นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 2:09 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ตนแลเป็นที่พึ่งของตน
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 26 มิ.ย. 2017 4:30 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
“ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งของตน” ความจริงอันนี้ก็ใช่แล้ว
ให้พากันเร่งความเพียร อย่าไปนอนใจนะ ทำเอา
ทำใครทำมันอยู่อย่างนั้น สมบัติใครสมบัติมัน
ผู้ใดขี้เกียจขี้คร้านก็เท่านั้นแหละ
มีแต่กิเลสนะที่มันเหยียบหัวอยู่นั่น
อะไรก็ต้องให้ถูกใจตัวเองหมด
ผู้อื่นก็ต้องให้ถูกใจตัวเองหมด
แต่หัวใจตัวเองก็ยังไม่ถูก
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี




คำสอนหลวงปู่ดู่ เรื่อง "อุเบกขา"

...ในเรื่องการสร้างอุเบกขาธรรมขึ้นในใจนั้น ผู้ปฏิบัติใหม่เมื่อได้เข้ามารู้ธรรม เห็นธรรม ได้พบเห็นสิ่งแปลก ๆ และคุณค่าของพุทธศาสนา มักเกิดอารมณ์ความรู้สึกว่าอยากชวนคนมาวัด มาปฏิบัติให้มาก ๆ โดยลืมดูพื้นฐานจิตใจของบุคคลที่กำลังจะชวนว่า เขามีความสนใจมากน้อยเพียงใด หลวงปู่ดู่ท่านบอกว่า

"ให้ระวังให้ดี จะเป็นบาป เปรียบเสมือนกับการจุดไฟไว้ตรงกลางระหว่างคนสองคน ถ้าเราเอาธรรมะไปชวนเขา เขาไม่เห็นด้วย ปรามาสธรรมนี้ซึ่งเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเราเป็นคนก่อ แล้วเขาเป็นคนจุดไฟ... บาปทั้งคู่ เรียกว่า เมตตาจะพาตกเหว"

แล้วท่านยกอุทาหรณ์สอนต่อว่า

"เหมือนกับมีชายคนหนึ่งตกอยู่ในเหวลึก มีผู้จะมาช่วย คนที่ ๑ มีเมตตาจะมาช่วย เอาเชือกดึงขึ้นจากเหว ดึงไม่ไหวจึงตกลงไปในเหวเหมือนกัน คนที่ ๒ มีกรุณามาช่วยดึงอีกก็ตกลงเหวอีก คนที่ ๓ มีมุทิตามาช่วยดึงอีกก็พลาดตกเหวอีกเช่นกัน คนที่ ๔ สุดท้าย เป็นผู้มีอุเบกขาธรรม เห็นว่าเหวนี้ลึกเกินกว่ากำลังของตนที่จะช่วย ก็มิได้ทำประการใด ทั้ง ๆ ที่จิตใจก็มีเมตตาธรรมที่จะช่วยเหลืออยู่ คนสุดท้ายนี้จึงรอดชีวิตจากการตกเหวตาม เพราะอุเบกขาธรรมนี้แล"






"ดูใจของตัวเอง สติมีดูมันคิดไปเรื่องอะไร เรื่องที่คิดเหล่านั้นเราเคยคิดเคยปรุงมาเสียพอแล้ว และเคยนำความทุกข์มาบีบบังคับให้เราได้รับความทุกข์ทรมานมามากต่อมากแล้ว ทำไมจะไม่เข็ดหลาบ การปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ทำไมจะถือว่าเป็นของลำบากลำบนไป นี่ก็ถูกกลมายาของกิเลสมันหลอกให้จมอยู่อีกแล้วนั่น จะไม่มีทางพ้นไปได้ ถ้าไม่ตั้งใจอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายจะไม่มีวันพ้นไปได้นะ เราอย่าเข้าใจว่าจิตนี้มีวันมีคืนมีปีมีเดือนมีสิ้นมีสุดโดยไม่ต้องชำระสะสางกัน เพราะเมื่อไม่มีธรรมเป็นเครื่องชำระมันก็มีกิเลสฝังจมอยู่นั้นแล้ว มันจะพาให้โลกนี้สิ้นสุดไปที่ไหนได้ เรื่องของกิเลสก็เคยพูดแล้วว่าเหมือนมดแดงไต่ขอบด้ง วกไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ ของเก่าของใหม่ เกิดแล้วเกิดเล่าไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ ภพก็จำไม่ได้ เมื่อจำไม่ได้แล้วคนเราก็นอนใจ มิหนำซ้ำว่าตายแล้วสูญไปอีก นั่นเป็นอย่างไร มันหาเรื่องลมๆ แล้งๆ มาหลอกเราก็เชื่อ เพราะเราไม่รู้เราไม่ทันมันว่าตายแล้วสูญ"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐







คนไม่รู้จักธรรม
อยู่ด้วยกันคุยกัน สนทนากัน
เป็นการเพิ่มความบ้าให้มากขึ้น.

ผู้รู้ธรรม
แม้ไม่เกี่ยวข้องกับใครเลย
ความสว่างย่อมเต็มเปี่ยมในตัวเขาเอง.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)







พระพุทธองค์นั้น
ท่านรู้อย่างหนึ่ง
และสอนเราอีกอย่างหนึ่ง
ท่านรู้สุญญตา คือความว่างเปล่า
แต่สอนเราว่า มีโน่นมีนี่
เพราะอะไร
เพราะเราถนัดกันแต่ความมีนั่นเอง.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)






เมื่อเจ็บไข้ ได้ป่วย...สมัยเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏ (มียอดเหมือนหัวแร้ง) ใกล้กรุงราชคฤห์ นครหลวงแห่งมคธรัฐ
วันหนึ่งเสด็จไปบิณฑบาต ขณะเสด็จพระพุทธดำเนินอยู่ตอนล่าง พระเทวทัตขึ้นไปผลักหินก้อนใหญ่ให้กลิ้งลงมา
เพื่อจะให้ทับพระองค์ให้แหลกลาญ
.
หินก้อนใหญ่นั้นกลิ้งลงมากระทบแง่หิน ๒ ก้อน ติดอยู่ไม่ถึงพระองค์
แต่สะเก็ดหินที่แตกเพราะแรงกระทบ
กระเด็นไปต้องพระบาทเพียงให้เกิดอาการห้อพระโลหิต เกิดเวทนากล้า
พวกภิกษุได้นำเสด็จไปยังสวนมะม่วงของชีวกโกมารภัจ แพทย์หลวงผู้มีชื่อเสียงในเวลานั้น
.
นายแพทย์ชีวกได้ถวายยาพอกอย่างแรงตรงที่ห้อพระโลหิต ได้กราบทูลลากลับเข้าไปเยี่ยมไข้ในเมือง
เสร็จธุระแล้วได้รีบมาที่ประตูเพื่อออกจากเมือง แต่ไม่ทันเวลาเพราะประตูเมืองปิดเสียก่อน จึงคิดเสียใจว่า ได้พอกยาอย่างแรงที่พระบาทของพระพุทธเจ้า ทิ้งไว้เหมือนพระองค์เป็นบุคคลสามัญ เวลานี้ก็เป็นเวลาที่จะแกะยาพอกออกได้แล้ว เมื่อไม่แกะออกก็จักเกิดความเร่าร้อนในพระวรกายตลอดคืน
.
ในขณะนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งให้พระอานนท์แกะยาพอกออก ตรงกับเวลาที่หมอชีวกคิดอยู่นั้น แผลช้ำเลือดที่พระบาท ได้หายเรียบร้อยดังปลิดทิ้ง รุ่งเช้า พอประตูเมืองเปิดก่อนอรุณ นายแพทย์ชีวกรีบออกมาเฝ้า กราบทูลถามว่า ได้ทรงมีอาการเร่าร้อนในพระวรกายอย่างไร
.
พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า
"ความเร่าร้อนทั้งหมดของตถาคตสงบสิ้นแล้วที่ต้นโพธิในวันตรัสรู้"
และได้ตรัสแปลคาถาแปลความว่า
"ความเร่าร้อนไม่มีแก่ผู้ที่เดินทางสิ้นสุด
หายโศก หลุดพ้นทุกสถาน เครื่องร้อยรัดหมดทุกอย่าง"
.
ตามพระพุทธประวัติ เมื่อพระพุทธเจ้าประชวร บางคราวทรงรักษาเองด้วยอำนาจขันติหรือจิตตานุภาพ บางคราวทรงให้หมอรักษาเหมือนบุคคลทั่วๆ ไป เพราะพระกายก็ต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนอย่างร่างกายของทุกๆ คน เมื่อเจ็บก็ต้องมีเวทนาเหมือนกัน
.
แต่คนเจ็บทั่วไปมีใจไปผูกพันอยู่กับเจ็บ กลัวเจ็บ กลัวตาย ใจจึงพลอยเจ็บ เร่าร้อนทุรนทุราย ส่วนพระพุทธเจ้าไม่ทรงผูกพันพระจิตอยู่กับความเจ็บ ไม่ทรงกลัวเจ็บกลัวตาย ปล่อยวางความเจ็บไว้ที่กาย เป็นเรื่องของกาย เป็นเรื่องของหมอจะรักษาไปอย่างไร
.
จึงทรงเป็นผู้หลุดพ้นไม่มีความเร่าร้อน
เพระทรงดับเสียได้เด็ดขาดแล้วตั้งแต่เวลาที่ตรัสรู้ ณ โพธิพฤกษ์ นี้แล คือ ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์
.
เมื่อเจ็บป่วยน่าจะใช้คาถากันเจ็บของพระพุทธเจ้าบทที่แปลไว้ข้างบนนี้ดูบ้าง
แต่ต้องใช้ปฏิบัติให้ได้ดั่งคาถาเป็นเครื่องรักษาทางใจช่วยกับหมอที่รักษาทางกาย
.
สมเด็จพระญาณสังวรฯ คัดลอกจากหนังสือเรื่อง วิธีการของพระพุทธเจ้า
(หัวข้อ แม้เจ็บกายแต่ใจเย็น)
นิพนธ์ในเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (สุวฑฺฒนมหาเถระ)






กระเพาะลำไส้ไม่ดี
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกตั้งสัจจะไว้กับพระที่ฝั่งธนบุรีว่า จะรักษาศีล ๘ ชั่วชีวิต ลูกก็ทำโดยตลอด บัดนี้ลูกอายุมากแล้ว เพราะทางกรเพาะลำไส้ไม่ดี หมอบอกว่าถ้าขาดอาหารตอนเย็นแล้วจะไปไม่รอด จะขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จะคืนสัจจะที่ซอยสายลมกับหลวงพ่อ แล้วให้หลวงพ่อบอกพระพุทธเจ้าอโหสิกรรมได้หรือเปล่าเจ้าคะ?
หลวงพ่อ เออ... เอาหนัก แฮะ เอาอย่างนี้ซิ ย้ายไปถือ กรรมบถ ๑๐ กินข้าวเย็นได้ ดีกว่าเยอะ เป็นทั้งศีลทั้งธรรม ได้ ๒ อย่าง
ผู้ถาม แล้วอานิสงส์คงไม่ต่างกันใช่ไหมครับ?
หลวงพ่อ อานิสงส์แข็งกว่าศีล ๘ อ้าว... จริง ๆ นะ ศีล ๘ เราไม่ค่อยจริงกันนัก แต่ถ้าปกติทุกวันก็ดี นี่มันปรกติไม่ได้นี่ ต้องเป็นบางเวลา ใช่ไหม กรรมบถ ๑๐ เขามีทั้งศีลทั้งธรรม มโนกรรมนี่เป็นธรรมะ แล้วก็สังเกตดูเป็นการตัดกิเลสได้ง่าย ฝึกตัดกิเลสไปในตัวเสร็จ...
ผู้ถาม เกี่ยวกับข้อไม่กินข้าวนี่ เวลาไปกินเลี้ยงมันเผลอไผลไปตักเข้า กว่าจะรู้ตัวก็เข้าไปครึ่งท้องแล้ว แต่ไม่เจตนานะครับ
หลวงพ่อ ความจริงถ้าเรารักษาศีล ๘ ไม่ขาดนะ ที่เราสมาทานมัน ๙ ข้อ นัจจะ กับ มาลาคันธะ เวลาเขาบวชพระ บวชเณร เขาแยกนะ เรารักษาแค่ศีล ๘ ทิ้ง วิกาลโภชนา เสีย
ผู้ถาม อ๋อ.. ก็ดี
หลวงพ่อ แต่อย่านะ...ลงนรก (หัวเราะ) แหม... ตั้งใจหูผึ่ง
ผู้ถาม ได้กินข้าวเย็นก็ยังดี
หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ สมาทานกรรมบถ ๑๐ กรรมบถ ๑๐ เป็นคุณสมบัติพระโสดาบันขั้น โกลังโกละ กับ เอกพิชี และสกิทาคามี... หนักมาก
ผู้ถาม ถ้ารักษาศีล ๘ เดือดร้อน ก็เอากรรบถ ๑๐ ดีกว่านะ
โอวาทธรรม.......หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง





“พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิสมฺม กรณํ เสยฺโย ให้ใคร่ครวญซะก่อนทำดีกว่า จิตของคนเรานี่ ต้องทรมานหน่อย เราจะไปตามใจทุกอย่าง ไม่ได้หรอก ตามใจ ก็เป็นง่อยไปเท่านั้นเอง หลวงพ่อเอง บางทีก็ตามใจเหมือนกัน เพราะมันเหนื่อย
ตามใจไป ตามใจมา เอ้านี่จะเลยเวลาแล้ว เพราะฉะนั้น หลวงพ่อจึงตั้งใจไว้ว่า เราต้องเดินจงกรมทุกวัน ยกเว้นวันไหน มีงานมากเกินไป ก็ยกเว้นให้ แต่วันไหนไม่มีงาน ก็เดินจงกรม ๒ ครั้ง เช้าครั้งหนึ่ง เย็นครั้งหนึ่ง บางทีก็กลางวันครั้งหนึ่ง อยู่ที่มีเวลาทำ
อย่างนั้นเพราะว่า หลวงปู่มั่น ท่านสั่งไว้ว่า คนที่นั่งสมาธิ เอาแต่นั่งอย่างเดียว ไม่รู้จักเปลี่ยนอิริยาบถ จะไปเดินจงกรม เป็นอัมพาต ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรจะเป็น”
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)







..=>คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "นิวรณ์บังใจ"<=..

.. วิธีที่จะปฏิบัตินี่ก็ไม่มีอะไรบรรดาท่าน
พุทธบริษัท ถ้าเราเป็นคนชนะใจแล้ว มันก็
ไม่ยากเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า
เราที่ไม่สามารถเห็นผีหรือเทวดาได้ก็เพราะ
"อาศัยเราเป็นคนแพ้ใจ"

หรือว่า "เราเป็นผู้แพ้นิวรณ์" นี่บรรดา
ท่านพุทธบริษัทมันจึงไม่เห็น เมื่อนิวรณ์มัน
มีสภาพเหมือนโคลนสกปรกมาก ใจมี
สภาพเหมือนแก้วใส เมื่อมีโคลนตมเข้า
ไปแปดเปื้อน

เราก็ไม่สามารถจะเอาแก้วใสมาทำ
แว่นตาส่องเห็นทางได้ฉันใด อารมณ์ใจ
ของเราก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าอารมณ์ใจ
ของเรายังคบนิวรณ์ ๕ ประการ อย่างใด
อย่างหนึ่งอยู่

เราก็ไม่สามารถจะคิดตามคำสั่งสอน
ขององค์สมเด็จพระบรมครูได้ นี่ความจริง
มันเป็นอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้ง
หลาย นี่มันเป็นเรื่องของความจริง หาก
ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงชนะ
นิวรณ์ ๕ ประการได้เมื่อไร

เรื่องผี เรื่องเทวดา เรื่องนรก เรื่อง
สวรรค์ หรือพรหมโลก หรือคำสั่งสอนของ
องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา
สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของแปลกสำหรับ
บรรดาท่านพุทธบริษัท ..

(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
ที่มาจาก.. โอวาทหลวงพ่อฯ เล่ม ๔






เมื่ออะไรเกิดขึ้นในชีวิต
อย่าคิดว่า.. เป็นเรื่องคนอื่นทำให้
อย่าคิดว่า.. เป็นโชคชะตาราศี
อย่าคิดว่า.. ดวงดี ดวงไม่ดี
อย่าคิดว่า.. อะไรๆ มาทำให้เป็น
แต่จงคิดให้ถูกต้องว่า...
ฉันเองแหละ เป็นผู้ทำสิ่งนั้น...

- ปัญญานันทภิกขุ -






มนุษย์เราทั้งหลาย อยากให้สังขารนี้มันเที่ยง
อันนี้ คือ ความคิดของคนโง่ ดูซิว่า "ลมหายใจ"
ของคนเรานี้ มันเข้ามาแล้ว มันก็ออกไป
เป็นธรรมดาของลม

มันก็ต้องเป็นอยู่อย่างนั้น ต้องกลับไปกลับมา
มีความเปลี่ยนแปลง ... เรื่องสังขาร มันก็อยู่
ด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ จะให้มัน
ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ... เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วเจ็บ
และก็ตาย เป็นเรื่อง "ธรรมดา" แท้ๆ

พระธรรมคำสอน...หลวงพ่อชา สุภัทโท


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO