
.
หลังจากนั้นประมาณเดือนหนึ่ง หลวงพ่อไปที่โน่น พอแกรู้ว่าหลวงพ่อไปแกก็รีบมารายงาน พอมาก็.. "อิติปิโสของหลวงพ่อนี่ดีจริงๆ น่ะ" "มันดียังไงซิ้ม" "อั๊วสวดแล้วเขาเอาหนี้มาคืนให้อั๊วหมดเลย โดยที่อั๊วไม่ต้องไปทวงเลย"

บางคนสวดไปๆ จิตมันเป็นสมาธิเอง เขาถึงบอก โอ๊ย.. เมื่อก่อนนี้ไปไขว่คว้าวิ่งสำนักโน่นวิ่งสำนักนี่ เอ้า ไปภาวนาพุทโธก็ไม่แน่ใจ สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ ก็ไม่แน่ใจ ใจมันรวนเรอยู่ พอมาสวดอิติปิโสนี่ได้สมาธิ

เพราะฉะนั้น ถ้าใครสงสัยว่าหลักวิธีการสมาธิที่ท่านสอนทุกวันนี้ จะเอาแบบไหนดี ถ้าตัดสินใจไม่ลง ให้ตัดสินใจสวดอิติปิโสบทเดียวเท่านั้น

วันนี้มีหนุ่มใหญ่ท่านหนึ่ง เป็นข้าราชการสรรพสามิต มาบอกว่า ผมสวดมนต์แล้วทำไมตัวสั่น สวดชินบัญชรก็สั่น นั่นแหละจิตของคุณเข้าถึงคุณธรรม

จิตมันสงบ มันจดจ่อกับบทสวดมนต์แล้วมันก็สั่น มันเป็นอาการของปีติ ปีติบางอย่างทำให้ตัวสั่น ทำให้ตัวโยก บางอย่างทำให้รู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้นบนอากาศ บางอย่างทำให้ขนหัวลุกขนหัวพอง บางอย่างทำให้หัวเราะ ร้องไห้

ปีตินี่เป็นความปลื้มปีติ ดีอกดีใจ ทีนี้คนใจอ่อน พอเกิดปีติแล้วใจมันลิงโลด เรียกว่ามันดีใจล้นพ้น ซึ่งอันนี้มันเกิดจากจิตสงบเป็นสมาธิอ่อนๆ
โอวาทธรรม : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO