นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 8:35 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ผู้มีปัญญา
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 17 มิ.ย. 2017 9:09 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
" ผู้มีปัญญา เห็นค่าของตนที่ฝึกแล้ว
ย่อมยินดีที่จะเผชิญความยาก
ความยากแม้มากมายเพียงไรก็ตาม
ย่อมให้ผลเป็นความมีค่าแห่งจิตใจตน
เป็นความมีค่าแห่งตนเอง
เป็นผลที่คุ้มกับความยากลำบากที่ต้องต่อสู้
เพื่อให้การฝึกตนเป็นไปด้วยดี
มีผลสำเร็จสมดังความมุ่งมาดปรารถนา
บัณฑิตหรือคนดีมีปัญญา
ย่อมกล้า ย่อมพร้อมที่จะรับความยากทั้งหลาย
เพียงเพื่อได้มีโอกาสฝึกตน "
.
--- พระคติธรรม สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก





เกิดแก่เจ็บตายไม่เว้นแม้แต่ครูบาอาจารย์พระเถระผู้ใหญ่ หลวงพ่อที่พูดอยู่นี่ก็เหมือนกัน เดินตามกันไปเรื่อย ๆ แต่ไม่รู้ว่าวันไหน พวกเราคณะศรัทธาญาติโยมที่นั่งฟังหลวงพ่อก็เหมือนกัน ก็เดินตามกันไปเรื่อย ๆ บางคนอาจจะแซงคิวครูบาอาจารย์ก็ได้
ถ้าตามคิวก็คือตามอายุใช่ไหม แต่ลูกหลานบางคนก็มีแซงคิวครูบาอาจารย์ แซงคิวปู่ย่าตายายก็มีมากต่อมาก เพราะฉะนั้น ให้พวกเราท่านทั้งหลาย อย่าตั้งอยู่ในความประมาท เราอาจจะแซงคิวผู้อื่นเขาก็ได้ แล้วเงินในกระเป๋ามีไหม พอเราแซงคิวเขามาได้ เงินในกระเป๋าก็แห้ง เดินโต๋ ๆ เต๋ ๆ ไปหาขอใครในเมืองผีมันยากนะ ถ้าไม่สร้างไปจากตนเองในเมืองมนุษย์
โอวาทธรรม...หลวงพ่ออินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก






"..เรื่องของการภาวนา เป็นการยาก ยากเพราะนานๆครั้ง ยังค่อยมาทำ
ใจยังไม่อยากทำ ไม่พอใจทำ ไม่ตั้งใจทำ ไม่ใส่ใจทำ ไม่สม่ำเสมอ พอจะทำก็ทำไม่ได้ แล้วก็รำคาญตัวเอง ใส่โทษตัวเอง ว่าตัวกูนี้ เจริญภาวนาไม่ได้หรอก
ก็เลยเลิก.ไม่ทำ มันต้องอดทนพากเพียร อย่างขนาดหนักจึงจะกุมจิตกุมใจ ของตนเองได้ อันนี้อะไร ๆ ก็ยังมากเต็มหัวใจโลภอยากได้มีอยู่ หลงมัวเมามีอยู่ โทสะร้ายก็ยังมีอยู่ ผู้ข้าฯนะเกิดมาแล้ว
๔๐๐ ล้านกว่าชีวิต ผ่านพระพุทธเจ้า
มาแล้ว ๓๐๐ ล้านกว่าพระองค์ นี่วันนี้ยังต้องนั่งภาวนาอยู่ขี้คร้านไม่ได้ ทำไปตามเรื่องของตน..
" โอวาทธรรมหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ





โจรคนหนึ่งได้หลบหนีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาอาศัยหลบซ่อนตัวอยู่ เขาคอยสังเกตดูคนมากหน้าหลายตาที่หลั่งไหลเข้านมัสการหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และเป็นพระที่ชาวบ้านเคารพนับถือมาก เมื่อมีผู้คนมากันมาก ๆ เช่นนี้จอมโจรใจเหี้ยมก็คิดว่า อย่างไรเสียหลวงปู่อ่อนคงจะมีเงินทองมาก เพราะพวกชาวบ้านต้องมาทำบุญกับท่าน

จอมโจรใจโหดคิดได้ดังนี้ ก็ได้เตรียมอาวุธคิดจะทำร้ายท่าน จอมโจรไปดักซุ่มคอยจะทำร้ายหลวงปู่อ่อนที่กฏิ

ในคืนหนึ่งจอมโจรคอยสังเกตเห็นว่าท่านหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ จะต้องลงมาจากกุฏิ แล้วท่านก็มานั่งหลับตาอยู่เพียงลำพัง หรือมิเช่นนั้น หลวงปู่อ่อนจะต้องลงมาเดินไปมา ก้มหน้าลงดินเหมือนกับว่า กำลังมองหาสิ่งของตกหายอย่างนั้นแหละ

โจรใจโหดคนนี้หารู้ไม่ว่า นั่นพระธุดงคกรรมฐาน กำลังเร่งความเพียรภาวนา และเดินจงกรมเพื่อกำหนดสติสู่ทางบรรลุธรรมมันไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น มันรู้เพียงอย่างเดียวว่า "ต้องการสมบัติจากพระ ต้องการเงินทองจากพระ"

มันจึงย่องขึ้นไปบนกุฏิ เพราะความอดรนทนไม่ไหว เมื่อย่องขึ้นไปสายตาก็พบกับห้องว่างเปล่า มีเพียงกลดกางอยู่อย่างเดียว โจรก็เข้าใจว่า หลวงปู่อ่อนคงจะซ่อนทรัพย์สมบัติไว้ในกลด จึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้กลด

จอมโจรกระหยิ่มใจมาก คิดในใจว่า คราวนี้คงจะต้องรวยแน่ๆสมบัติคงจะมากมาย พระสงฆ์องค์เจ้าจะไปใช้อะไรมาก เงินทอง อาหารเหลือเฟือ ชาวบ้านนำมาถวายทุกวัน เงินทองไม่จำเป็นต้องใช้อะไร เราจะเอาไปให้หมด คิดได้ดังนั้นแล้ว จอมโจรก็จับชายมุ้งกลดค่อย ๆ เลิกกลดขึ้น

ทันใดนั้นความตระหนกตกใจเข้ามาแทนที่ ส่วนความกระหยิ่มย่ามใจพลันหายไปสิ้น จอมโจรตกใจสุดขีด ตัวชาไปหมด เพราะสิ่งที่กลิ้งออกมาจากกลดนั้น เป็นหัวกะโหลกผี !

จอมโจรเห็นอย่างชัดเจนว่ากะโหลกผีแน่นอน อย่างอื่นไม่เห็นมีอะไรอีกเลย ทำไมจึงต้องเป็นเช่นนั้น จอมโจรใจชั่วถอยออกมาทั้งโกรธ ทั้งตกใจ ระคนกัน ตกใจก็เพราะหัวกะโหลกที่กลิ้งออกมา ที่โกรธนั้นก็เพราะผิดหวังอย่างแรง เมื่อสมบัติที่คิดว่ามีมากมาย กลับว่างเปล่าเสียได้...เอ๊ะ...อะไรกันนี่

จอมโจรจึงลงมาดักรออยู่หน้ากุฏิของท่านอีกครั้ง ในใจของมันก็ยังเข้าใจว่าหลวงปู่อ่อนไม่อยู่ในกลด ไม่อยู่บนกุฏิ ก็ต้องเข้าหมู่บ้านไปแสดงธรรมแน่ ๆ

ความมานะพยายามที่จะทำร้ายพระสงฆ์องค์เจ้าของคนจิตใจบอดมิดเช่นมันยังดำเนินไปเรื่อย ๆ แทนที่จะเกรงกลัว เพราะกะโหลกมาเตือนในการกระทำของมัน ก็หาได้สำนึกไม่ มันนั่งรอตั้งแต่หัวค่ำ จนดึกดื่นใกล้จะสว่างเสียให้ได้

ทันทีนั้นมันก็เห็นหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ห่มผ้าเป็นปริมณฑลกำลังเดินลงมาจากกุฏิ

เอ๊ะอะไรกันนี่! ก็เรานั่งเฝ้าท่านอยู่ตั้งแต่หัวค่ำจนใกล้รุ่งแล้วและที่บนกุฏิท่านก็ไม่อยู่ จู่ ๆ ท่านกลับเดินลงมายังลานข้างล่าง น่าแปลกใจเหลือเกิน แต่ความอยากได้ความโลภยังมีอยู่ ยกอาวุธทีไร ร่างหายทุกที

ฝ่ายทางหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ท่านก็รู้การมาของโจรใจชั่วคนนี้ เพราะท่านมิได้ไปไหน ก็ท่านนั่งภาวนาอยู่ในกลดนั่นเอง ก็เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ เดินจงกรมไปตามปกติของท่าน

ท่านมิได้สนใจกับโจรเลยแม้แต่น้อย ท่านเดินจงกรมไปจนสุดทาง แล้วก็เดินกลับมาอยู่อย่างนั้น จอมโจรไม่เข้าใจการกระทำของหลวงปู่ท่าน เพราะเห็นท่านเดินไปเดินมาอยู่เช่นนั้น มันจึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ๆ ท่าน พอท่านหันหลังเดินกลับไปทางเก่า

มันก็ยกอาวุธขึ้นที่จะทำร้าย เป็นที่น่าอัศจรรย์ แสดงปาฏิหาริย์ ร่างของหลวงปู่อ่อนค่อยเลือนลางหายไป

จอมโจรก็พยายามที่จะทำร้ายท่านหลายครั้งหลายหน ครั้นพอเห็นร่างของท่าน จอมโจรชั่วก็เงื้ออาวุธจะทำร้าย ร่างก็เลือนหายไป ๆ เป็นอยู่อย่างนี้ จนที่สุดจอมโจรร้ายเหน็ดเหนื่อย เพราะเวียนตามที่จะฆ่าท่านหลวงปู่อ่อน ญาณสิริหลายเที่ยว จึงทรุดกายลงนั่งอย่างอ่อนกำลังเต็มทน

หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ได้ใช้อำนาจอภิญญาอันเร้นลับภายในของท่าน เพื่อทรมานโจรร้ายคนนี้ ท่านบังคับจิตใจของจอมโจรร้ายให้อ่อนลงจนพอควรแล้ว หลวงปู่อ่อน จึงได้เรียกชื่อของโจรร้ายอย่างถูกต้องและให้เข้าไปหาท่าน

ประโยคแรกที่ท่านเรียก จอมโจรต้องตกใจตัวสั่นหันไปทางเสียงบนกุฏิ มันค่อย ๆ คลานไปหาอย่างคนที่จิตใจเลื่อนลอย พอไปถึงหลวงปู่อ่อนท่านพูดขึ้นว่า

"อาตมานั้น เป็นคนรวยจริง แต่รวยธรรมะ ส่วนทรัพย์สมบัตินั้น อาตมาไม่มีหรอก สมบัติของอาตมาก็มีผ้าที่ครองอยู่คือ ผ้า ๓ ผืน กับนี่ บาตรลูกเดียวเท่านั้น”

หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ พูดจบก็หยิบบาตรส่งให้จอมโจรดู จอมโจรใจหายวาบ เพราะครั้งแรกตนเองเห็นอย่างชัดแจ้งว่าเป็นกะโหลกผี

จอมโจรผู้มีชนักติดตัวคนนั้น มองดูบาตรที่อยู่ในมือ ของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ด้วยหัวใจเลื่อนลอย พยายามทบทวนการกระทำของตนอยู่พักหนึ่ง ก็บังเกิดความละอายใจที่ตนคิดร้ายก่อกรรมทำชั่วไว้ในครั้งนี้

จอมโจรสำนึกผิดกลับจิตใจด้วยการ ก้มลงกราบแทบเท้าสารภาพความผิดแก่หลวงปู่อ่อนและได้ให้สัจจะกับหลวงปู่อ่อนว่า

"ท่านพระอาจารย์ครับ กระผมเป็นคนบาปที่คิดไม่ดีกับพระอาจารย์ บัดนี้ตาสว่าง ใจสว่างได้แล้ว กระผมจะขอให้สัจจะ ณ บัดนี้ว่า กระผมจะขอเลิกจากการเป็นโจรคนพาล จะขอกลับตนเป็นคนดีหากินอย่างสุจริต ไม่ขอก่อกรรมอีกต่อไปและขอท่านพระอาจารย์โปรดอโหสิกรรม ยกโทษให้แก่กระผมด้วยเถิด”

หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ยิ้มรับด้วยความเมตตายิ่ง ท่านได้พูดกับโจรกลับใจพร้อมกับกล่าวตักเตือนดุจบิดาตักเตือนบุตร ด้วยความอ่อนโยนว่า

"เธอได้สำนึกผิด เพราะความหลงผิดของเธอได้แล้วนั้น นับได้ว่า เธอยังเป็นบุคคลที่มีบุญมีวาสนาอยู่บ้าง เราจะขออวยพรให้เธอจงสำเร็จผลดังตั้งใจไว้นะเธอจงจำไว้นะ ผู้มีธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่กับจิตใจอยู่กับตัว ดีกว่ามีทรัพย์สมบัติอื่น ๆ ในโลก"
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
วัดป่านิโครธาราม จังหวัดอุดรธานี





ผู้มีปัญญา ย่อมทำตนให้ดีได้.
ผู้สำรวมแล้ว ย่อมรู้จักความวุ่นวายของผู้อื่น.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)







สิ่งที่ปิดบังลี้ลับไม่ให้รู้ให้เห็นก็ไม่ใช่สิ่งใดที่ไหน ได้เคยพูดอยู่เสมอ มีแต่กิเลสทั้งนั้นที่ปิดบังไว้ ไม่ใช่กาล ไม่ใช่สถานที่ ไม่ใช่เวล่ำเวลา ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สิ่งใดมาปิดกั้นจิตใจไม่ให้บรรลุมรรคผลนิพพาน มีกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น จะมีกี่แขนงก็รวมชื่อว่ากิเลส เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหาอะไร มันเป็นเรื่องของกิเลสแตกแขนงออกไป

เหมือนกับต้นไม้ที่แตกกิ่งแตกก้านแตกแขนงออกไป ออกจากไม้ต้นเดียวนั่นแหละกิเลสก็ออกจากใจดวงเดียว รากฐานของกิเลสแท้ท่านเรียกว่า อวิชชา มันตั้งรากตั้งฐานอยู่ภายในใจนั่นแล และครอบงำจิตใจไว้ แล้วก็แตกแขนงออกไปเป็นกิ่งเป็นก้านสาขาดอกใบไม่มีประมาณ ดังธรรมท่านว่า กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดอะไรเหล่านี้ มันเป็นกิ่งก้านสาขาของกิเลสอวิชชานั่นแล

เพราะฉะนั้น การพิจารณาจึงต้องพิจารณาตามกระแสของจิตที่เกี่ยวพันกันกับกิเลส ซึ่งทำให้ลุ่มหลงในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส เครื่องสัมผัสต่างๆ พิจารณาคลี่คลายโดยทางปัญญาจะถอดถอนได้ กิเลสผูกมัดจิตใจ กิเลสทำให้มืด กิเลสทำให้โง่ ตัวกิเลสเองมันไม่ได้โง่ มันฉลาด แต่เวลามันมาครอบครองใจเรา เราก็เป็นคนโง่ไม่ทันกลมายาของมัน เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยหลักธรรมมีสติปัญญาเป็นต้น ซึ่งเป็นเครื่องมือที่กิเลสกลัว นำมาขับไล่ปราบปราม

นักบวชต้องเป็นผู้มีความอดทน ตามหลักของนักบวชเป็นอย่างนั้น มีความขยันหมั่นเพียรก็คือนักบวช ชอบคิดอ่านไตร่ตรองก็คือนักบวช ความไม่ลืมเนื้อลืมตัวก็คือนักบวช ความเอาจริงเอาจังในสิ่งที่ชอบธรรมทั้งหลายก็คือนักบวช นักบวชต้องเอาจริงเอาจังทุกงาน ไม่ว่างานภายนอกงานภายใน มีสติคอยกำกับรักษาใจเป็นประจำ มีปัญญาคอยพิจารณาไตร่ตรองเลือกเฟ้น สอดส่องดูว่าอันใดผิดอันใดถูก ปัญญาแนบนำอยู่เสมอ

ทุกข์ก็ทน คำว่าทุกข์มันไม่ใช่ทุกข์เพราะความเพียรเท่านั้น มันทุกข์เพราะการฝืนกับกิเลสเป็นสำคัญ ความขี้เกียจก็คือเรื่องของกิเลส ความอ่อนแอคือเรื่องของกิเลส เราฝืนความอ่อนแอ เราฝืนความเกียจคร้านซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความเอาจริงเอาจังจึงเป็นทุกข์ ความเป็นทุกข์ที่ปรากฏอยู่นี้ไม่ใช่เป็นทุกข์เพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะความต่อสู้กับกิเลส ถ้าเรายังเห็นว่าความต่อสู้กับกิเลสเป็นเรื่องความทุกข์แล้ว ก็ไม่มีทางต่อสู้กับกิเลสได้ และไม่มีวันชนะกิเลสไปได้เลยแม้ตัวเดียว

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๑






"ความผ่องใส
หรือความเศร้าหมองของใจ
มิได้เกิดแต่อะไรอื่น
แต่เกิดจากความคิดของตนเอง

ใจขุ่นมัวเศร้าหมองเมื่อไร
อย่าไปโทษคนอื่นว่าเป็นเหตุ
โทษความคิดของตัวเอง
และเปลี่ยนความคิดทันที"

-:- สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ-:-







"ทำให้ได้ดี เท่าเขาเสียก่อน
จึงค่อยมาวิพากษ์วิจารณ์ มึงไม่ใช่เขา
ไม่อยู่ในสถานการณ์เหมือนเขา
อย่าพึ่งด่วนสรุป ว่าเขาไม่ดี"

-:- หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร -:-







“จริตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีมากบ้าง น้อยบ้างต่างกัน เป็นเรื่องของสัตว์โลกที่เกิดมา ได้สร้างความดีไว้ที่ต่างกัน ทุกคนจึงต้องเป็นตามกรรมนั้นๆ จริตของคนเราที่เกิดมาในโลก มี ๖ ประการ คือ ราคะจริต เป็นผู้ที่รักสวยรักงาม เป็นเจ้าเรือน โทสะจริต เป็นผู้มักโกรธง่าย ผูกโกรธไว้เป็นเจ้าเรือน โมหะจริต เป็นผู้หลงงมงาย มืดมน วิตกจริต เป็นผู้ไม่แน่นอน ตกลงใจไม่ได้ สัทธาจริต เป็นผู้มักเชื่อง่าย ถือมงคลตื่นข่าว และพุทธะจริต เป็นผู้ใช้ปัญญาตรึกตรองมาก จริตทั้ง ๖ ประการ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้และหมั่นพิจารณาเนืองๆ ว่า ตนนั้นตกอยู่ในจริตข้อใด หรือจริตข้อใด เป็นเจ้าเรือน เมื่อรู้แล้ว จงกำหนดจิตของตน ให้แน่วแน่ละจริตนั้นๆ เสีย ทำบ่อยๆ จนจิตสงบ เยือกเย็น ได้ชื่อว่า เป็นผู้ละกิเลส ตัณหา อุปาทานที่เกิดขึ้นได้”

โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่อ่ำ ธัมมกาโม








"เลือกวิธีที่ชอบ"

ถาม : ระหว่างดูลมหายใจ หรือบริกรรมว่าพุทโธ หรือบริกรรมว่าตายตาย อย่างไหนจะทำให้จิตรวมได้เร็วกว่ากันครับ

พระอาจารย์ : ลองดูสิ แต่ละคนมันไม่เหมือนกัน จริตของคนไม่เหมือนกัน เหมือนกับอาหารที่เรากินนี้ กินแล้วอิ่มเหมือนกัน แต่บางคนกินง่ายกินยาก ถ้าไปกินของที่เราไม่ชอบนี้ กว่าจะอิ่มมันฝืนมันต้องคอยยัดเข้าไป แต่ถ้าของที่เราชอบนี้ไม่ต้องยัด มันดูดเข้าไปเลย ก็เหมือนกัน วิธีนั่งสมาธิแต่ละคนก็มีวิธีที่ชอบหรือไม่ชอบ ฉะนั้นเราเลือกวิธีที่ชอบ ถ้าเราชอบตาย ก็ตายตายตายตายตายไป คนที่ไม่ชอบตายไปท่องตายมันก็ไม่ไหว มันก็เครียดขึ้นมา ฉะนั้นมันแล้วแต่จริต บางคนก็พุทโธ บางคนก็ตาย แล้วแต่ความเหมาะสม บางคนก็ดูลมหายใจเข้าออก คนเรามีจริตไม่เหมือนกัน การสร้างสติก็เหมือนกับอาหารมีหลายชนิด บางคนก็ชอบก๋วยเตี๋ยว บางคนก็ชอบข้าวผัด บางคนก็ชอบอะไรเคเอฟซี บางคนก็ชอบแมคโดนัลด์ ถึงมีร้านอาหารหลายๆ ชนิดขึ้นมา แต่กินแล้วมันเหมือนกันไหม มันก็อิ่มเหมือนกันใช่ไหม ก็เท่านั้นแหละ.

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







คนเรานั้น หากไม่สามารถก้าวข้ามความเป็นปุถุชน
สู่พระโสดาบัน ท่านว่ายังไม่ปลอดภัย จากการตก
ไปสู่อบายภูมิ และการตกอบายภูมิ อาจใช้เวลานาน
แสนนาน กว่าจะได้คิวกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง
เพราะฉะนั้น พึงอย่าประมาทในการทำ ความดี...

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี...





ทำทานแล้วตั้งจิตอธิษฐาน..
ขอให้ชาติหน้าได้เกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า
ขอให้ทำมาค้าขึ้น ขอให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี

ทำทานร้อยบาท.. แต่ขอให้ร่ำรวยนับล้าน
ขอให้ถูกกินแบ่งรัฐบาล สลากกินรวบ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติสวรรค์

หากชาติก่อน.. ไม่เคยได้ทำบุญใส่บาตร
ฝากสวรรค์เอาไว้ อยู่ๆมาขอเบิกในชาตินี้
จะมีที่ไหนมาให้
การทำทานด้วยความโลภเช่นนี้..
ย่อมไม่ได้บุญอะไรเลย

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
(เจริญ สุวฑฺฒโน)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO