นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 1:48 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: อะไรเป็นเหตุ
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 22 พ.ค. 2017 5:05 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
ท่านสอนให้รู้ "ความไม่สงบ" อะไรเป็นเหตุ "ความไม่รู้แจ้งในจิต" ของเรา ท่านหมายถึง "อวิชชา" คือ "ความไม่รู้ชัด" ใน "จิต" ของเจ้าของ

เมื่อ "ไม่รู้ชัด" ใน "จิต" อะไรเกิดขึ้นที่จิต มัน "ยึดติด" ทั้งนั้น "อุปาทานยึด" ทั้งนั้น "ยึด" สิ่งที่เกิดขึ้น ๆ ๆ ๆ

ถ้าหาก "เห็นชัดในจิต" แล้ว อะไรเกิดขึ้นในจิต ก็ "สักแต่ว่า" ของเกิดมาดับ ก็มันเห็นชัดๆ "สิ่งที่มันเกิดขึ้น" แล้ว "ดับไป"

แล้วเราจะไปยึดสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นเราได้อย่างไร ?

"สังขาร" ก็คือ "สิ่งที่เกิดมาดับ" ๆ ๆ ๆ "เกิดขึ้นที่จิต" "ดับก็ดับที่จิตนั้น" สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วเราจะไปยึดสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นไปไม่ได้

รู้แล้วมันไม่ยึดไม่ติดหรอก เราต้องรู้ธรรมเห็นธรรมในจิตของเรานี้ เราต้องดูจิตของเราอยู่เสมอ ในทุกอริยาบท เว้นแต่เวลาหลับ ตื่นตัวในการแหวกว่ายอยู่เสมอ

"จิตอันนี้" มันก็ "ปิดบังมรรคผลนิพพาน" ไว้

"ทำลายจิต" ลงไปอีก จิตแตกสลายออกไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมรรคผลนิพพาน ทำลายให้เป็นของว่าง ทำลายให้หมดให้สิ้น

หลวงปู่ แบน ธนากโร




ศีล" จึงไม่ต้องไปแสวงหา คำว่า "สมาธิ" ก็ไม่ต้องไปแสวงหา คำว่า "ปัญญา" ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปแสวงหา

เพราะเกิดขึ้นที่ "ใจ" ใจของเรา "เป็นเท่านั้น" จะไป "หาธรรม" ที่อื่นอาจจะเจอแต่ "ชื่อของธรรม"

"ชื่อของธรรม" กับ "ธรรมะ" คนละอัน "ยา" กับ "ชื่อของยา" ก็คนละชิ้นคนละอัน เรา "ปฏิบัติ" จนธรรมปรากฏขึ้นที่ใจ จนใจของเราสมบูรณ์ด้วยธรรม

ธรรมะ ธรรมชาติ เป็นธรรมกำจัดกิเลส เมื่อ "ธรรมปรากฏขึ้นที่ใจ" กิเลสจะสลายตัวในขณะนั้น

"ธรรมะส่วนใดส่วนหนึ่ง" ปรากฏขึ้นในใจ "กิเลส" ที่เป็นข้าศึก ต่อธรรมะนั้นจะ"สลายตัว" ไปเป็นชิ้น เป็นอย่างๆ แต่ละอย่างๆไป

เมื่อ "ใจเราเป็นธรรม" ขึ้นทั้งดวง เป็นธรรมขึ้นทั้งใจ กิเลสตัณหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ "อยู่ไม่ได้" การปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติที่จิต

"ปัญญา" ก็ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน เมื่อ "จิต" ของเราสำรวมไว้ดี "จิต" ของเราแน่วแน่ "ปราศจากอารมณ์" มีแต่ "ความผ่องใส" มีแต่ความสว่างไสว ความผ่องใสหรือความสว่างไสวเรียกว่า "ปัญญา" หรือ "ปัญญา" เกิดขึ้นก็ได้ หรือ "ปัญญา" คือความสว่าง "จิต" ของเรา "เป็นปัญญา" ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน

เมื่อ "องค์ปัญญา" เกิดขึ้นแล้ว "ความมืด" หรือ "กิเลสตัณหา" ยากที่จะซ่อนเร้นอยูใน "จิตที่สว่างไสว" สมบูรณ์เป็นธรรมขึ้นทั้งใจนั้น

เมื่อใจไปกระทบกับธรรมะ มีแต่จะทำให้เย็นๆๆ มีความร่มเย็นเป็นสุขอย่างเดียวเท่านั้น

หลวงปู่ แบน ธนากโร




"บุคคลที่ทนในสิ่งที่คนอื่นทนได้ยาก ทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยาก บุคคลนั้นจะเข้าถึงความสำเร็จของชีวิต."
...หลวงปู่แหวน สุจิณโณ...





...เวลาเรามีเวลาว่าง
นั่งเฉยๆนั่งหลับตา
เราก็ใช้ "สติ" นี้
ดึงใจเข้าไปข้างในได้
เข้าไปสู่ "สมาธิ"ได้ถ้าเรามีสติ
.
...ถ้าเราพุทโธเราก็ พุทโธไป
ถ้าเราดูร่างกาย เวลานั่งเราก็
"ดูลมหายใจเข้าออกไป"
ดูเฉยๆเหมือนกับเราดูร่างกาย
............................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 21/5/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





"ทำเหตุแล้วไม่ได้รับผล ไม่มีหรอกในโลกนี้"

พวกเรามีการมาทำบุญให้ทาน มีการสดับรับฟังธรรมะ
รักษาศีลภาวนา ก็พาให้เกิดความสบายใจ
นั่นแหละบุญ เห็นกันที่นี่แหละ ไม่ต้องรอตายแล้วจึงจะไปสวรรค์
ใจดีก็เป็นสวรรค์แล้ว ใจร้ายก็เป็นนรก เดี๋ยวนี้แหละ

เพราะเหตุนี้จงทำใจให้ร่าเริง อย่าไปทำให้เศร้าหมองขุ่นมัว
มันจึงจะมีความสบาย จึงจะมีความสุข เพราะฉะนั้นจึงควรทำความดี
อย่าประมาท ให้พากันทำสติสัมปชัญญะให้รู้ตัวอยู่ทุกเมื่อ คือความรู้ตัวในการกระทำ
ก่อนทำอะไรลงไปให้คิดเสียก่อนว่า มันได้ผลดีหรืออย่างไรต่อไปข้างหน้า
ถ้ารู้ว่ามันไม่ดีให้ความทุกข์ เราก็ไม่ทำ ประกอบแต่คุณงามความดี
ให้ระลึกรู้ว่าเมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล ไม่ได้ทำเสียเปล่าหรอก
ทำเหตุลงไปแล้วไม่ได้รับผล ไม่มีหรอกในโลกนี้
เหตุดีก็ต้องได้รับผลดี เหตุชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว มันจะสูญหายไปไม่มี

"พระอาจารย์ขาว อนาลโย"
วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู





"....พอได้สุข ก็เมาสุข

พอได้ทุกข์ ก็ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟาย

หาความพอดีมิได้ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าไม่รู้จักตัวเจ้าของ...."

โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร






"นั่งให้มันสงบให้ได้"

มาหัดทำแบบที่พระพุทธเจ้าทำ มาหัดนั่งสมาธิกัน วิธีที่จะทำให้เราสุขให้เราอิ่มให้เราพอ ไม่ต้องติดรูปเสียงกลิ่นรส ไม่ต้องติดลาภยศสรรเสริญ อันนี้แหละเป็นของวิเศษ แต่พวกเราไม่รู้กัน เพราะพวกเราไม่เคยลองกัน ลองทำดูสิ ลองนั่งสมาธิดู ลองทำใจให้นิ่งดูแล้วมันจะติดใจ แล้วมันจะเบื่อรูปเสียงกลิ่นรส เพราะมันความสุขคนละระดับกัน เหมือนได้รถเบนซ์มาแล้วนี่ รถโตโยต้งโตโยต้านี่ก็ทิ้งเลยให้คนอื่น รถเบนซ์ดีกว่าสบายกว่า (หัวเราะ) รถโตโยต้า นิสสันอะไร ฟอร์ดเฟิร์ดอะไร พอได้เบ็นซ์นี่ ไอ้พวกที่ได้เบนซ์แล้วมาเปลี่ยนเป็นฟอร์ดเพราะไม่มีเงินจ่ายกัน (หัวเราะ) พวกที่ได้นั่งสมาธิแล้วกลับมาติดรูปเสียงกลิ่นรสก็เป็นพวกที่นั่งไม่ไหวนั่งไม่ได้ นี่พวกที่มาบวชนี่มานั่งสมาธิกัน นั่งได้สามวันก็ขอกลับบ้านแล้ว ไม่มีเงินจ่าย เงินที่ต้องจ่ายก็คือ ขันติ ความอดทนความอดกลั้น อยู่ห่างรูปเสียงกลิ่นรสได้ไม่กี่วันก็คิดถึงแล้ว อยากจะกลับไปหามันแล้ว

นั่งให้มันสงบให้ได้ ถ้านั่งให้สงบได้แล้วทีนี้มันก็จะไม่อยากกลับแล้ว เรายังนั่งไม่สงบกัน ยังไม่เจอผลยังไม่เห็นผล ก็เลยไม่รู้ว่ามันวิเศษอย่างไร ก็เลยไม่ได้ ต้องมานั่งแบบไม่มีกำหนดกลับดูสักพักสิ นี่บอกมาอยู่สามวันห้าวัน มาอยู่สามวันห้าวันมันก็นั่งคิดอยู่แต่วันเมื่อไหร่จะหมด จะได้กลับบ้าน มาอยู่แบบไม่กลับเลยดูซิ มันจะได้ไม่คิดถึงวันกลับ มันจะได้มาพยายามนั่งอย่างเดียว พยายามทำใจให้สงบอย่างเดียว เอ้าลองทำดู ถ้าใจสงบแล้วรับรองได้ว่า มีอะไรยกให้คนอื่นได้หมด.

สนทนาธรรมมะบนเขา

วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO