นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 9:15 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เราต้องเรียนรู้
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 31 พ.ค. 2017 5:37 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
"เราต้องเรียนรู้
ที่จะอยู่กับสิ่งที่ไม่พึงปรารถให้ได้
เพราะนี่คือ ธรรมดาของชีวิต
รากเหง้าของความทุกข์ อยู่ที่ใจเราเอง
ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น หากไม่แก้ที่ใจตน
จะไปไหนก็หนีทุกข์ไม่พ้น"

-:-พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล-:-



สมาธิอันใด ปัญญาอันนั้น

มีเรื่องเล่าสมัยที่หลวงปู่เดินทางกลับจากอุบลฯ มาสุรินทร์ เพื่อโปรดญาติโยมในครั้งแรก ท่านมาในรูปแบบของพระธุดงค์กัมมัฏฐาน และพำนักโปรดญาติโยมอยู่ที่สำนักป่าบ้านหนองเสม็ด ตำบลเฉนียง อำเภอเมืองสุรินทร์

ในช่วงนั้นได้มีชายหัวนักเลงอันธพาลผู้หนึ่งมีความโหดร้ายระดับเสือ เป็นที่กลัวเกรงแก่ประชาชนในละแวกนั้น กลุ่มของชายผู้นี้ท่องเที่ยวหากินแถบชายแดนไทยและกัมพูชา

เมื่อได้ยินข่าวเล่าลือเกี่ยวกับพระธุดงค์มาพำนักที่บ้านเสม็ด เขามั่นใจว่าพระจะต้องเป็นผู้มีวิชาด้านคาถาอาคมอันล้ำเลิศอย่างแน่นอน จึงมีความประสงค์จะได้วัตถุมงคลเครื่องรางของขลังประเภทอยู่ยงคงกระพัน ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า

ดังนั้นจึงพาลูกสมุนตัวกลั่น ๔ คน มีอาวุธครบครันแอบเข้าไปหาหลวงปู่อย่างเงียบๆ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม แถวหมู่บ้านป่าถือว่าดึกพอสมควรแล้ว ชาวบ้านที่มาฟังธรรม และมาบำเพ็ญสมาธิภาวนาพากันกลับหมดแล้ว

กลุ่มนักเลงแสดงตนให้ประจักษ์ กล่าวอ้อนวอนหลวงปู่ว่า พวกตนรักการดำเนินชีวิตท่ามกลางคมหอกคมดาบ และได้ก่อศัตรูไม่น้อย ที่มาครั้งนี้ก็เพราะมีความเลื่อมใสศรัทธา มีเจตนาจะมาขอวิชาคาถาอาคมไว้ป้องกันตัวให้พ้นจากอันตราย

ขอพระคุณท่านได้โปรดมีจิตเมตตา เห็นแก่ความลำบากยากเข็ญของพวกกระผมที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรค หลบศัตรูมั่งร้ายหมายขวัญ ได้โปรดถ่ายทอดวิชาอาคมให้พวกกระผมเถิด

หลวงปู่กล่าวกับชายกลุ่มนั้นว่า “ข้อนี้ไม่ยาก แต่ว่าผู้ที่จะรับวิชาอาคมของเราได้นั้น จะต้องมีการปรับพื้นฐานจิตใจให้แข็งแกร่ง เสียก่อน มิฉะนั้นจะรองรับอาถรรพ์ไว้ไม่อยู่ วิชาก็จะย้อนเข้าตัวเกิดวิบัติภัยร้ายแรงได้”

ว่าดังนั้นแล้ว หลวงปู่ก็แสดงพื้นฐานของวิชาอาคมของท่านว่า “คาถาทุกคาถา หรือวิชาอาคมที่ประสงค์จะเรียนนั้น จะต้องอาศัยพื้นฐานคือ พลังจิต จิตจะมีพลังได้ก็ต้องมีสมาธิ สมาธินั้นจะเกิดขึ้นได้ก็แต่จากการนั่งภาวนาทำใจให้สงบ วิชาที่จะ ร่ำเรียนไปจึงจะบังเกิดผลศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีพิบัติภัยตามมา”

ฝ่ายนักเลงเหล่านั้น เมื่อเห็นอากัปกิริยาอันสงบเย็นมั่นคง มิได้รู้สึกสะทกสะท้านต่อพวกเขา ประกอบกับปฏิปทาอันงดงามของท่าน ก็เกิดความเย็นกาย เย็นใจ เลื่อมใสนับถือ อีกอย่างก็มีความอยากได้วิชาอาคมดังกล่าว จึงยินดีปฏิบัติตาม

หลวงปู่ได้แนะนำให้นั่งสมาธิภาวนา แล้วบริกรรมภาวนาในใจว่า พุทโธ พุทโธ ชั่วเวลาประมาณ ๑๐ – ๒๐ นาทีเท่านั้น จอมนักเลงก็รู้สึกสงบเย็น ยังปีติให้บังเกิดซาบซ่านขึ้นอย่างแรง เป็นปีติชนิดโลดโผนเกิดอาการสะดุ้งสุดตัว ขนลุกขนชัน และร้องไห้

เห็นปรากฏชัดในสิ่งที่ตนเคยกระทำมา เห็นวัวควายกำลังถูกฆ่า เห็นคนที่มีอาการทุรนทุรายเนื่องจากถูกทำร้าย เห็นความชั่วช้าเลวทรามต่างๆ ของตน ทำให้รู้สึกสังเวชสลดใจอย่างยิ่ง

หลวงปู่ก็ปลอบโยนให้การแนะนำว่า “ให้ตั้งสมาธิภาวนาต่อไปอีก ทำต่อไป ในไม่ช้าก็จะพ้นจากภาวะนั้นอย่างแน่นอน”

นักเลงเหล่านั้นพากันนั่งสมาธิภาวนาอยู่กับหลวงปู่ไปจนตลอดคืน ครั้นรุ่งเช้า อานุภาพแห่งศีลและสมาธิที่ได้รับการอบรมฝึกฝนมาตลอดทั้งคืนก็ยังปัญญาให้เกิดแก่นักเลงเหล่านั้น

จิตใจของพวกเขารู้สึกอิ่มเอิบด้วยธรรม เปี่ยมไปด้วยศรัทธา บังเกิดความเลื่อมใส จึงเปลี่ยนใจไปจากการอยากได้วิชาอาคมขลัง ตลอดจนกลับใจเลิกพฤติกรรมอันทำความเดือดร้อนทั้งแก่ตนและแก่ผู้อื่นจนหมดสิ้น ปฏิญาณตนเป็นคำตายกับหลวงปู่ว่า จะไม่ทำกรรมชั่วทุจริตอีกแล้ว

เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ในครั้งนี้ จะเห็นว่าในขณะที่พวกเขาทั้ง ๕ อยู่ต่อหน้าหลวงปู่ พวกเขามิได้กระทำกรรมชั่วอันใดลงไป ส่วนกรรมชั่วที่เขาเคยกระทำมาแล้วก็หยุดไว้ชั่วขณะ แฝงซ่อนเร้นหลบ อยู่ในขันธสันดานของเขา

ในตอนนั้นพวกเขาก็มีเพียงความรู้สึกโลภ ด้วยการอยากได้คาถา อาคมจากหลวงปู่ แต่ความโลภช่วงนั้นได้สร้างความศรัทธาให้เกิด ทำให้ตั้งใจปฏิบัติตามคำสอน

ในขณะจิตที่ตั้งใจ ความชั่วทั้งหลายก็หยุดพักไว้ ศีลก็มีความสมบูรณ์ พอที่จะเป็นบาทฐานของสมาธิภาวนาได้ เมื่อรักษาได้อย่างนั้นไม่ขาดสาย จิตย่อมตั้งมั่นอยู่ด้วยดี เรียกว่า มีสมาธิจิตที่ไม่กำเริบแปรปรวน เรียกว่าจิตมีศีล และอาการตั้งมั่นอยู่ด้วยดีเรียกว่ามีสมาธิ ย่อมมีความคล่องแคล่วแก่การงาน ควรแก่การพิจารณาปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี เรียกว่า สติปัญญา

ความรู้สึกและอารมณ์ดังกล่าว ตรงตามคำสอนของพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต ที่ว่า “ศีลอันใด สมาธิอันนั้น สมาธิใด ปัญญาอันนั้น”
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล






หลวงปู่ได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า

“พระอรหันต์นั้น เปลี่ยนวาสนาเดิมไม่ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะเปลี่ยนวาสนาเดิมได้ แม้แต่พระสารีบุตร ท่านก็ยังเดินเหินไม่เรียบร้อย กระโดกกระเดก” เพราะในอดีตชาติพระสารีบุตรเคยเป็นลิงป่ามาก่อน บุคลิกลักษณะเดิม หรือที่พระท่านเรียกว่า วาสนาเดิมจึงยังติดตัวอยู่ ละได้ไม่หมด

“เมื่อครั้งพุทธกาล มีพระอรหันต์รูปหนึ่งไปเรียกผู้อื่นว่า บุรุษถ่อย ผู้ถูกเรียกก็พากันกราบทูลพระพุทธองค์ พระองค์ตรัสว่า มันเป็นนิสัยเดิม เปลี่ยนไม่ได้ แต่จิตของพระรูปูนั้นท่านไม่มีเจตนาที่จะดูถูกใครว่าเป็นคนเลว ทว่ามันติดปาก เลิกไม่ได้”

ผู้เขียนเคยกราบเรียนถาม หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ในปัญหาเดียวกันนี้ คำตอบโดยสรุปท่านว่า “พระอรหันต์ท่านไม่มีมายา ยังมีเหลือแต่กริยา ซึ่งไม่ต้องปรุงแต่ง แสดงออกไปตรงๆ ตามวาสนาเดิมของท่าน ไม่สามารถแก้ให้หายได้ นอกจากพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น...”

อย่างหลวงปู่บุดดา ถาวโรแห่งวัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรีว่า “...มีอีหนูพยาบาลคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัว เช็ดขี้ เช็ดเยี่ยวให้ท่าน จะหาว่าท่านอาบัติไม่ได้หรอก เพราะจิตของท่านพ้นสมมุติไปแล้ว เรื่องเพศชาย-หญิงไม่สามารถทำให้ท่านเกิดกามกิเลสได้ ไม่เหมือนกับจิตปุถุชนทั่วไป...”

เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องน่าคิดสำหรับผู้สนใจใฝ่ธรรม เรื่องศีล เรื่องวินัย เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดก็จริง แต่เมื่อดวงจิตหลุดพ้นจากสมมุติแล้ว เรื่องกรอบของศีลของวินัยก็มิใช่เรื่องจำเป็นสำหรับท่านแล้ว

แต่...ถ้าอยู่ในสังคมก็เป็นจุดที่ทำให้ผู้ที่ไม่รู้ยกขึ้นมาเป็นประเด็นตำหนิเพ่งโทษได้ ทำให้ผู้ไม่รู้บาปได้เหมือนกัน

จึงต้องระวัง !

หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร






กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
เปรียบอุปมาเหมือนลำธารแม่น้ำน้อยนับไม่ถ้วน
ไหลลงไปสู่ทะเล หาแดนบ่ได้
นี้ก็ฉันใด กามตัณหามันบ่มีที่พอหรอกหนา
ฮัก (รัก) ก็กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ชังมันก็เกิดจากนี่ละ ได้ลูกได้หลานมาแล้วก็พออกพอใจ
ก็เพราะกามนี้แหละเป็นตัวเหตุ
เกิดก็เพราะกาม ตายก็เพราะกาม ทุกข์ก็เพราะกาม สุขก็เพราะกาม
กามตัณหาเหมือนเชือกผูกคอ
ภวตัณหารักลูก เป็นหูเป็นตาขึ้นมา เหมือนปอผูกศอก วิภวตัณหา
ทรัพย์สินเงินทองนับด้วยล้านโกฏิ พันหมื่นแสนก็ดี
ก็ไหลออกจากตัณหาทั้ง ๓ นี่นะ

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ





"...ความตายนี้ ใครจะเสียใจก็ตาม ไม่เสียใจก็ตาม ใครจะชอบก็ตาม ไม่ชอบก็ตาม ใครจะยินดีก็ตาม ไม่ยินดีก็ตาม เมื่อถึงวาระมีอันเป็นไป ก็จะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ตราบใดที่เรายังปฏิเสธความจริงหรือกฎธรรมชาติ เราก็เป็นทุกข์ตราบนั้น..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อพุธ ฐานิโย




"...หัวใจของการปฏิบัติธรรม อยู่ที่สติสัมปชัญญะตัวเดียว เราทำสมาธิขั้นใด ได้ฌานขั้นใด ญาณขั้นใด หรือรู้เห็นอะไร จุดสำคัญ ก็คือสติ..."
โอวาทธรรมคำสอน...
องค์หลวงพ่อพุธ ฐานิโย




"...นตฺกิ กมฺม สมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใด ที่จะเหนืออานุภาพแห่งกรรมดี กรรมชั่วนี้ไปได้ กรรมดีกรรมชั่วก็คือ ทำบุญทำบาปนั่นแหละ อันนี้มันติดแนบอยู่กับใจ

เพราะฉะนั้น ท่านจึงให้ปัดออกอันไหนชั่วมันเป็นภัยต่อเรา ให้ทำกรรมที่ดีขึ้นมาภายในใจตัวเอง แล้วจิตใจจะค่อย ๆ สง่างาม

ใจดวงนี้ไม่เคยตายนะ ไม่มีป่าช้า พวกฝัง พวกเผา เหล่านี้ มีแต่ฝังร่างกาย เผาร่างกาย ทั้งนั้นนะ ใจนี้เคยได้เผามันละ

พอร่างกายนี้แตกปั๊บ จิตดวงนี้ออกแล้ว ถ้ามีบาป บาปดึงไปแล้ว ถ้ามีบุญ บุญพาไปแล้ว ไม่เคยตาย..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO