นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 8:04 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความยึดมั่นถือมั่น
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 23 มิ.ย. 2017 4:14 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
ปกิณกะธรรม 10
....................................

• ช่วยผู้อื่นต้องมีกำลังมากพอ

ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา เราต้องคิดว่าจะทำอะไรดีๆ ให้คนที่เรารัก สิ่งดีๆที่ทำให้ได้ ก็คือการทำให้เขาเข้าถึงหลักธรรมให้ได้ ดังนั้น เราเองต้องเริ่มต้นจากตัวเองก่อน ต้องทำดีก่อน เมื่อเราทำดีแล้ว เราก็จะสามารถสร้างสิ่งที่ดีให้คนที่เรารักได้ เราเริ่มจากการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ก่อน เวลาปฏิบัติ เราต้องติดตามดูว่าทำไมเราจึงรักษาศีลไม่ได้ ติดขัดอะไรให้แก้ไป ทำไมเราเจริญปัญญาไม่ได้ แล้วจะได้หาทางปรับปรุงวิธีการใหม่ให้เหมาะสม

คนที่จะช่วยผู้อื่น ต้องมีกำลังมากพอ ไม่เช่นนั้นจะช่วยไม่ได้ ให้ดูตัวอย่างพระโพธิสัตว์นกคุ่ม ขณะเป็นลูกนกยังเล็กอยู่ ไม่มีกำลังจะดับไฟได้ จึงใช้วิธีทำสัจกิริยา (ด้วยคุณความดีคุณแห่งศีลที่ท่านได้สะสมมานาน) ขอให้ไฟเลี่ยงไป จึงไม่เกิดอันตราย (อ้างถึง หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๑ โดยพระมหาสุนทร สุนฺทรธมฺโม (เสนาซุย))

• การปฏิบัติธรรมของสตรี

ผู้หญิงให้ศึกษาสิกขาบทพระธรรมวินัยของภิกษุณีเป็นแนวทางแบบอย่าง ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ทำด้วยศรัทธาไปก่อน ทำตามกำลังเพื่อเพิ่มกำลัง เพิ่มอินทรีย์ ๕ เพื่อไปสู่พระอริยสัจ ๔ และมรรคมีองค์ ๘ ให้เจริญสติให้มาก ให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อดึง ไม่สอนภิกษุ ไม่ว่าภิกษุ ต้องลดทิฐิมานะลงไปเรื่อยๆ จนไม่มี คนเขาว่าก็ฟังได้ คนเขาชมก็ฟังได้ ต้องไม่มีตัวตน ผู้หญิงที่ปฏิบัติธรรมควรอยู่กันเป็นหมู่คณะ จึงจะเกื้อกูลกันให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าไปได้

พระอาจารย์บัณฑิต สุปณฺฑิโต







นักรบ นักหลบ นักหลีก

นักรบ มีโอกาสที่จะชนะข้าศึกได้
นักหลบ มองไม่เห็นทางที่จะชนะข้าศึกได้เลย
นักบวช ต้องสมัครเป็นนักรบ นักบวชก็คือ นักรบ เป็นนักหลบไม่ได้

เข้ามาในวงการสถาบันของนักบวช ก็คือ เข้ามาในวงการนักรบนั่นเอง ถ้าเรารบในที่นี้ ไม่ใช่มุ่งชนะผู้อื่นผู้ใด มุ่งชนะเราเอง นักบวช นับตั้งแต่พระพุทธเจ้า พระสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นนักรบทั้งนั้น มุ่งในการที่จะรบกับกิเลสเจ้าของนั่นเอง รบกับตนเอง รบกับกิเลสตนเอง เพราะภายในจิตในใจมีแต่สิ่งที่เป็นข้าศึกอยู่มาก

นักบวช ก็คือ นักรบ ที่ชนะข้าศึกที่กวนบ้านกวนเมือง กวนจิต กวนใจ ไม่ให้จิตใจมีโอกาสได้พักผ่อน สงบ ร่มเย็น เพราะข้าศึกมันกวนอยู่เสมอ ข้าศึกที่กวนจิตกวนใจนี้ นักรบมีโอกาสที่จะชนะได้ ถ้าหากเป็นนักหลบ มีแต่ที่จะแพ้ ปราชัยอย่างเดียว เพราะไม่มีโอกาสที่จะประหารข้าศึก มันมีแต่หลบ มีแต่แพ้ มีแต่ยกธงขาว ข้าศึกมันกวนจิต กวนใจ และมันกวนเสมอ ข้าศึกที่เค้ารบกันยังมีการพักรบ พักผ่อน และบางที่พักเป็นหลายๆวัน เป็นเดือนก็มี

แต่ข้าศึกที่มันรบที่มันกวนจิตกวนใจนี้ มันไม่มีเวลาพักผ่อน ตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมา บางทีมันกวนตั้งแต่เวลาตื่น นอนตื่นมาเมื่อไร มันกวนเมื่อนั้น สารพัด อาวุธที่มันจะเอามาประหัตประหารจิตใจ สิ่งที่เราชนะ สิ่งที่เราทำ ข้าศึกมันเอา สิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชัง นี่ล่ะมาเป็นอาวุธที่จะประหัตประหารจิตใจของเราอยู่เป็นประจำ

นักบวชนักรบ จะต้องมีอาวุธ คือ “ธรรม”
นักบวชนักรบ จะต้องมีอาวุธ คือ “สติ”

สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม นักบวชจะต้องมีอาวุธ คือ ศีล ธรรมชาติ ศีล สมาธิ สติเป็น ธรรมาวุธ ที่ประหารข้าศึก คือ กิเลส ที่กวนใจ กิเลสมี อย่าง หยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ธรรมะ-อาวุธ ที่จะมาประหัตประหารกิเลส ก็มีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด มองไปก็ไม่เห็น เพราะกิเลสมันอยู่ภายในจิต ในใจเรานี้

ธรรมเทศนา (บางส่วน)
พระอาจารย์ แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร








วิธี เดินจงกรม ภาวนา

การเดินจงกรม ให้สติกับใจอยู่กับการเดิน อย่าให้ใจลอยไปคิดถึงคนนั้นคนนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้อยู่กับเท้าก็ได้ เช่นเดินไปก็ดูเท้า เท้าซ้าย เท้าขวา เวลาก้าวเท้าซ้ายก็ว่าซ้าย เวลาก้าวเท้าขวาก็ว่าขวา เดินธรรมดาๆ ไม่ต้องหัดเดิน ให้เดินแบบที่คนเดินเป็นแล้ว ไม่ต้องหัดเดิน ยก ก้าว วาง หนอ อันนี้มันไม่จำเป็น ให้เดินตามธรรมดา

เดินจงกรมให้เดินในท่าสำรวม เอามือไขว้ใว้ข้างหน้า อย่าเอามือไชว้ใว้ข้างหลัง มือไชว้ใว้ข้างหลังนี้เป็นท่าขุนนาง ไม่บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

การเดินจงกรม ถือว่าเป็นการปฏิบัติบูชา บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต้องมีท่ากิริยาที่อ่อนน้อม สำรวม เวลาเดิน มือขวาทับมือซ้ายใว้ข้างหน้า สายตาก็ทอดข้างล่าง มองไปข้างหน้า อย่าหันไปทางซ้าย อย่าหันไปทางขวา อย่าไปมองบนท้องฟ้าดวงดาว ดูอะไรต่างๆ นั่นแสดงอาการใจลอย ให้ใจอยู่ที่เท้าที่เราเดิน หรือจะใช้คำบริกรรม พุทโธ ก็สติกับใจอยู่กับคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ ไป แต่ก็ยังต้องดูเท้าอยู่ดี เพราะถ้าไม่ดู เจองูข้างหน้าก็อาจเดินไปเหยียบมันเข้า

ครูบาอาจารย์ท่านว่า การเดินจงกรมในป่า จะทำให้มีสติดี มันจะไม่ทำให้ใจลอยง่าย ถ้าเดินในที่ปลอดภัย มันจะไม่ดูที่เท้า มันจะไปดูที่โน่นที่นี่ เห็นโน่นเห็นนี่ไป แล้วใจก็ปรุงแต่งไป แทนที่ใจจะว่าง ใจจะสงบ ก็เลยไม่ว่างไม่สงบ

การเดินจงกรมต้องพยายามให้มีอะไรคอยกำกับใจ ควบคุมใจ เช่นการเฝ้าดูเท้าที่เราเดิน หรือคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ ไป แต่การเดินจงกรมไม่สามารถทำให้จิตสงบเป็นสมาธิได้ คือจะทำให้ไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้ใจว่างได้ แต่ไม่ถึงกับ จิตรวม ถ้าอยากจะให้จิตรวม ก็ต้องไปนั่งสมาธิต่อ พอใจรู้สึกเย็น สบาย เบา ก็ไปนั่งหลับตาภาวนา แทนที่จะดูเท้า ก็ดูลมหายใจแทน ดูลมหายใจเข้า เหมือนกับเราดูเท้า หายใจเข้า หายใจออก พุทโธ พุทโธ ไป เอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อสำคุญอย่าให้ไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เวลานั่งสมาธิเกิดมีอะไรมาให้รับรู้ก็อย่าไปสนใจ ให้อยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจ แล้วใจจะสงบต่อไป

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ 20 มิถุนายน 2560








"แผ่เมตตา"

ถาม : สวดมนต์อย่างเดียวแต่ไม่ได้นั่งสมาธิ แล้วสวดแผ่เมตตาให้คนที่ล่วงลับไปแล้วเขาจะได้รับบุญไหมคะ

พระอาจารย์ : ไม่ได้หรอก เพราะบุญยังไม่เกิด มันยังไม่ได้ผลจากการสวดมนต์นั่งสมาธิ จิตยังไม่เป็นสมาธิ สองพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้อุทิศบุญด้วยการนั่งสมาธิ ท่านสอนให้เราอุทิศบุญด้วยการทำทาน ถ้าอยากจะทำทานก็อย่างที่ญาติโยมนี้ ซื้อข้าวซื้อของมาถวายพระแล้วก็อุทิศบุญได้เลย ง่ายกว่า ง่ายกว่ามานั่งสมาธิ แล้วนั่งก็ยังไม่สงบอยู่ดี จิตยังไม่รวม รวมแล้วก็ไม่รู้ว่าอุทิศได้หรือเปล่า เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้อุทิศแบบนี้ ท่านสอนให้เราอุทิศด้วยการทำทาน ฉะนั้นถ้าอยากอุทิศบุญก็ต้องทำทาน ถ้าต้องการจะแผ่เมตตาก็ต้องไปแผ่ตอนที่เราพบปะกัน ไม่ใช่นั่งคนเดียวแล้วไปแผ่ นั่งคนเดียวแล้วไปแผ่ ขอให้ท่านมีความสุขนะ แล้วพอมาเจอหน้ากันก็ด่ากันทะเลาะกัน จะแผ่เมตตาต้องแผ่ตอนที่เราพบกัน ที่เราสวดนั้นไม่ได้เป็นการแผ่ เป็นการสวดสอนใจ สอนให้เรารู้จักวิธีแผ่ว่าเราก็ต้องมีความเมตตาต่อกัน แล้วเวลาเราเจอกันเราจะได้แผ่เมตตาเป็น แต่ตอนที่เราอยู่คนเดียวไม่ได้แผ่เพราะไม่มีใครมารับความเมตตาจากเรา เราต้องแผ่ตอนที่เราเจอกัน เนี่ย อย่างตอนนี้ญาติโยมมาหาที่นี่ก็มาแผ่เมตตา เอาข้าวของมาให้พระสงฆ์องค์เจ้า ก็มีความปรารถนาให้พระสงฆ์องค์เจ้าอยู่อย่างสุขอย่างสบาย ก็เป็นความเมตตาอย่างหนึ่ง หรือถ้าทะเลาะกันก็ให้อภัยกัน อย่าทะเลาะวิวาทกัน อย่าอาฆาตพยาบาทจองเวรจองกรรม นี่ก็เป็นการแผ่เมตตา หรือทำอะไรก็อย่าไปทำร้ายกัน ทำงานแข่งขันกันก็แข่งกันด้วยกฎกติกาด้วยความเป็นสุภาพบุรุษสุภาพสตรี ทำไปตามกฎกติกา แพ้ชนะก็แพ้ชนะตามกฎกติกาไป ไม่ใช่เล่นกันแบบทำร้ายกัน ตัดแข้งตัดขากันอะไรอย่างนี้ ขัดแข้งขัดขากัน อันนี้ก็ไม่ใช่เป็นความเมตตา.

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







"...สงบแต่ปาก ใจไม่สงบก็ไม่ได้ ต้องให้ใจสงบ ใจสงบก็คือว่าเมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อื่น ก็ให้คอยระวัง นึกน้อมสอนใจของตัวเองด้วยว่า ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้ว เป็นทุกข์อย่างนี้แหละ จะไปเอาสุขที่ไหนในโลก ที่ไหนมันก็ทุกข์เท่าๆ กัน เอาสิ่งเหล่านี้ มาเตือนใจตัวเอง..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร







"...คุณของเมตตาคือความเย็น เมตตามีที่ใดความเย็นมีที่นั้น ผู้มีเมตตาเป็นผู้มีความเย็นสำหรับเผื่อแผ่ และผู้ยอมรับเมตตาก็จักได้รับความเย็นไว้ด้วย

ผู้มีเมตตา หรือผู้ให้เมตตาเป็นผู้เย็น เพราะไม่มุ่งร้ายผู้ใด มุ่งแต่ดี มีแต่ปรารถนาให้เป็นสุข เมื่อความไม่มุ่งร้ายมีอยู่ ความไม่ร้อนก็ย่อมมีอยู่เป็นธรรมดา

ความปรารถนาด้วยจริงใจให้ผู้อื่นเป็นสุข ก็เท่ากับปรารถนาให้ตัวเองเป็นสุข จะให้ผลเป็นคุณแก่ตนเองก่อน เช่นเดียวกับการมุ่งร้ายต่อผู้อื่น ก็จะให้ผลเป็นโทษแก่ตนเองก่อน

จึงควรมีสติรู้ตัว ว่ามีความมุ่งร้ายหรือปรารถนาดี จะทำให้ผู้อื่นมีสุขอย่างไร..."

พระโอวาทธรรมคำสอน..
องค์สมเด็จพระญาณสังวร(เจริญ สุวัฑฺฒโน)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
พระองค์ที่๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์







คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
วิธีจูงจิตผู้ป่วยใกล้ตาย..."ถ้าป่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้คือ
๑) ให้นำพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร
พร้อมอาหารและของใช้ที่จำเป็น นำไป
ให้ผู้ป่วยเห็นและให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ของทั้งหมดนี้ขอถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่วยด้วย"

แล้วญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจของผู้ป่วยจะได้สบายเพราะได้เห็นพระพุทธรูปและได้ทำบุญ

๒) ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ก็ควรนำเงินจะมากหรือน้อยตามแต่ศรัทธาให้ผู้ป่วยถือไว้และให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า

"เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม"

๓) ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่
ควรนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็น อย่าไปตั้งไว้ในที่ผู้ป่วยเห็นไม่ถนัด ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็จะเห็นพระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้างและถ้าตายเมื่อใดก็จะไม่ลงนรก

๔) ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าหรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่าถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม

๕) ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพาน ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง"ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ลงนรก
ก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้บอกสั้นๆ อย่าบอกยาว

๖) ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหว ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ให้นึกถึงพระไว้หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดี พูดมากไปเขาจะกลุ้ม จะทำให้ลงนรกไป
ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ
อย่าไปพูดมากฉะนั้น การแนะนำคนป่วยก่อนตาย ต้องระมัดระวัง
ให้ดี..."

จาก : หนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน
โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน







บรรดาธรรมทั้งหลาย ล้วนมีใจเป็นผู้นำใจสำคัญที่สุดใจเป็นผู้รังสรรค์ หากใจเศร้าหมอง ไม่ว่าพูดหรือทำทุกข์ย่อมตามติด ประหนึ่งล้อเกวียนหมุนเวียนตามรอยเท้าโค บรรดาธรรมทั้งหลาย ล้วนมีใจเป็นผู้นำใจสำคัญที่สุด ใจเป็นผู้รังสรรค์ หากใจผ่องใสไม่ว่าจะพูดหรือทำ สุขย่อมติดตัวประหนึ่งเงาตามตน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด
โอวาทธรรม ..หลวงพ่อชา สุภัทโท







"อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ความสำคัญว่านั้นเป็นเรานี้เป็นของเรา นั้นเป็นของสวยของงาม มันจะจางลงไป ๆ ความจริงนี้จะเด่นขึ้นๆ ความจริงก็คืออะไร ก็ตามความเป็นจริงแล้วไม่ได้งามอะไรนี่ กิเลสมันหลอกเราต่างหาก เราโง่เราก็ติด เพราะเรายังไม่มีเครื่องต่อสู้หรือเครื่องชะล้าง ก็ไม่เห็นความจริง เมื่อเราชะเราล้างด้วยปัญญาหลายครั้งหลายหน ก็เห็นเป็นความจริงขึ้นมา นี่ปัญญาปรากฏขึ้นแล้วที่นี่ อ๋อ ปัญญาในตำรานั้นคือชื่อ ส่วนองค์ของปัญญาแท้เป็นอย่างนี้ เอ้า ปัญญาขั้นใดปรากฏขึ้นในตัวของเรานี้เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศกังวานอยู่ภายในตัวนี้ ปัญญาขั้นนี้สามารถแก้กิเลสประเภทนั้นได้ ปัญญาขั้นนั้นแก้กิเลสประเภทนั้น ปัญญาขั้นนั้นแก้ประเภทนั้น เพราะมันแก้ไปโดยลำดับ

ทีนี้ก็มาคำนวณย้อนหลัง อ๋อ ปัญญาขั้นนี้แก้อย่างนั้นๆ ปัญญาขั้นนั้นแก้อย่างนั้น ไปข้างหน้ามีแต่ชุลมุนวุ่นวายฟัดกันไปไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งกิเลสพังลงไปๆ ปัญญาแจ่มขึ้นมาๆ นั่นปัญญาก็เห็นที่ใจของเรานี่ จนกระทั่งปัญญามีความเกรียงไกร ก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา ก้าวเข้าสู่ภาวนามยปัญญา ซึ่งเป็นธรรมชาติที่หมุนตัวโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับกิเลสที่มันมีอำนาจมาแต่ก่อน มันเคยหมุนตัวของมันทำงานของมัน สั่งสมตัวของมันอยู่บนหัวใจของเรานั้นแล"


หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๒


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO