นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 9:20 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 07 มิ.ย. 2017 5:25 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
"ปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
เป็นหนุ่ม เป็นสาว นี่แหละดี
เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว
จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย

หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อน
แล้วจึงค่อยปฏิบัติ
ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำ
เอาตอนที่แพใกล้จะแตก
มันจะไม่ทันการณ์"

-:-หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ-:-






นี่ถ้าหากว่าเราจะเทียบนะ ถ้าหากว่าจิตนี้มีเครื่องมือเป็นของตน คือจิตที่บริสุทธิ์แล้วมีเครื่องมือเป็นของตน โดยไม่ต้องอาศัยสมมุติเป็นเครื่องมือ สมมุติคือขันธ์ ๕ นี้เป็นเครื่องมือของกิเลสมันเป็นวัฏจักรเป็นสมมุติ จิตที่เป็นวิมุตติให้มีเครื่องมือเป็นวิมุตติมาใช้ จะไม่มีอันใดที่จะสวยงามจะน่าดูจะอัศจรรย์ ยิ่งกว่าลวดลายของจิตที่บริสุทธิ์แสดงตัวออกไป สมมุติว่าแสดงการเทศนาว่าการหรือการแนะนำสั่งสอนใครก็ตาม ให้มีเครื่องมือสำหรับจิตนั้นโดยเฉพาะ จะไม่มีอะไรน่าดูยิ่งกว่าพระอรหันต์ท่านแสดงกิริยาแห่งธรรมออกมา ด้วยเครื่องมือของท่านโดยเฉพาะ

อันนี้ท่านไม่มีก็ต้องมาอาศัยขันธ์นี่เป็นเครื่องมือ ขันธ์นี้เป็นสมมุติ จิตเป็นวิมุตติก็ต้องมาอาศัยสมมุตินี้ใช้ เพราะฉะนั้นกิริยานี้จึงเป็นเหมือนโลก เคยช้าเคยเร็วจริตนิสัยเป็นอย่างไรก็ต้องคงเส้นคงวาของมันไปอย่างนั้นตามเดิม จึงเรียกว่านิสัย ควรที่จะพูดหนักเบามากน้อยเข้มข้นถึงเรื่องธรรมทั้งหลาย ทีนี้ก็เอาเรื่องขันธ์นี้มาใช้ มันก็เป็นลักษณะเหมือนโกรธเหมือนโมโหโทโสไปเสีย ความจริงเป็นพลังของธรรมแสดงออกมา ไม่ใช่พลังของกิเลสพลังของอารมณ์ที่เกิดจากกิเลสแสดงออกมา ผิดกันตรงนี้ ถ้าหากว่าธรรมจิตตวิสุทธิมีเครื่องมือเป็นของตนใช้ โอ้โห จะน่าดูที่สุด ไม่มีอะไรน่าดูยิ่งกว่า

อวิชชา แท้นั่นละจอมกษัตริย์ของกิเลสทั้งหลาย ถ้าเป็นไม้ก็เรียกว่ารากแก้ว รากฝอยตัดเข้าไป ๆ เข้าไปถึงรากแก้ว ถ้าเป็นต้นก็เรียกว่าแก่น ถ้าเป็นรากก็เรียกว่ารากแก้ว อวิชชาจริง ๆ แม้แต่มหาสติมหาปัญญายังหลงกลมายาของมันว่าไง ละเอียดขนาดไหน ละเอียดขนาดนั้น ขนาดสติปัญญาอัตโนมัติยังหลงกลมัน เป็นองครักษ์รักษามันเสียด้วยซ้ำไป เฮ้อ พูดถึงเรื่องความโง่ต่ออวิชชานี่ก็น่าบัดซบเหมือนกันนะ มันทุเรศ ไม่ให้อะไรมาแตะต้อง เพราะมันผ่องมันใสมันละเอียดลออ มันอ้อยอิ่งไม่มีอะไรเหมือนเลย เวลาเข้าไปถึงตัวอวิชชาจริง ๆ แทนที่จะเป็นภาพเหมือนเสือโคร่งเสือดาวเหมือนยักษ์เหมือนผีอย่างนั้น มันกลับเป็นนางงามจักรวาลไปซิ เจ้าสติปัญญาที่ฝึกมาอย่างเกรียงไกรนั้นก็เลยกลายเป็นองครักษ์รักษาอันนี้ ไม่ให้อะไรมาแตะต้องมัน

สลัด ปั๊บ ๆ อะไรจะมาแตะไม่ได้ สัมผัสอะไรเรื่องอะไรนี้มันสลัดปั๊บ ๆ เลยรักษาอวิชชาไว้เสียนี่ กลายเป็นองครักษ์ของอวิชชา ในเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น เพราะไม่มีอะไรเหลือ มีอันเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรที่จะพิจารณาแล้ว..หมด สิ่งเหล่านี้มันรู้หมดแล้ว มันปล่อยทั้งนั้นแหละไม่ไปสนใจ รู้อะไรแล้วปล่อย มันจะดูรู้สึกที่สง่าผ่าเผยที่ว่าความผ่องใสองอาจกล้าหาญ ถ้าพูดถึงว่าอัศจรรย์ของอวิชชานี้ก็อัศจรรย์จนขนาดสติปัญญาอัตโนมัติชมเชย พูดง่าย ๆ นะ ยกย่องชมเชยถวายตัวเป็นองครักษ์พูดง่าย ๆ

แต่เพราะขึ้นชื่อว่าสมมุติแล้วจะละเอียดขนาดไหนก็ตาม มันจะแสดงอาการพิรุธให้เห็นจนได้ ด้วยสติปัญญาอัตโนมัตินี้ก็แหลมคมไม่ใช่เล่น เพราะไม่ใช่แต่เพียงรักษาอย่างเดียว ยังต้องสังเกตว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับนี้ ๆ ทีนี้มันก็มีเพราะอันนี้เป็นตัวสมมุติ ทีนี้สมมุติที่จะแทรกกันขึ้นมากับสมมุตินี้ก็ได้แก่ความผ่องใสความเศร้าหมอง คือความผ่องใสนั้นผ่องใสตามส่วนของธรรมละเอียด เศร้าหมองก็เศร้าหมองตามส่วนของธรรมละเอียด มันหากมีจนได้ แม้จะละเอียดขนาดไหนสติปัญญานี้ก็ทันก็รู้ เมื่อแสดงขึ้นมาหลายครั้งหลายหนก็ทำให้เอะใจ เอ๊ะ ทำไมธรรมชาติอันนี้นึกว่าจะคงเส้นคงวาแล้ว ทำไมจึงมีอาการแปลกๆ ให้เห็น เดี๋ยวว่าผ่องใสเดี๋ยวว่าเศร้าหมอง ถึงจะละเอียดแค่ไหนก็ตามนะ จิตละเอียดแค่ไหนความเศร้าหมองความผ่องใสก็จะละเอียดไปตามๆ กันนั้นแหละ

แม้เช่นนั้นมันก็ไม่ทนกับสติปัญญาที่จ่ออยู่ตลอดเวลาได้ ทั้ง ๆ ที่รักษาอยู่มันก็แสดงอาการให้เห็นพิรุธก็จับปั๊บเข้าไปซิ เลยเอาจุดนี้เป็นสนามรบละที่นี่ เอ๊ นี่มันอะไรถึงเป็นอย่างนี้ กว่าจะรู้นะ ว่าเป็นของดิบของดีว่าเป็นของวิเศษวิโส ทำไมจึงมามีอาการเศร้าหมองบ้างอาการผ่องใสบ้าง มีลักษณะทุกข์บ้างสุขบ้าง ทำไมจึงมาเป็นอย่างนี้ คือทุกข์ก็ทุกข์ตามส่วนละเอียดของธรรมของจิตนั่นแหละ ไม่ทุกข์มากก็พอให้รู้จนได้ เพราะสติปัญญาขั้นนี้เป็นขั้นที่แหลมคมมาก ก็จับซิ นั่นเป็นต้นเหตุให้พิจารณา ทีนี้จุดนั้นเลยเป็นจุดพิจารณาขึ้นแล้วที่นี่ เหมือนกับสภาวธรรมทั้งหลาย เราผ่านไปได้ก็เพราะเราพิจารณาเข้าใจแล้วผ่านไป ๆ ทีนี้อันนี้กำลังสงสัยมันก็จ่อเข้ามานี้อีก มันพิจารณาเข้าใจปั๊บก็ขาดลอยไปเลยไม่มีอะไรเหลือ

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๑
องครักษ์ของอวิชชา-พูดท้ายเทศน์






"เราไม่ต้องคำนึงถึงอดีต อนาคต
อดีตล่วงไปแล้ว ดีก็ดีมาแล้ว ชั่วก็ชั่วมาแล้ว
อนาคตก็ยังไม่มาถึง ทำปัจจุบันนี้ให้ดี
อนาคตก็ต้องดี"

-:-หลวงปู่ฝั้น อาจาโร -:-






การทำตนให้พ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง นั่นแหละ
เป็นการกระทำที่ประเสริฐกว่าการกระทำต่างๆ ทั้งหลาย.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจฺนโท จันทร์)





"...สติ สำคัญนะ เรื่องธรรมที่จะแก้กิเลสทุกประเภท สติกับปัญญาจึงเป็นเครื่องมือชั้นเอกเลยขาดไม่ได้ ที่เป็นพื้นฐานของธรรมทุกขั้น ก็คือสติ เป็นพื้นฐาน จากนั้นปัญญาก็รอบสติธรรม คนมีสติก็เป็นคนธรรมดาเรา คนไม่มีสติก็พลั้ง ๆ เผลอ ๆ คนไม่มีสติจริง ๆ ก็คือคนบ้า..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน






"...พระพุทธเจ้ากล่าวว่า บุคคลใดรู้ตัวว่าเป็นพาล พาลนี่เขาแปลว่าโง่ พระพุทธเจ้ากล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นบัณฑิต เพราะเป็นผู้รู้

คนที่รู้ตัวว่าเป็นคนพาล มันจับความชั่วของตัวไว้เสมอ จ้องดูจิตว่า อารมณ์ชั่วมันจะเกิดเมื่อไร ความชั่วมันจะเกิดขึ้นมาในด้านไหน หาทางตัด นี่บัณฑิตมีความรู้สึกอย่างนี้ ไม่เคยมีความรู้สึกตัวว่าเป็นคนดี

มองหาความชั่วของตัวให้พบ เมื่อหาชั่วพบ ทำลายความชั่วได้แล้ว มันก็ดีเอง นี่จัดว่าเป็นความดีอันดับต้น สำหรับคนที่เข้าถึงพระพุทธศาสนา เพราะเราเรียนกันอันดับสูงนี่ เราไม่ได้เรียนเปะๆปะๆ ตายแล้วจะไปไหนก็ช่าง อันนี้เราไม่ใช่

อย่างเลวที่สุด ตายแล้วเราไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม และมีชาติเกิดจำกัด ๑ ชาติ ๓ ชาติ ๗ ชาติ เป็นอย่างมาก แล้วไม่ลงอบายภูมิ นี่ศูนย์แห่งการศึกษาเป็นอย่างนี้..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)






"...อย่าเอิกเกริกเฮฮา อย่ารื่นเริงบันเทิงจนลืมเนื้อลืมตัว ฉิบหายวายปวงไปเพราะสิ่งเหล่านี้มีมากมายนะเวลานี้ ให้พากันระมัดระวัง ไปที่ไหนให้มีพุทโธๆ อยู่ภายในใจ มีความตายระลึกไว้ภายในใจ

คนเรามีความรู้ตัวอยู่เรื่อยๆ ไม่ลืมตัวง่ายๆ มีพุทโธก็ไม่ลืมตัว มีระลึกความตายใส่ตัวเองก็ไม่ลืมตัว ให้มีความรู้สึกตัว รู้จักบุญรู้จักบาป ถ้าไม่มีอันนี้ไปใหญ่นะ กิเลสมันลากไปหมดนั่นแหละ พากันจำเอานะ..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน






เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย

จะให้คน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนค้นหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง.

กลอนธรรมคำสอน..
องค์ท่านพุทธทาสภิกขุ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO