นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 7:33 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความสงบ
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 05 มิ.ย. 2017 11:36 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
พอความสงบไม่เกิดก็เป็นทุกข์ ก็เลยลุกขึ้น วิ่งหนีเลย การปฏิบัติอย่างนี้ไม่เป็น "การพัฒนาจิต" แต่มันเป็นการ "ทอดทิ้งจิต"ไม่ควรจะปล่อยใจไปตามอารมณ์ ควรที่จะฝึกฝนอบรมตนเองตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขี้เกียจก็ช่าง ขยันก็ช่าง ให้ปฏิบัติมันไปเรื่อยๆ ลองคิดดูซิ ทำอย่างนี้จะไม่ดีกว่าหรือ การปล่อยใจตามอารมณ์นั้นจะไม่มีวันถึงธรรมของพระพุทธเจ้า
โอสาทธรรม...หลวงปู่ชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี





"ชีวิตนี้น้อยนัก
มัวผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้
พ้นจากชาตินี้ไปแล้ว
จะไม่มีโอกาสดี
ให้วิ่งหนีกรรมได้อีกเลย"

-:- สมเด็จพระญาญสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ -:-






ความทุกข์ใจ...ต้องอาศัยทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในนั่นหมายความว่า คำต่อว่าด่าทอ เสียงดัง แดดร้อน ทำให้ทุกข์ใจไม่ได้ ถ้าใจเราไม่ไปร่วมมือด้วย

หากว่ามีคนตะโกนด่า แต่เราไม่สนใจ ไม่นำพา เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จะเกิดความโกรธได้ไหม ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าใจเราไม่เอาคำเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ หรือหวนระลึกนึกถึงคำเหล่านั้น

การกระทำก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีคนมากลั่นแกล้ง เอาเปรียบ รบกวน รังควาน แต่ถ้าเราไม่เก็บเอามาคิด ไม่นำพาไม่สนใจ ความทุกข์ใจก็เกิดขึ้นไม่ได้

ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เรามีความทุกข์ใจ จะโทษรูปที่เห็น โทษเสียงที่ได้ยิน โทษใครต่อใครที่รู้จักอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องโทษที่ใจเราด้วย เป็นเพราะใจเรามีส่วนร่วม ไปสมยอมเปิดทางอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาสร้างความทุกข์ใจให้กับเรา
ก้อนหินใหญ่แค่ไหนก็ตาม ถ้าเราไม่แบกจะเป็นทุกข์ไหม จะเหนื่อยไหม จะรู้สึกหนักไหม หนามแหลมเพียงใด ถ้าเราไม่เผลอเดินเตะ เราจะปวดไหม หินก้อนหนักๆ ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ ถ้าเราไม่ไปแบกมัน

หนามแหลมๆ ทำให้เราปวดไม่ได้ถ้าเราไม่เดินเตะมัน เมื่อรู้สึกหนักหรือรู้สึกปวด เราจะโทษก้อนหินหรือหนามแหลมอย่างเดียวไม่ได้ ต้องกลับมาดูว่าเป็นเพราะเรามีส่วนด้วย พูดอีกอย่างก็คือไม่มีใครยัดเยียดความทุกข์ให้เราได้ ถ้าเราไม่ยินยอม

ไม่มีใครขโมยความสุขไปจากเราได้ ถ้าหากเราไม่เออออห่อหมกด้วย

เคยมีนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งไปปรึกษาปัญหาชีวิตกับหลวงพ่อชา สุภัทโท สมัยนั้นราว ๔๐ ปีก่อนท่านยังไม่อาพาธ นายตำรวจคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์มาก แต่ถูกกลั่นแกล้ง เจ้านายไม่ส่งเสริม เพื่อนร่วมงานขัดแข้งขัดขา นอกจากเลื่อยขาเก้าอี้ ยังเล่นงานข้างหลังเพราะไม่กินตามน้ำเหมือนคนอื่นเขา เขากลุ้มใจมากก็มาระบายกับหลวงพ่อชา หลวงพ่อก็ฟังโดยไม่ได้ว่าอะไร ท่านปล่อยให้เขาพูดจนจบ เสร็จแล้วท่านก็ชี้ไปที่หินก้อนใหญ่ที่อยู่ในลานหน้ากุฏิท่าน แล้วถามว่า “เห็นหินก้อนนั้นไหม” “เห็นครับ” “หินก้อนนั้นหนักไหม” “หนักครับ” “คุณแบกไหวไหม” “แบกไม่ไหวครับ” แล้วท่านก็บอกว่า “ถ้าไม่ไหวก็อย่าแบกมัน”

ได้ยินเพียงเท่านี้นายตำรวจคนนั้นก็ได้คิดเลยว่า ที่ตัวเองทุกข์ก็เพราะแบกเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้นั่นเอง เรื่องราวเหล่านี้ไม่สามารถทำให้ตนเองเป็นทุกข์ได้หากไม่ไปแบกเอาไว้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็รู้สึกโปร่งโล่งขึ้นมาก ทำให้มีแรงทำงานต่อไป ปัญหาในที่ทำงานยังคงมีอยู่ แต่ใจไม่ทุกข์แล้ว เพราะไม่ไปแบกมัน นายตำรวจคนนี้จึงรับราชการต่อจนเกษียณ

เห็นไหมว่าเมื่อมีความทุกข์ใจเกิดขึ้น มันไม่ใช่เป็นเพราะคนนั้นคนนี้ทำอะไรไม่ถูกใจหรือกลั่นแกล้งเราอย่างเดียว แต่เป็นเพราะใจเราให้ความร่วมมือด้วยการแบกมันเอาไว้ เลยกลายเป็นการซ้ำเติมตนเอง

ข้อธรรม คำสอน พระไพศาล วิสาโล







"...กิเลสไม่เคยพาใครให้เบื่อความเกิดความตาย ความทุกข์ความลำบาก ความทรมานทั้งหลาย กิเลสไม่เคยให้เบื่อ ถ้าหากสัตว์โลกทั้งหลายเบื่อความทุกข์จริงๆ โลกนี้สัตว์ทั้งหลายจะไม่มีมาเกิด จะนิพพานกันไปทั้งหมด

แต่นี้โลกเป็นโลก ที่สัตว์ทั้งหลายชอบกันทั้งนั้น ความโลภสัตว์ทั้งหลายก็ชอบ ความโกรธสัตว์ทั้งหลายก็ชอบ ราคะตัณหายิ่งชอบมาก นี่เป็นหันหน้าเข้าสู่กองทุกข์ แล้วจะไม่มีทุกข์ได้อย่างไร..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน





“...มองดูท้องฟ้า เห็นดวงดาวเต็มไปหมด การเกิด การตาย ไม่รู้ว่าอีกเท่าไร เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย...”
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่





“...คนเราเกิดมา นินทาก็ดี สรรเสริญก็ดี อย่าไปรับเอามาหมกไว้ในใจ ปล่อยให้ผ่านไปเสีย...”
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่





โลกกับธรรม

“...ธรรมต้องอาศัยอยู่กับโลก ไม่มีโลกธรรมก็อยู่ไม่ได้ ผู้เห็นธรรมรู้ธรรมก็คือผู้มารู้มาเห็นโลกตามความเป็นจริง แล้วเบื่อหน่ายคลายจากโลกเอง ถ้ารู้เท่า รู้เรื่อง มันเป็นธรรมทั้งหมด

ผู้ปฏิบัติจะเห็นความดีความชั่วของตน ตรงนั้นแหละมันเป็นธรรมหรือมันเป็นโลก ก็เห็นมันตรงนั้นแหละ เมื่อไม่มีโลกแล้วธรรมก็ไม่ทราบว่าจะเอาไปตั้งไว้ตรงไหน และเกิดขึ้นมาได้อย่างไร โลกอันใดธรรมก็อันนั้น จะเป็นโลกหรือเป็นธรรม อยู่ที่ฝึกอบรมต่างหาก...”

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย





..พอตื่นขึ้นมาปั๊บ..
ก็ซัดมันเลย ด้วยพุทโธ
บริกรรม พุทโธ พุทโธไป
จะไปทำอะไรก็ พุทโธไป
.
...ลุกขึ้นจากเตียงนอน
เดินเข้าห้องน้ำก็ พุทโธไป
ล้างหน้าล้างตา
อาบน้ำอาบท่าก็ พุทโธไป
แต่งเนื้อแต่งตัวก็ พุทโธไป
.
...ให้มี "พุทโธ" เป็นตัวนำไปเรื่อยๆ
แล้วพวกศัตรูของเราจะ
ไม่มีโอกาสมาต่อยเรา
ถ้าเราหยุดต่อยเมื่อไรนั่นแหละ
"หยุดพุทโธเมื่อไร"
เดี๋ยวมันมาแล้ว
"สังขาร ความคิดปรุงแต่งต่างๆ".
.....................................................
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา31/5/2558
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO