นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 8:44 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ต้องมีสติกำกับ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 03 มิ.ย. 2017 5:40 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
" ต้องมีสติกำกับ "

ถาม : ทุกวันนี้เวลานั่งบางทีมันฟุ้งขึ้น มันเหมือนกับเสื่อมขึ้นเสื่อมลงคะ

พระอาจารย์ : เพราะเราไม่มีสติกำกับนะ ไม่มีพุทโธกำกับ ต้องพุทโธพุทโธพุทโธไป แล้วมันจะไม่เสื่อม อย่านั่งเฉยๆ นั่งเฉยๆแล้วมันเดี๋ยวก็จิตใจมันก็ขึ้นๆลงๆไปตามประสาของมัน แต่ถ้าเราพุทโธแล้วมันก็จะนิ่ง มันจะไม่ขึ้นไม่ลง นั่งไปแล้วก็พุทโธพุทโธพุทโธไป อย่านั่งเฉยๆ การนั่งสมาธิต้องมีอะไรกำกับใจ ถ้าไม่นั่งพุทโธก็ต้องดูลมหายใจไป คอยดูลมว่าตอนนี้กำลังหายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าหายใจออก อย่าไปนั่งดูใจนั่งดูจิต นั่งดูจิตจิตมันก็เป็นเหมือนลิง พอไม่ผูกมันไว้ปล่อยมัน เดี๋ยวมันก็เล่น มันก็วิ่งไปวิ่งมาจิตถ้าเราไม่ผูกมันไว้ด้วยพุทโธ หรือผูกไว้กับลม เดี๋ยวมันก็แสดงอาการต่างๆขึ้นมา นั่งไปไม่เกิดประโยชน์ ถ้านั่งไปแล้วไม่มีสติกำกับใจ อย่างนั้นเขาไม่ได้เรียกว่านั่งสมาธิ เราต้องการนั่งสมาธิเพื่อให้ใจเป็นสมาธิ คำว่าสมาธิ ก็คือสงบนิ่ง แล้วความสงบนิ่งเป็นความสุขอย่างยิ่ง ที่เรานั่งนี้เพื่อความสุข เหมือนเรานั่งดูหนังก็เพราะความสุขใช่ไหม เรานั่งสมาธิก็นั่งเพื่อความสุข มันจะสุขก็ต่อเมื่อเรามีสติคอยคุมใจ ไม่ให้มันไปคิดไม่ให้มันไปแสดงอะไรต่างๆ ถ้าเรามีพุทโธพุทโธ มันจะไม่มีอะไร มันจะว่าง จะเย็น จะสบาย เข้าใจนะ ลองไปทำดู.

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต





...เป็นส่วนกลาง เป็นของสงฆ์...

..ถ้าหากเราเสียสละในทางพระพุทธศาสนา ยิ่งเป็นของมีประโยชน์ใหญ่ ทำไมจึงว่าใหญ่ เพราะคำว่าศาสนานี้ เป็นส่วนกลาง เป็นของสงฆ์ เป็นส่วนใหญ่ในมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม ตลอดจนถึงอบายโลก ไม่ใช่ว่าจะเป็นของกลาง เฉพาะในวงวัดศาสนาของเราแห่งนี้เท่านั้น หรือศาสนาเฉพาะในประเทศไทยนี้ เป็นกลางหมดทั้งศาสนโลก ทั้งหมื่นจักรวาล แสนโกฏิจักรวาล ซึ่งบรรดาผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา หรือไม่นับถือก็ตาม ก็เรียกว่าเป็นกลางอยู่อย่างนั้นตลอดไป
..หลวงปู่ศรี มหาวีโร..






ความดี กับ ความไม่ดี
ขึ้นอยู่กับเหตุ คือเราทำไว้
ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนพูด.."

โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่ศรี มหาวีโร
วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด






"บ่จองเวรกันอีกแล้ว"

เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเวลาประมาณบ่ายสามโมงของ วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๓๕ ณ.วัดป่าโคกมน หลวงปู่ชอบท่านได้บอกกับพระอุปัฏฐากว่า

“แม่ออก (โยมผู้หญิง) เขาขอให้เราไปช่วยลูกเขา ตอนนี้ลูกเขากำลังจะถูกงูกิน”

หลวงปู่ชอบท่านบอกกับพระว่า “อยู่ทางเข้ากุฏิเบอร์สี่ ไปเร็วๆ ลูกมันถูกกินแล้ว”

พระเณรที่อยู่ในเหตุการณ์พากันเข็นรถหลวงปู่ชอบไปอย่างเร็ว เข็นแบบวิ่งไปเพื่อให้ไปถึงที่เกิดเหตุตามที่หลวงปู่ท่านบอก หลวงปู่ชอบท่านชี้มือไปที่โพรงไม้ ท่านบอกกับพระเณรว่า

“งู มันอยู่ในนั่น”

(ตอนนั้นพระเณรทุกองค์ยังไม่เห็นงู)พระอุปัฏฐากได้เดินไปจับงูเขียว แล้วนำมาให้หลวงปู่ชอบท่านดู งูเขียวนี้เป็นงูเขียวพระอินทร์ มีลำตัวขนาดใหญ่พอๆ กับขวดกระทิงแดง ความยาวของงูตัวนี้ประมาณหนึ่งเมตร ที่ท้องของมันป่องๆ จับดูที่ท้องของมันเป็นลูกๆ ลักษณะคล้ายกับมีตัวกระรอก หรือหนูอยู่ที่ในท้องของมัน

หลวงปู่ชอบท่านบอกว่า “มันกินลูกกระรอกไปแล้วตัวหนึ่ง ตอนนี้มันอิ่มแล้วแต่มันบ่ยอมหนี มันจะนอนอยู่กินลูกเขาที่เหลือในรังอีก”

องค์ท่านพูดขึ้นว่า “รู้อยู่ว่าชาติเชื้อหน่อเนื้อเจ้ากินมังสาเป็นอาหาร เขาเคยทำลายลูกเจ้า เจ้ากะมาทำลายลูกเขา เจ้าก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ บ่มีไผ๋ได้สุขจากเรื่องนี้ ต่อไปนี้อย่าทำลายกันอีกเด้อ จบกันซ่ะแต่ชาตินี้ อย่าจองเวรกันอีกต่อไป”

แล้วองค์ท่านก็สั่งพระเณรให้นำงูตัวนี้ไปปล่อยที่นอกวัด เพื่อไม่ให้มันมารบกวนกันอีกต่อไป เรียนถามองค์ท่านว่า หลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่ามีงูเขียวมันมากินลูกกระรอก องค์ท่านตอบว่า

“ได้ยินเสียงแม่ออกร้องขอความช่วยเหลือ อาจารย์ๆ ช่วยลูกข้าน้อยด้วย ลูกข้าน้อยถูกงูกินแล้ว เราเลยกำหนดดูที่มาของเสียงนี้ เห็นงูมันกำลังกินลูกกระรอกก็เลยบอกพวกท่านให้พากันมาช่วยลูกกระรอกตัวอื่นๆ ที่เหลือ กรรมของงูเขียวกับกระรอกตัวนี้ พวกมันเคยพรากแก้วตาดวงใจกันมาหลายภพหลายชาติ พอมาถึงชาตินี้กระรอกมันเลยถูกงูเขียวมากินลูกของมัน”

หลวงปู่ชอบบอกว่า

“อดีตชาติตอนที่เราเกิดอยู่ทางนครพนม ปัจจุบันที่เราเกิดในตอนนั้นอยู่ในเขตท่าอุเทน เราเป็นพ่อผัวของงูเขียวกับกระรอกตัวนี้ เมียมันบ่ถูกกัน อิจฉากัน อยู่ตลอดเวลา พอเมียใหญ่ท้อง เมียน้อยกะวางยาให้เมียหลวงตกลูกตกเลือด พอเมียหลวงตกลูกแล้ว ก็รู้ว่าเมียน้อยเป็นผู้ทำลายลูกเจ้าของ มันเลยพยาบาทอาฆาตจองเวรกันไว้”

“จิตใจของสองคนนี้มันตกต่ำ พอตายไปแล้วพวกมันก็พากันมาเกิดเป็นเดรัจฉาน นับจากชาตินั้นเป็นต้นมาพวกมันก็เบียดเบียนกันมาอยู่ตลอด สลับภาพสลับชาติกันอยู่แบบนี้ จนมาถึงในชาติปัจจุบันนี้แหละ พวกมันเกิดเป็นเดรัจฉานชาติใด ก็พากันเกิดเป็นแต่เดรัจฉานตัวเมียอยู่อย่างนั้น เบียดเบียนฆ่าลูก กินลูกกันอยู่อย่างนั้น จนถึงชาติปัจจุบันนี้แหละ”

เพื่ออยากพิสูจน์ว่างูเขียวตัวที่จับอยู่นี้ว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย พระอุปัฏฐากท่านนี้จึงใช้มือกดไปที่โคนหางของงู เมื่อกดไปที่หางของงูแล้วไม่ปรากฏมีเดือยของงูโผล่ออก จึงรู้ว่างูเขียวตัวนี้เป็นตัวเมียตามที่หลวงปู่ชอบท่านได้บอกไว้

จากนั้นหลวงปู่ท่านพาพระเณรนำงูเขียวตัวนี้ไปล่อยที่ทุ่งนาทางเข้าบ้านโคกแฝก งูเขียวตัวนี้เมื่อถูกปล่อยแล้วก็ไม่เลื้อยหนีในทันที มันได้หยุดมองมาที่หลวงปู่และพระเณรประมาณสองสามนาที หลวงปู่ชอบท่านยกมือขึ้นแล้วพูดว่า

“จบๆ กันซ่ะ บ่จองเวรกันอีกแล้ว จากนี้ไปให้อยู่กันเป็นสุขๆ”

ระหว่างเข็นรถเข็นของหลวงปู่กลับมาที่วัดป่าโคกมน ท่านไหมถามหลวงปู่ว่าหลวงปู่รู้ได้ยังไงกับอดีตพวกนี้ หลวงปู่ท่านบอกกับท่านไหมว่า

“อยากรู้ก็ให้ภาวนาจนได้เจโตฯ ภาวนาจนให้ได้จูตูปาสญาณ ทุกอย่างท่านก็จะรู้ด้วยตนเอง”

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม





โมทนาบุญ ไม่ใช่เรื่องเล็ก

▪เมื่อท่าน(พระโมคคัลาน์)ไปเห็น
วิมานหลังใหญ่และสวยมาก
และก็มีวิมานหลังเล็ก ๆ ๒ หลังเป็นมุขสำหรับนั่งเล่น
มีต้นไม้ทิพย์รอบบริเวณ
มีสวนใหญ่

จึงเข้าไปถามว่าใครเป็นเจ้าของวิมาน
ขอเจ้าของวิมานจงออกมาพบ

▪ท่านถามว่า ภคินิ ดูก่อนน้องหญิง

ฉันอยากจะทราบว่า ในสมัยที่เธอเป็นมนุษย์เธอทำบุญอะไรไว้ วิมานถึงได้ใหญ่มาก แล้วมีวิมานนั่งเล่นอีก มีสวน ต้นไม้ ดอกไม้

▪ยายคนนี้ก็ตอบน่าชื่นใจ คือเป็นนักบุญจริง ๆ แล้วแกก็บอกว่า


แกเป็นเพื่อนนางวิสาขา (นางวิสาขาเป็นมหาเศรษฐี)
เพราะพอนางวิสาขาทำบุญ

แกเองแม้แต่ใส่บาตรทัพพีหนึ่งยังไม่เคยมีเลย

▪แต่ว่าอาศัยการโมทนา

นางวิสาขาทำอะไรก็ตาม แกก็โมทนาด้วยคือยินดีด้วย

นางวิสาขาสร้างวิหารแกก็ยินดีด้วย
ถวายผ้าไตรจีวรแกก็ยินดีด้วย
ถวายอาหารพระแกก็ยินดีหมด

โมทนาหมด
แกอาศัยแค่โมทนาอย่างเดียว

ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
มีวิมานใหญ่

เพราะนางวิสาขาสร้างวิหารใหญ่ก็เลยใหญ่ตามกัน



อ้างอิงจาก
หนังสือธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๓๘ ฉบับที่ ๔๒๘
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)







"ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้ว
ชีวิตจะราบรื่น เป็นมอเตอร์เวย์ ๘ เลน
ไปตลอดทาง ไม่ใช่ว่าทำความดี
จะเจอแต่สิ่งดีที่ถูกใจเสมอไป

โลกธรรม ต้องมีอยู่เหมือนเดิม
เพราะเป็นของของโลก ที่เราอยู่อาศัย

คนดีเข้าป่า ยุงไม่ได้กัดน้อยกว่าคนชั่ว
ถ้าเรารู้เท่าทันโลกธรรม มันจะทำให้ใจเรา
ไม่ต้องไปขุ่นมัวกับมัน"

-:-พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ-:-







"ใครทำเรา เราให้อภัยไป
ไม่ผูกเวร ผูกกรรม ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข
รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัย ทั้งปวงเถิด

ทำอย่างนี้ รักษาบุญไว้ในใจ
บุญก็รักษาใจเรา ให้ไม่ดุร้าย

จิตใจก็สม่ำเสมอ เบิกบานด้วยบุญกุศล
ไม่อ่อนแอท้อแท้ จากหนุ่มตราบเฒ่าชรา"

-:-หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ-:-






"จงรีบไปทำบุญ ทำกุศลสืบต่อไป
เพื่อเป็นการหากำไรของชีวิต
เพราะชีวิตเรา มันน้อยนัก น้อยหนา
ที่อยู่ถึงร้อยปี มันก็ยาก"

-:-หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป-:-





พยายามรักษาจิตของท่านให้อยู่กับปัจจุบัน เมื่อเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาภายในจิตก็ตาม จงเฝ้าดูมันและปล่อยวาง เมื่อจิตกระทบเข้ากับอารมณ์ภายนอกอย่างไรก็ให้หยุดอยู่แค่นั้นอย่าไปทะเลาะวิวาทโต้แย้ง อย่าไปเอออวยเห็นดีเห็นงามให้จิตได้โอกาสก่อรูปก่อร่างเป็นตุเป็นตะเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไป อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป อย่าไปใส่ใจอีกต่อไปพอกันเพียงรู้อารมณ์เท่านี้เองหยุดกันเพียงเท่านี้..โอวาทธรรมหลวงพ่อขา และ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล






"...การที่เราจะจับช้างใส่รูปูนั้นเป็นของยาก และก็เป็นไปไม่ได้ด้วย อันนี้ฉันใด

การที่จะสอนคนที่มีกิเลสตัณหา มีความปรุงแต่งอันมากมาย ให้เห็นนิพพานนั้น ก็ยากยิ่งดุจเดียวกัน..."

โอวาทธรรมคำสอน..
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)








"...เมื่อถึงคราวตัวเราจะต้องตายนั่นแหละทุกข์ที่สุด มีความห่วงความอาลัยในเรื่องราวอะไร มันก็เก็บเข้ามาโหมเข้ามาในเวลาใกล้ตาย ถ้าใจไม่ภาวนาให้ดีแล้วสงบไม่ลง สงบไม่ได้ เพราะใจมันคิดแต่จะให้มีความสุข แต่ธาตุแท้มันไม่ใช่สุข มันเรื่องทุกข์

เกิดมาแล้วต้องมีทุกข์อย่างนี้ ๆ จะเอาไปเก็บไว้ไหนก็เก็บเถิด มันก็เป็นทุกข์อยู่ในที่เก็บที่อยู่นั้นแหละ ทางแก้มันก็คือแก้ด้วยสมาธิภาวนา รวบรวมจิตใจให้เข้ามาภายใน ไม่ให้ออกไปภายนอก..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่สิม พุทธาจาโร







".. เป็นเรื่อง ธรรมดา
มาแล้วก็ต้องไป ไปแล้วก็ต้องมา
นับเป็นเรื่องอย่างนี้ ไม่ควรเสียใจ

สุขแล้วก็ทุกข์ ทุกข์แล้วก็สุข
ได้แล้วก็เสียไป เสียไปก็ได้มา
เป็นเรื่องธรรมดา .."

โอวาทธรรมคำสอน..
พระโพธิญาณเถระ (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO