นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 9:48 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 14 พ.ค. 2017 5:45 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของอยาก ไปทำเหตุให้พอ ผลมันจึงเกิดขึ้นเอง
ชาวนาเขาไม่ได้ปรารถนารวงข้าวนะ แต่เขาต้องการเมล็ดข้าว
ลำต้นมันเกิดเขาก็ดูแลรักษา รักษามันดูซิ ปฏิบัติดูซิ
ต้นไม้มันก็เป็นไปเองตามธรรมชาติ จิตใจเหมือนกันขอให้รักษาเถอะ
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี





" เขาทำอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?
เขาไม่ทำอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?
เขาพูดอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?
เขาเงียบอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?
เขายิ้มอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?
เขาหน้าตาเฉยอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?
เป็นนักแปลอย่างนี้เหน็ดเหนื่อยมาก!! "

โอวาทธรรม : ชยสาโรภิกขุ




พุทโธ ธัมโม สังโฆ ...ไม่เอา !!
เอาแต่ถ่ายรูป ส่องโน่นส่องนี่
ส่องกิเลส ส่องตัณหา
ส่องความอยากของตนเอง
หัดส่องจิตส่องใจตนเองบ้าง
ส่องกิเลส ... มันร้อน
ส่องจิตใจ ... มันเย็น

โอวาทธรรม หลวงปู่แบน ธนากโร





ความขยัน ได้มาจาก ความขี้เกียจ

“ขอเจริญพรว่า ความขยันได้มาจากความขี้เกียจ กว่าจะขยันได้ ขี้เกียจมาก่อน ความสุขเราได้มาจากความทุกข์ ต้องมีความทุกข์ร้อนใจเหลือเกิน กว่าจะพบความสุขที่แน่นอนเช่นดังกล่าวแล้ว มันมีแต่ความทุกข์ระทมขมขื่น ต้องผ่านทุกข์ก่อนจึงจะพบความสุขที่แน่นอน

อาตมาผู้หนึ่งขี้เกียจที่สุด บัดนี้เราต้องฝืนใจ กว่าจะขยัน กว่าจะทำอะไรให้สำเร็จ ฝืนใจจนขยัน บัดนี้จะกลับไปขี้เกียจคงไม่ได้แล้ว ไม่ได้แน่

ถ้าโยมเคยขี้เกียจแล้ว ไม่ฝืนใจ ไม่ขยัน มันก็แค่นั้น ทำอย่างไรก็แค่นั้น ดีไม่ได้แน่นอน เหมือนหมากรุก ๖๔ ตา เดินตาเดียวอยู่ตลอดกาลเวลา จะดีได้อย่างไรเล่า”

ธรรม..คำสอน..พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
จากเรื่อง สิ่งที่ได้จากการปฏิบัติกรรมฐาน หนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๑




ให้ทรัพย์สมบัติทั้งแผ่นดิน
ก็เปลี่ยนคน "อกตัญญู" ให้จงรักไม่ได้

เดินทาง..บนความเห็นแก่ตัว..ไม่มีเวลา..ให้สุขใจ

ความอิจฉา..เหมือนมีสมบัติ..ที่ไม่มีโอกาสใช้
ท่ามกลางทะเลทราย..กระหายน้ำอย่างไร..ก็ไม่ได้ดื่มกิน
เห็นความมั่นคงของคนอื่น..เห็นแล้วใจสั่นคลอน

อย่าพยายามทำ...ทองเหลือง..ให้เป็นทองคำ
หลอกตัวเอง..ก็พอแล้ว..อย่าหลอกคนอื่นเลย

ความสูญเสีย..ที่เป็นหายนะของชีวิต
คือ..สูญเสียมิตรภาพ

ไม่มีปีก...อย่าอวด..ว่า..บินได้

ไม่เคยยินดี..กับความสำเร็จของใคร
ก็ไม่ต้องหวัง..ความสำเร็จของตน

ชีวิตของทุกคนที่เหมือนกันคือ...ความเป็นมนุษย์
ที่ไม่เหมือนกันคือ..เป็นผู้ให้..หรือเป็นผู้เอาเปรียบ

ของมีค่า..ที่ประดับบนร่างกายชี้วัด..ไม่ได้ว่า..คนนี้มีค่า

คนเราเปลี่ยนได้ทุกอย่าง
ถ้าคิดว่า..เปลี่ยนแล้ว..มีประโยชน์กับชีวิต
แต่อย่าเปลี่ยนความคิด..ของคนอื่น..ให้แตกแยก

มัวแต่เสียบ..เรื่องคนอื่น..แต่ลืมดับไฟ..ในใจตัวเอง

ความเชื่อใจ..คือ..ศรัทธาของกัลยาณมิตร
ความคตของใจ..คือ..อาวุธร้าย
ที่..ทำร้ายใจตัวเอง..และคนอื่น

อย่าเอาน้ำฝน..มาปนน้ำท่า..เพียงตบตาคนอื่น
ความเสียหาย..ไม่ได้เกิดกับเราในวันนี้
สักวันเราจะเสียใจ..จนตาย
เพราะทำร้าย..คนที่ให้ความช่วยเหลือ

ทุกอย่างบนโลกนี้..เปลี่ยนแปลงทุกวัน
ทุกข์..สุข..ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น..มันอยู่ที่ใจเรา

อ่านแล้ว..คิดว่า..ทำได้..ก็อนุโมทนา

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ






"...อาตมาจึงอยากจะขอกับญาติโยม ขอไม่มากหรอกขอเพียงว่า ถึงจะละความผิดไม่ได้ก็ไม่ว่าแต่ขอให้รู้จัก ให้รู้จักว่าอันนี้มันผิด อันนี้มันถูก แค่นี้เสียก่อน ให้รู้จักจริงๆ เท่านี้อาตมาก็ดีใจแล้ว ให้รู้จักจริงๆ ไม่ใช่รู้เล่นๆ เท่านี้ก็ได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ถ้าคนรู้ว่าอันนี้มันผิด อยู่ในใจของเขาแล้ว ทำอะไรมันก็รู้ว่าผิด ใจมันบอก ทำเมื่อไรมันก็บอกว่าอันนี้มันผิด มันทวงไม่หยุดอย่างนี้ ทำตอนไหนก็ผิด เห็นอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็หยุดเอง..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ชา สุภัทโท




"...โปรดได้นำไปพินิจพิจารณา ความอยากอันใดที่เกิดขึ้นโปรดพิจารณาด้วยดี อย่าปล่อยให้เป็นไปตามความอยาก แม้จะเพียงเล็กน้อย วันนี้ปล่อยให้ความอยากดำเนินตามความชอบใจของตนเพียงเท่านี้ วันหน้าความอยากนี้จะเพิ่มปริมาณขึ้นอีก เป็นจำนวนเท่าตัวหรือมากยิ่งกว่านั้น เราก็ปล่อยให้เป็นไปตามความอยาก ความเป็นไปของใจที่ไม่มีขอบเขตนั้น ต่อไปๆ ก็ทำเราให้เสีย

เรานั้นเทียบกับทำนบ ซึ่งสามารถที่จะกั้นน้ำไว้ได้มากมายในเมื่อรักษาไว้ด้วยดี แต่นี่กลายเป็นความคิด ความอยากนั้นมาทำลายตนเสีย สมบัติที่มีคุณค่าอันใหญ่ซึ่งจะเกิดขึ้นจากใจนี้จึงไม่มี การรักษาใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ ขอให้มีขอบเขต ให้มีรั้วกั้น อย่าปล่อยให้เป็นไปตามความอยากความทะเยอทะยาน นี่เป็นหลักสำคัญ

วันนี้เราพยายามรักษาตัวเราได้ขนาดนี้ วันหน้าก็พยายามรักษาอีก ความที่เคยรักษาตัวอยู่เสมอด้วยเหตุผลนี้แล จะเป็นธรรมที่เจริญรุ่งเรืองและมั่นคงภายในจิตใจ และสามารถรักษาตนได้ในอนาคตไม่มีทางเสียหาย เพราะการพยายามรักษาทุกวันก็ย่อมเป็นนิสัยของคนดีเหมือนกัน

วันนี้ก็พยายามรักษาวันหน้าก็พยายามรักษา เดือนหน้าปีหน้าพยายามรักษาอยู่เช่นนี้ ก็กลายเป็นนิสัยเคยชินต่อการรักษาตัว ไม่ว่าจะคิดเรื่องใด และอยากทำอยากพูด อยากไปอยากมา อยากจับจ่าย อยากอะไรก็แล้วแต่ชื่อว่าความอยากแล้ว จะต้องมีเหตุผลเป็นผู้จัดการเสมอ..."

เทศนาธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อค่ำวันที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๒





"...ผู้ใดมีสติอยู่ทุกเวลา ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเมื่อตามองเห็นรูปก็เป็นธรรมะ หูได้ยินเสียงก็เป็นธรรมะ จมูกได้กลิ่นก็เป็นธรรมะ ลิ้นได้รสก็เป็นธรรมะ ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใดเป็นธรรมะเมื่อนั้น

ฉะนั้น "ผู้มีสติ" จึงได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน มันมีอยู่ทุกเวลาเพราะอะไร ? เพราะเรามีความรู้อยู่ในเวลานี้ เราจึงเรียนอยู่กลางธรรมะ จะเดินไปข้างหน้าก็ถูกธรรมะ จะถอยไปข้างหลังก็ถูกธรรมะ

ท่านจึงให้มีสติ ถ้ามีสติแล้ว มันจะเห็นกำลังใจของตน เห็นจิตของตน ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นอย่างไร ก็ต้องรู้ รู้ถึงที่แล้ว ก็รู้แจ้งแทงตลอด เมื่อมันรอบรู้อยู่เช่นนี้ การประพฤติปฏิบัติมันก็ถูกต้องดีงามเท่านั้นแหละ..."

เทศนาธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อชา สุภัทโท






"ความสำเร็จ เป็นสิ่งสำคัญก็จริงอยู่
แต่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต
สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ การได้ทำสิ่งดีงาม
ถูกต้อง และเสียสละ

หากได้ทำความดีงามอย่างเต็มที่
แม้ไม่สำเร็จ หรือประสบชัยชนะ ก็ได้ชื่อว่า
ได้ทำสิ่งที่ควรแก่ความภาคภูมิใจ
ซึ่งให้ความสุขยั่งยืน กว่าความสำเร็จทั่วๆ ไป"

-:-พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล-:-






ปฏิบัติกันเถิด .....ตอนที่ ๓
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
ความสงบ พูดไม่ยาก แต่ทำยาก

แต่พูดมันง่าย หากทำแล้วมันก็ยาก เหมือนกับพูดว่า "ฮึ ทำนาไม่เห็นยากเลย ไปทำนาดีกว่า" ครั้นพอไปทำนาเข้า วัวก็ไม่รู้จักควายก็ไม่รู้จัก คราดไถก็ไม่รู้จักทั้งนั้น เรื่องการทำไร่ทำนานี่ ถ้าแค่พูดก็ไม่ยาก แต่พอลงมือทำจริงๆสิจึงรู้ว่ามันยากอย่างนี้เอง

หาความสงบอย่างนี้ ใครๆก็อยากสงบด้วยกันทั้งนั้น ความสงบมันก็อยู่ตรงนั้นแหละ แต่ว่าเราไม่ทันจะรู้จักมัน จะตามจะพูดกันสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักขึ้นมาได้หรอก

ฉะนั้น ให้ทำ ให้ตามรู้จักให้ทันว่า กำหนดลมเข้าออก กำหนดว่าพุทโธ...พุทโธ... เอาเท่านี้แหละ ไม่ให้คิดไปไหนทั้งนั้น ในเวลานี้ให้มีความรู้อยู่อย่างนี้ ทำอยู่อย่างนี้ ให้เรียนอยู่เท่านี้แหละ ให้ทำไปๆอย่างนี้แหละ จะนึกว่าทำอยู่นี่ก็ไม่เห็นมันเป็นอะไรเลย ไม่เป็นไรไม่เป็นก็ให้ทำไป ไม่เห็นก็ให้ทำไป ให้ทำไปอยู่นั่นแหละ แล้วเราจะรู้จักมัน

เอาละนะ ทีนี้ลองทำดู ถ้าเรานั่งอย่างนี้ แล้วมันรู้เรื่อง ใจมันจะพอดีๆ พอจิตสงบแล้ว มันก็รู้เรื่องของมันเองหรอก ต่อให้นั่งตลอดคืนจนสว่าง ก็จะไม่รู้สึกว่านั่ง เพราะมันเพลิน พอเป็นอย่างนี้ทำได้ดีแล้ว อาจจะอยากเทศน์ให้หมู่พวกฟังจนคับวัดคับวาไปก็ได้ มันเป็นอย่างนั้นก็มี

เมื่อจิตสงบ อย่าปล่อยไปตามอารมณ์

เหมือนอย่างตอนที่พ่อสางเป็นผ้าขาว คืนหนึ่งเดินจงกรมแล้วนั่งสมาธิ มันเกิดแตกฉานขึ้นมา อยากเทศน์ เทศน์ไม่จบ เราได้ยินเสียง นั่งฟังเสียงเทศน์ "โฮ้ว โฮ้ว โฮ้ว" อยู่ที่กอไผ่โน่น ก็นึกว่า "นั่นผู้ใดหนอเทศน์กันกับใคร หรือว่าใครมานั่งบ่นอะไรอยู่" ไม่หยุดสักทีก็เลยถือไฟฉายลงไปดู ใช่แล้ว ผ้าขาวสางมีตะเกียงจุด นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้กอไผ่ เทศน์เสียจนฟังไม่ทัน

ก็เรียก "สาง เจ้าเป็นบ้าหรือ"

เขาก็ตอบว่า "ผมไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร มันอยากเทศน์ นั่งก็ต้องเทศน์ เดินก็ต้องเทศน์ ไม่รู้ว่ามันจะไปจบที่ไหน"

เราก็นึกว่า "เฮอ คนนี่มันเป็นไปได้ทั้งนั้น เป็นไปได้สารพัดอย่าง"





หลวงปู่ขาว อนาลโย เล่าถึงอดีตชาติในครั้งพุทธกาล ณ วัดถ้ำกลองเพล “พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ” ได้ถาม “หลวงปู่ขาว อนาลโย” ว่า ในอดีตที่ผ่านมาในครั้งพุทธกาลนั้น ท่านได้สร้างบารมีมาอย่างไร ขอนิมนต์หลวงปู่เล่าความเป็นมาในอดีตให้ฟัง หลวงปู่ก็ยิ้มๆ แล้วเริ่มเล่าความเป็นมาในสมัยครั้งนั้น หลวงปู่บอกว่าในสมัยนั้น เฮาเป็นพระนวกะเพิ่งบวชใหม่ ยังไม่รู้จักความผิดถูกในธรรมวินัยดี ตลอดจนข้อวัตรปฏิบัติก็ยังไม่เข้าใจพอ แต่มีความหวังดีในการบวช มีความยินดีในการปฏิบัติ และอยากพ้นไปจากทุกข์ทั้งหลาย ในครั้งนั้นมีพระบวชใหม่ด้วยกันประมาณ ๕๐๐ องค์ ทุกองค์ต่างก็ยังไม่รู้ในพระธรรมวินัยดี แล้วก็มีพระองค์ที่ท่านบวชก่อนมาชักชวนให้ไปเป็นหมู่คณะ โดยพูดว่า มีพระอาจารย์องค์หนึ่งท่านได้เป็นพระอรหันต์ มีความรู้เฉลียวฉลาดเฉียบแหลมมาก แนวทางปฏิบัติตรงต่อมรรคผลนิพพานทีเดียว มีข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงทำให้ผู้ปฏิบัติถึงพระนิพพานได้เร็วขึ้น เฮาเองก็มีความเชื่อ เพราะอยากเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว พระผู้บวชเก่าองค์นั้นก็ได้พูดในลักษณะเดียวกันนี้ให้พระบวชใหม่ฟังอีกหลายองค์ ซึ่งทุกองค์ก็เชื่อแล้วยอมมอบตัวเป็นลูกศิษย์เพิ่มขึ้นมาอีก และพร้อมใจยินยอมตามไปด้วย เมื่อถึงเวลาแล้วก็พากันออกเดินทางพร้อมกัน ทั้งหมดมีพระใหม่ประมาณ ๕๐๐ องค์ เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีพระเถระผู้ใหญ่คอยอยู่ในที่นั้นแล้ว

จากนั้น ก็พากันเข้าไปกราบคารวะคอยรับฟังโอวาทต่อไป ขณะนั้นมีประธานสงฆ์ให้โอวาทว่า คณะสงฆ์ทั้งหมดต้องอยู่ในข้อปฏิบัติเดียวกัน ๕ ประการ คือ

๑) ไม่ฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิดเป็นวัตร
๒) ต้องอยู่ป่าเป็นวัตร
๓) ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
๔) บิณฑบาตเป็นวัตร
๕) อยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร

ทั้ง ๕ ข้อนี้ให้พระสงฆ์ทุกองค์ถือเอาเป็นข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อาจารย์ใหญ่ที่เป็นประธานสงฆ์นั้นชื่อว่า พระเทวทัต องค์ที่รองลงมาชื่อว่า พระโกกาลิก และยังมีรองลงไปอีกหลายองค์ จากนั้น ก็พากันปฏิบัติในข้อบัญญัติ ๕ ประการอย่างจริงจังทีเดียว ต่อมาไม่นานนักได้เห็นพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรตามไป แล้วทำความสนิทสนมกับพระเทวทัตเป็นอย่างดี ในคืนหนึ่ง พระเทวทัตให้โอกาสแก่พระสารีบุตรได้แสดงธรรมแก่พระบวชใหม่ทั้งหลาย ในขณะนั้น เฮามีความเลื่อมใสในพระสารีบุตรมาก ท่านแสดงธรรมได้ไพเราะมีเหตุผลพอเชื่อถือได้ จึงคิดเปลี่ยนใจว่าเราจะขอติดตามกับท่านสารีบุตรไปอย่างแน่นอน
ในขณะนั้น พระเทวทัตผู้มีทิฏฐิสูงไม่ยอมฟังธรรมของพระสารีบุตร เอาแต่นอนเฉยไม่สนใจในการฟังธรรมเลย พระโกกาลิกก็พากันนอนฟังเช่นเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะอำนาจฤทธิ์ของพระโมคคัลลาน์ก็เป็นไปได้ จึงทำให้พระเทวทัตและพระโกกาลิกนอนหลับไปอย่างสนิททีเดียว พระใหม่ทั้งหมดมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลาน์เป็นอย่างมาก เมื่อพระสารีบุตรพูดว่า จะพาพระใหม่ไปกราบพระพุทธเจ้าเท่านั้น ทุกองค์ก็เตรียมพร้อมทันที เมื่อพร้อมกันแล้วพระใหม่ทั้งหมดก็ออกเดินทางตามพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรไป

เฮาก็ได้เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรองค์หนึ่ง แต่เฮาก็ไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไรเลยในสมัยนั้น แต่มีความศรัทธายินดี เชื่อว่าการบวชนั้นอานิสงส์มาก และยินดีในการปฏิบัติ ยอมสละชีวิตอุทิศต่อพระพุทธศาสนาจวบจนวันตาย

จึงเป็นอันว่าหลวงปู่ขาวก็เคยเป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรมาแล้วในอดีตชาติ ในชาติปัจจุบันของหลวงปู่ที่กำลังภาวนาปฏิบัติอยู่ ก็นิมิตเห็นพระสารีบุตรมาแสดงธรรมให้ฟังอยู่เสมอ นี่คือความเกี่ยวข้องกันมาในชาติอดีต ถึงท่านจะเข้าถึงพระนิพพานไปแล้วก็ตาม คุณธรรมในความเมตตานั้น ยังมาแสดงตนเป็นภาพในนิมิตเพื่อโปรดผู้ที่ยังตกอยู่กับโลกนั่นเอง ก็เหมือนกับท่านที่ไม่เคยเห็นครูอาจารย์มั่นมาก่อน แต่ทำไมท่านจึงมีนิมิตปรากฏเห็นท่านครูอาจารย์มั่นมาแสดงธรรมให้ฟังเป็นประจำเล่า เฮาก็เหมือนกัน ท่านพระสารีบุตรนิพพานไปนานแล้ว แต่เฮาก็เห็นนิมิตเห็นท่านมาสอนเช่นกัน
เรื่องอย่างนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร หรืออาจารย์ทูลแต่งขึ้นเอง เพื่อความแน่ใจ ให้ไปถาม “ท่านอาจารย์บุญเพ็ง วัดถ้ำกลองเพล” ดูก็แล้วกัน หลวงปู่ขาวเคยเปรยๆ ให้ฟังมาแล้ว แต่ท่านไม่ได้พูดมาก กลัวพระเณรจะไม่เข้าใจ ตัวอาจารย์ทูลได้ถามเรื่องนี้กับหลวงปู่ขาวโดยตรง หลวงปู่จึงได้เปิดเผยเรื่องนี้ทั้งหมดออกมาอย่างละเอียด และมีอาจารย์ทูลองค์เดียวเท่านั้นที่ได้รับฟังในเรื่องนี้ทั้งหมด








"ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
อย่าลืมองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์
เตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปว่า

เราจะบูชาพระทุกวัน นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนหลับ ตื่นใหม่ๆนึกถึงพระพุทธเจ้า บูชาพระ
บูชาพระอย่างอื่นไม่ได้ ก็ว่า นะโมตัสสะ๚
๓ หนด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง แล้วว่า

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

ธัมมัง สรนัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง

สังฆัง สรนัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

แค่นี้ก่อนหลับและตื่นใหม่ๆทุกวัน
บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทุกท่าน
จะปลอดภัยและมีความร่ำรวย"

ธัมมวิโมกข์"ฉบับพิเศษ"เดือนกุมภาพันธ์
๒๕๓๙ หน้า ๒๓๓~๒๔๐
~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง~


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO