นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 1:09 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความเมตตา
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 19 พ.ค. 2017 5:00 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
"เมื่อเราปฏิบัติได้แล้ว ทีนี้มันเป็นของใคร มันก็เป็นของเรา
เป็นที่พึ่งของเราโดยตรง และเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด คือพึ่งตัวเรา
ตัวของเราผู้ซึ่งเป็นคนปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไป บางคนจิตใจคงเคยได้รับความสงบเข้าไปบ้าง แต่บางคนก็อาจจะยังไม่เคยสงบ ยังไม่เคยได้รับผล แต่อย่าไปสงสัย อย่าไปน้อยใจว่าเราปฏิบัติไปจะไม่ได้รับผล ต้องได้รับผลแน่นอนตามเหตุ ตามปัจจัย ทำน้อยได้รับผลน้อย ทำมากได้รับผลมาก จนกว่ามันจะรู้จะเห็นเป็นไปของเรา ความเป็นไป ความได้มันอยู่ตรงไหน มันอยู่ในจิต คือ ตัวสติ ตัวรู้ คือ ความรู้นี่ฟื้นฟูดวงรู้นี่ขึ้นมา ดวงรู้นี่คือดวงใจของเรามีทุกคน แต่ว่ามันรู้อยู่แต่มันไม่เต็มภูมิ
เปรียบประมาประมัยเหมือนกับพระจันทร์ข้างขึ้นข้างแรม ที่มันยังเว้ายังแหว่งอยู่ มันไม่เต็มภูมิ..."

เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาศึกษาปฏิบัติ มารักษาตัวสติให้มันติดต่อ
ให้มันต่อเนื่องกัน บำรุงตัวสติให้มันเด่นดวงขึ้นมา คือ ตัวรู้...

เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะ ความรู้ตัว ปัญญามันก็จะตามมา...
เพราะปัญญากับสติมันอยู่ด้วยกัน มีสติรู้อยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่เราปฏิบัติอยู่ บางคนก็กำหนดลมหายใจ หรือกำหนดคำบริกรรม หรือกำหนดที่ใดที่หนึ่ง เมื่อเรากำหนดอยู่ที่จุดใด ก็กำหนดให้มันอยู่ที่จุดนั้น เมื่อเวลาจิตมันแว่บไปก็ให้มันรู้..มันอยู่ก็ให้มันรู้หรือมันฟุ้งซ่านก็ให้มันรู้ ให้ฝึกตัวรู้นี่ก่อน..เหมือนกับเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ เมื่อมันเกิดมาใหม่ ก็ต้องฝึกนั่ง แล้วก็มาฝึกยืน...เมื่อยืนมั่นคงแข็งแรงแล้วค่อยก้าวออกไป ถ้ามันไม่แข็งแรงก้าวออกไปมันก็จะล้ม..."


โอวาทธรรม...หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม วัดป่าสีห์พนมประชาคม จ.สกลนคร





เดินจงกรมนี่ เดินเที่ยวเดียวมันบ่มีทางดอก
เดินมันเป็นชั่วโมงพู้น จึงค่อยสิมีทาง
จึงค่อยสิเป็นผลได้

หลวงปู่ลี กุสลธโร





...อเวรา แปลว่า ไม่จองเวร
ไม่ถือโทษโกรธเคือง ให้อภัย
เพราะการให้อภัยนี้
จะทำให้ใจเรา..สงบ
ทำให้ใจเรา...ไม่ทุกข์นั่นเอง
.
...การปฏิบัติของเรานี้
เราปฏิบัติเพื่อ..ดับความทุกข์กัน
.
...ดังนั้นเวลาเกิดความโกรธ
ความเกลียด ความอาฆาตพยาบาท
เราต้องใช้ "ความเมตตา"ระงับ
"ระงับความทุกข์"ที่เกิดจาก
ความโกรธ เกลียด เครียดแค้น
อาฆาต พยาบาท
...........................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 13/5/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






...ทำข้อพวกนี้ให้ได้ก่อนเถอะ
เพราะแต่ละข้อมันยากขึ้นไปตามลำดับ
.
...เหมือนเวลาเราทำข้อสอบนี้
ถ้าเราทำข้อที่เราทำไม่ได้ เราทำยังไง
เราข้ามไปก่อนใช่ไหม
.
...เราทำข้อที่เราทำได้ก่อน
มัวไปทำข้อที่เราทำไม่ได้
เดี๋ยวหมดเวลา
.
...ฉะนั้นอย่าไปทำข้อที่ยาก ที่เราทำไม่ได้
"ปัญญา"นี้ อย่าเพิ่งไปทำ
สมาธินี้ อย่าเพิ่งไปทำ ถ้ายังทำไม่ได้
ทำข้อที่เราทำได้ก่อน
"ทำทานไปก่อน รักษาศีลไปก่อน"
...............................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา16/5/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






... ตายไปก็เอาไปไม่ได้
ข้าวของสิ่งต่างๆที่เราหามา
ไปก็ไปแบบเหงา ไปแบบว้าเหว่
เพราะไม่มีอะไรติดตัวไป
.
...แต่ถ้าเรามีสมาธิ
เราจะไม่เหงา ไม่ว้าเหว่
เราจะไปอย่างสงบ ไปอย่างสบาย
"ไปอย่างมีความสุข"
.
...ฉะนั้นพยายามทำสมาธิ
หัดทำไปบ่อยๆทำมากๆ
สลับกับการใช้ปัญญาสอนใจ
เวลาไม่ได้อยู่ในสมาธิ
เวลาเกิดความอยาก.
................................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 17/5/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






...ถ้าปฏิบัติไปแล้ว
ยังโลภมากอยู่ ยังอยากมากอยู่
.."ก็ยังไม่ได้ผล"..
.
...ถึงแม้จะนั่งสมาธิได้เดินจงกรมได้
แต่พออยากอะไรปั๊บ..ก็เอาเลย
อยากจะกินก็กินเลย
อยากจะดื่มอะไรก็ดื่มเลย
อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อเลย
อยากจะเที่ยวก็เที่ยวเลย
.."อันนี้ก็ยังไม่ก้าวหน้า"..
.
...การปฏิบัตินี้
มาเพื่อ.."ลดละความโลภ ความอยาก"
...................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 15/5/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







"กฎของกรรมนั้น เที่ยงเสมอ
หากเราไม่เคยก่อกรรมนั้นมาก่อน
วิบากกรรมนี้ ก็เกิดกับเราไม่ได้"

-:-หลวงพ่อฤาษีลิงดำ -:-





"เราควรจะขอบคุณทุกคนที่สร้างปัญหาให้เรา
เพราะเขามาเตือนให้รู้ว่า เรายังต้องขัดเกลา
กิเลสอีกมาก และควรลงมือทำเสียที"

-:-พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ-:-





"แก้ตัว ช่วยอะไรไม่ได้
แก้ไข ช่วยได้ทุกอย่าง

แก้แค้น ที่ดีที่สุด คือหยุดก่อเวรกรรม
โกรธเขา เราทุกข์ อภัยเขา เราสุข

ศีล สมาธิ ปัญญา
คือ มรรคา แห่งความสุข"

-:-หลวงปู่แหวน สุจิณโณ-:-






หลักของการภาวนา ก็เคยได้เรียนให้ท่านทั้งหลายได้ทราบมาหลายครั้งแล้ว ว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นไปเพื่อความสงบเยือกเย็น นั่งภาวนาทำยังไงเวทนาจึงจะไม่รบกวน นี่เราคงจะมาคิดเพียงแง่ว่า เรานั่งภาวนาเวทนารบกวน เราอยู่เฉยๆ เวทนาก็รบกวนเหมือนกันตอนนั้น แต่เราไม่เอาเรื่องกับเขา แต่เรามาเอาเรื่องตอนนั่งภาวนาเวทนารบกวน นี่รู้สึกว่าจะเป็นอุปสรรคต่อเราตอนนี้ ถ้าหากว่าเวทนารบกวนเราต้องถือว่าเวทนานี้มีอยู่ทุกแห่งทุกหนในกายของเรา มีอยู่ทุกเวลา เราจะเดินไปไหนก็ต้องมีทุกขเวทนา นั่งที่ไหนนั่งนานก็ต้องเป็นทุกขเวทนา ทำกิจการงานทุกอย่างทั้งหนักทั้งเบาต้องเป็นทุกขเวทนาทั้งนั้น เวลามานั่งภาวนาก็ต้องเป็นทุกขเวทนาเหมือนกัน ให้เราเทียบเคียงออกไปกว้างๆ อย่างนี้ เราก็จะมีทางนั่งต่อสู้กับเวทนา ให้รู้เรื่องของเวทนา เพื่อผลประโยชน์ที่เราจะให้เกิดขึ้นจากการกระทำของเรา

ถ้าเราจะมาคิดเจาะจงเฉพาะการภาวนาเกิดทุกข์ เป็นความลำบากนี้ ก็จะเป็นเหตุให้ท้อใจไม่อยากนั่งภาวนา คือกลัวทุกข์ก่อนแล้ว พอเริ่มจะนั่งภาวนาทั้งๆ ที่ทุกข์ยังไม่เกิด ก็คล้ายกับว่าทุกข์มานั่งอยู่ต่อหน้าเรานี้แล้ว ให้เห็นทุกข์ก่อนนั่งภาวนา นี่ก็ทำความท้อใจให้เราไม่อยากจะทำ ผิดถูกเราไม่ต้องไปสนใจกับเรื่องของทุกข์ แต่สนใจกับผลประโยชน์ที่จะพึงได้จากการกระทำของเรามากน้อย เมื่อทุกข์มากเราก็หยุดได้ ผ่อนผันสั้นยาวกันไป

เพราะเรื่องของขันธ์ถ้าเราจะบังคับบัญชา หักโหมจนเกินไปก็ไม่ดี เพราะเป็นเครื่องมือที่เราจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เป็นเวลานาน หากว่าเรามีความประหยัดหรือรู้จักประมาณในการใช้ขันธ์ของเรา ก็เช่นเดียวกับเครื่องมือต่างๆ ที่เรานำมาใช้เป็นประโยชน์ในบ้านในเรือนของเรา ถ้าว่าควรจะได้ผลในขณะนั้น ถึงจะทุกข์ลำบากมากขนาดไหนแต่จะเป็นคติอันหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นได้ในเวลานั้นแล้ว เราก็รีบตักตวง พอสละเป็นสละตายก็สละในเวลานั้น เพื่อผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่อันอาจจะเกิดขึ้นได้ในขณะนั้น อย่างนี้เราก็ต้องต่อสู้

เพราะการภาวนานั้น ถ้าหากว่าสบเหมาะเข้าในเวลาใด ผลย่อมปรากฏขึ้นในเวลานั้น บางครั้งไม่นานผลก็ปรากฏขึ้นให้เห็นประจักษ์ บางครั้งก็ต่อสู้กันเป็นเวลาหลายชั่วโมง บางครั้งถึง ๖ ชั่วโมง ๗ ชั่วโมง ยังต่อสู้กับเวทนาอยู่ ยังไม่ได้ผลอะไรเลย นอกจากเห็นแต่ผลที่เป็นทุกข์ขึ้นมาภายในตัว ซึ่งเกี่ยวกับการนั่งมากนั้นเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อจิตมีความสามารถอาจหาญต่อสู้กับเวทนา และสนใจที่จะรู้เรื่องกับเวทนาที่เกิดขึ้นภายในกายของเราด้วยสติด้วยปัญญา มีความเพียรเป็นเครื่องหนุนหลังแล้ว เรื่องทุกขเวทนาที่ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดและเป็นเครื่องทับถมจิตใจของเราอยู่นั้น ก็ไม่ทนต่อสติกับปัญญาไปได้ สามารถจะรู้เรื่องของกันและกัน และเวทนาก็ดับลงได้ในปัจจุบันนั้น จิตก็รวมลงได้อย่างสนิท เกิดความกล้าหาญชาญชัยขึ้นในเวลานั้น นอกจากนั้นยังเป็นคติอันสำคัญที่เราจะถือเอาเป็นเครื่องดำเนินในเวลาต่อไป

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมคณะหมออวย เกตุสิงห์ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๐๘





“ความเมตตานี้ทำให้สัตว์ไม่อยากทำร้ายมนุษย์
แล้วทำอย่างไรถึงจะมีเมตตา
ก็การ “ให้อภัย” เป็นทานนี้ไง

ทำให้เกิด “ความเมตตา” การให้อภัยไม่คิดอิจฉา ริษยา อาฆาตร้ายต่อผู้อื่น ใครทำไม่ดีกับเรา ก็พยายามปล่อยวางให้ได้ พยายามรักทุกคนให้เสมอกันให้ได้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

ทำแบบนี้เรื่อย ๆ ความเมตตาจะบังเกิดขึ้นเอง

คราวนี้ไปที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะถ้าเราไม่คิดร้ายใคร ใครก็ไม่คิดร้ายเราเช่นกัน...”

โอวาทธรรม
หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO