นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 2:38 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 13 พ.ค. 2017 5:58 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ นะ!"
เตือนให้เตรียมตัวไว้ดำเนินชีวิตต่อไป
เป็นคำแทนคำอวยพรอย่างสูงสุดประกอบด้วยเหตุผล
เมื่อทำกรรมดีแล้วไม่ให้พรก็ต้องดี
เมื่อทำกรรมชั่วแล้วจะมาเสกสรรปั้นแต่ง
อวยพรอย่างไรก็ดีไม่ได้

บทพระคาถาเจ้าคุณนรรัตน์ฯ (ทุกอย่างสำเร็จตามปรารถนา)

**สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ อิทัง พะลัง เอดัสสะมิง รัตตะนัตตะยัสสะมิง สัพพะสาธนะ เจตะโส "**

ขอผลนี้จงสัมฤทธิ์ ขอผลนี้จงสัมฤทธิ์ และขอผลนี้จงสัมฤทธิ์ ตามความปรารถนาของข้าพเจ้าทุกประการ...เทอญ"
บทธรรมของ..ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต





หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ กับหลวงปู่คง วัดกุฎีดาว(สมัยอยุธยา)

หลวงปู่เคยเล่าถึงหลวงปู่คงว่า "ท่านอยู่ วัดกุฎีดาวมีอภินิหารมาก สามารถนั่งบนผ้าอาบน้ำฝน ลอยไปบนน้ำ เข้าไปในเขตพระราชฐานของพระเจ้าแผ่นดิน พวกสนมกำลังอาบน้ำอยู่ตกใจกัน พระเจ้าแผ่นดินสั่งให้ตามจับ ไปถึงวัดหาไม่พบ จึงบอกอุบายให้นิมนต์พระสงฆ์ในวัดทั้งหมดให้เข้าไปฉันในวัง แต่หลวงพ่อคงไม่ยอมไป จึงสั่งให้ทหารตามไปถึงวัด ซึ่งท่านปิดกุฏิไม่ยอมออกมา เลยให้ทหารเอาไฟเผากุฏิ หลวงพ่อคงถอนกุฏิลอยหนีสูงเทียมดาว เลยชื่อวัดกุฎีดาวตั้งแต่นั้นมา ก่อนจะไปท่านบอกว่า อยู่ไม่ได้ เพราะราชาไม่อยู่ในธรรม แต่กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี แล้วท่านก็ไปอยู่ที่พิมายทางโคราช เดี๋ยวนี้ยังมีสระน้ำที่ท่านทำไว้ คนไหนอยากได้น้ำมนต์ก็ไปตักเอา"

ผู้เขียนเคยนั่งสมาธิพบหลวงปู่คง ได้กราบเรียนถึงหลวงปู่ดู่ หลวงปู่คงท่านบอกว่า "อาจารย์แกนั้น ท่านมีบารมีสูงมากบารมีเต็มแล้ว แต่ยังมีเมตตาต่อลูกศิษย์ ตัวข้าเองสามารถเดินบนน้ำได้แต่อาจารย์แกสามารถเดินบนอากาศได้ไม่เชื่อลองไปถามดูก็ได้" เมื่อผู้เขียนกราบเรียนให้หลวงปู่ทราบ ท่านไม่ได้ปฏิเสธ แต่ได้พูดว่า "ข้าขอโมทนาด้วย ที่แกสามารถรู้ถึงความลับของข้าได้"

หลวงปู่คงเคยให้คาถาผู้เขียนไว้ เกี่ยวกับการแก้อาการปวดเมื่อย ใครจะนำไปใช้ก็ได้ มีดังนี้

"พุทธังหาย ธัมมังหาย สังฆังหาย
นวดด้วย พระพุทธัง พระธัมมัง พระสังฆัง
จะลุกขึ้น เดินนอนนั่ง ให้มีกำลังวังชา
หายจากพยาธิโรคา จงมีแก่ข้า ประสิทธิเม"

ถ้าจะให้คนอื่นให้ว่า "จงมีแก่เจ้า ประสิทธิเต"

จากเรื่อง ๑๗ อภิญญาสมาบัติ ทิพย์แห่งจิต หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ






นี่เราพูดถึงเรื่องหลวงปู่มั่นก็เลยเตลิดเปิดเปิงไปไหนบ้างก็ไม่รู้นะ พูดถึงเรื่องความเลิศเลอที่สุดภายในหัวใจก็ดี ภายนอกการประพฤติปฏิบัติของท่านก็ดี รู้สึกว่าที่เราผ่านครูบาอาจารย์มานี้ ไม่มีใครเลยเหมือน พร้อมทุกอย่าง ยิ่งท่านพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดา โอ๋ย ฟังแล้วเราพูดจริง ๆ เราเป็นจริง ๆ น้ำตาร่วงเลยนะ ว่าพวกเทวดามาเยี่ยมท่าน มาฟังเทศน์ท่าน แต่ท่านจะพูดในเวลาเฉพาะ ท่านไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้านะ

นั่นละเห็นไหมจอมปราชญ์ ท่านรู้หนักรู้เบา รู้ในรู้นอก รู้ควรไม่ควร เวลามีโอกาสอันดีงาม อยู่เพียงสองสามองค์คุยกัน เราก็เสาะนั้นเสาะนี้อยากรู้อยากเห็น ท่านก็ค่อยเปิดออกมา ๆ ทีนี้ค่อยสอดค่อยแทรกเข้าไป ครั้งนั้นบ้างครั้งนี้บ้าง หลายครั้งต่อหลายหนก็เข้าใจเรื่องของท่าน ท่านพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดาเหมือนพูดกับพวกเรานี่นะ ท่านไม่มีอะไรสะทกสะท้าน ไม่มีอะไรผิดแปลกปกติเลย เหมือนกับเราไปเห็นสิ่งใดมาเราพูดกันธรรมดา ๆ อย่างนี้

ท่านพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ที่มาเยี่ยมท่าน ท่านบอกว่าท่านมาอยู่ที่จังหวัดสกลนครนี้ พวกเทวดามาเกี่ยวข้องน้อยมาก จะมาเป็นเวลา คือมาในวันเข้าพรรษา วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันออกพรรษา นอกนั้นเทวดาไม่ค่อยมากัน หมายถึงเทวดาชั้นสูงนะ พวกสวรรค์ พวกภูมิเทวดานี้ก็มาต่างหากเหมือนกันท่านว่าอย่างนั้น ส่วนไปอยู่เชียงใหม่ อู๋ย ต้อนรับแทบทุกคืนไม่มีเวลาว่างเลย เทวดาชั้นนั้น ๆ ที่มาเป็นชั้น ๆ มาเป็นลำดับลำดา พวกภูมิเทวดา อากาสาเทวดา
ท่านอยู่เชียงใหม่ท่านหนักไปทางหนึ่ง ไม่ได้เกี่ยวกับผู้คน แต่เกี่ยวกับเทวบุตรเทวดาตลอด ฟังซิน่ะท่านพูด พวกพญาครุฑ พญานาค อะไรนี้เกี่ยวหมดเลย มาหาท่าน ท่านพูดธรรมดานะ อยู่ทางโน้นมากพวกเทวดา มาอยู่ทางนี้ไม่ค่อยมี นั่นฟังซิน่ะ ท่านจะเห็นว่าพวกเรานี่เป็นเทวดาแทนแล้วก็ไม่รู้นะ หรือว่าเป็นเทวทัตแทนแล้วก็ไม่ทราบ มีสองอย่าง ไม่มีเทวดาก็มีเทวทัตแทน

พูดถึงเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวของพวกเทพทั้งหลายนี้อีกละ โอ๊ย อัศจรรย์นะ ไม่ได้เหมือนกันท่านว่า พวกเทวดาเช่นดาวดึงส์นี้มา พวกเทพพวกนี้การแต่งเนื้อแต่งตัวมีลักษณะอย่างนี้ ๆ รูปร่างนี้จะหยาบไปอย่างนี้ ความละเอียดก็ละเอียด เรื่องของเทพนั้นละเอียด แต่เมื่อเทียบกับเทพทั้งหลายแล้ว จะละเอียดต่างกันเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป การแต่งเนื้อแต่งตัวทุกสิ่งทุกอย่าง จนกระทั่งท้าวมหาพรหม เหลืองอร่ามหมดเลย นั่นฟังซิท่านพูด แต่ค่อยซอกแซกซิกแซ็กค่อยถามเอานะ ถามมากกว่านั้นไม่ได้เดี๋ยวท่านขนาบเอาหลงทิศไป

ท่านพูดธรรมดาเรานี่นะ ธรรมด๊า ธรรมดา นั่นละเห็นไหมญาณหยั่งทราบ ผู้ตาดีท่านเห็นอย่างนั้น พวกตาบอดนี่ปฏิเสธวันยังค่ำว่าไม่มี เราได้เห็นแล้วเวลานี้ในตำรา เห็นประจักษ์แล้ว จนปลงธรรมสังเวช เวลานี้ลบล้างแล้วนะ พุทธศาสนานี่แหละเป็นข้าศึกต่อพระพุทธเจ้าเสียเอง พวกชาวพุทธเรานี่เป็นข้าศึกต่อพระพุทธเจ้าเสียเอง เวลานี้กำลังเริ่มลบล้างพวกเทวบุตรเทวดาว่าไม่มี ๆ ก็จะมีใครก็คือพวกเรา ๆ ท่าน ๆ นี้แหละคือเทวดา ว่างั้นนะ ไอ้พวกเรา ๆ ท่าน ๆ กำลังเป็นเทวทัตต่อสู้พระพุทธเจ้านี้เหรอเป็นเทวดา เราอยากถามว่าอย่างนั้นนะ นอกจากจะหานรกหลุมไหนให้มันอยู่นะพวกนี้เท่านั้นเอง นรกนอกนั้นแตกหมดแล้ว นรกหลุมไหนจะให้มันอยู่ได้พวกนี้ พวกนรกแตก เราอยากถามว่าอย่างนั้นละ แต่ไม่ถาม
เห็นในตำรา เห็นแล้วเดี๋ยวนี้ออกมาแล้วนะ พวกลบล้างศาสนา พวกเทวทัต สด ๆ ร้อน ๆ กำลังเริ่มละ คำสอนเหล่านี้เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เช่น อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ตอนเที่ยงคืนแก้ปัญหาเทวดา แนะนำสั่งสอนอบรมเทวดา ตอนสี่โมงห้าโมงเย็นนี้เทศนาว่าการสั่งสอนมนุษย์มนาทั้งหลาย มีพระมหากษัตริย์เป็นต้น พอตอนค่ำทุ่มหนึ่งสองทุ่มไปแล้ว เทศนาว่าการสั่งสอนพระ พอหกทุ่มแล้วเทศนาสั่งสอนพวกเทวบุตรเทวดา พอตีสามล่วงไปแล้วพิจารณาเล็งญาณดูสัตวโลก ใครจะมีความรู้ความฉลาด มีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุธรรมได้ขนาดไหน ๆ ทรงทราบ ๆ ตามพระญาณหยั่งทราบแล้ว

นี่ละพุทธกิจ ๕ งานของพระพุทธเจ้าห้าอย่าง ตอนเช้าก็ ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ท่านโปรดจริง ๆ สัตว์มองเห็นพับเป็นมงคลแล้ว ได้ยินท่านรับสั่งอะไรเป็นมงคลแล้ว ๆ เอาข้าวกำมือหนึ่งก็ตามใส่ลงไปนี้เป็นมหามงคลแล้ว ๆ นั่นเรียกว่าท่านโปรดสัตว์ ท่านโปรดสัตว์อย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันสัตว์โปรดพระนะ ไปที่ไหนบิณฑบาตดูไม่ได้เวลานี้นะ เอ้า พูดให้มันตรงซิมีอยู่ในโลกนี้ ทำไมพูดไม่ได้ มันเป็นมันยังเป็นได้ เรานำมาพูดไม่ได้เหรอ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นสัตว์โปรดพระ ไม่ใช่พระโปรดสัตว์นะเดี๋ยวนี้ มันเปลี่ยนไป

เพราะความประพฤติของพระเหลวแหลกแหวกแนว ทำให้เลวลงไปหาคุณค่าไม่ได้ในความเป็นพระ ใครก็จะดูถูกเหยียดหยามได้ ตั้งแต่เจ้าของยังดูถูกเหยียดหยามได้ ด้วยการประพฤติชั่วของเจ้าของ ทำไมเจ้าของทำได้ คนอื่นตำหนิบ้างไม่ได้เหรอ นั่นความเป็นมันมีอยู่ พื้นฐานมีอยู่ พูดตามพื้นฐานทำไมพูดไม่ได้

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑






จิตดวงนี้ไม่เคยตายไม่เคยฉิบหายแต่ไหนแต่ไรมา ถ้าพูดถึงเรื่องวัตถุต่าง ๆ ในแดนโลกธาตุนี้ อันใดมากกว่าอะไร ไม่มีอะไรที่จะมากยิ่งกว่าจิตวิญญาณของสัตวโลก เต็มท้องฟ้ามหาสมุทร ใต้ดินเหนือดินมีเต็มหมดเลย อันนี้มากที่สุด คือจิตวิญญาณของสัตวโลก เพราะมันไม่สูญนั่นเอง เต็มอยู่นี้ ครองภพครองชาติอยู่ทุกแห่งทุกหนตามเพศตามภูมิ

อย่างเราเป็นมนุษย์ก็เห็นกันชัด ๆ ที่ไม่เป็นมนุษย์เป็นสัตว์ก็เห็นกันอยู่นั้น เป็นไก่ก็เห็นอยู่ เป็นเป็ด เป็นนก เป็นปลา เป็นอะไรเราก็เห็นกันอยู่นั้น ที่ละเอียดกว่านั้นก็มีอย่างเดียวกันนี้เลย ไม่ได้ผิดกัน มีอยู่ตามสภาพของตน ๆ เป็นแต่เพียงว่าเราสามารถสัมผัสสัมพันธ์รู้เห็นได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง มีภพ มีละเอียด หยาบ ต่างกัน อย่างพวกเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม พวกเปรตพวกผีก็เหมือนกันกับเรานี้ มีภพมีชาติเป็นกำเนิดที่เกิดของตัวเอง ด้วยวิบากกรรมดีชั่วเหมือนกันหมด ไม่มีใครแปลกต่างกัน

เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน สัตวโลกที่เกิดขึ้นมาด้วยกันอย่าตำหนิกันด้วยชาติชั้นวรรณะสถานะสูงต่ำ อย่าไปตำหนิกัน สัตว์ทั้งหลายเกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรมของตนด้วยกัน สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น คือเป็นด้วยอำนาจแห่งกรรม เกิดมาด้วยบุญด้วยกรรม กมฺมํ สตฺเต วิภชติ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้มีความประณีตเลวทรามต่างกัน แล้วเกิดไปตามวิบากแห่งกรรมของตน ๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน

เช่นเวลาเรามาอยู่นี้ เราก็มาเสวยภูมิเป็นมนุษย์ ออกจากนี้เราก็จะไปอีกภูมิไหนก็ไม่รู้นะ ถ้าภูมิความดีก็แน่ต่อสิ่งที่ดี ภูมิชั่วนั้นแน่ต่อสิ่งที่ชั่ว ไม่ผิดที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เพราะสอนแล้วด้วยความรู้ความเห็นทุกอย่างมาสอนโลก ให้เราปฏิบัติ เราเป็นคนตาบอดต้องเชื่อคนตาดี ถ้าเชื่อแต่คนตาบอดแล้วจะชนแต่ต้นไม้ ตกหลุมตกบ่อ หาความปลอดภัยไม่ได้ ถ้าเชื่อคนตาดี เขาจูงไปไหนก็ต้องไปซิคนตาบอดตามคนตาดี นี่เราเป็นคนโง่ เป็นคนตาบอดทางใจ ให้เชื่อพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นคนตาดีทั้งภายนอกภายใน ให้ตั้งใจปฏิบัติรักษาตามพระพุทธเจ้า แล้วเราจะค่อยแคล้วคลาดปลอดภัยเป็นลำดับ

เรื่องบุญ เรื่องกรรม เรื่องบาป เรื่องนรก สวรรค์ นี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย เหมือนกับสิ่งที่เราเห็นอยู่ด้วยตาของเรานี่ นรกมีไหมก็เหมือนศาลาหลังนี้มีไหมนั่นเอง สวรรค์มีไหม ก็เทียบขึ้นไปอีกเหมือนชั้นบนชั้นล่างโดยลำดับลำดาไป เหมือนกันนั่นแหละ แล้วข้างต่ำไปอีก ใต้ดิน เหนือดิน มีไหม ๆ มีอยู่เหมือนกันหมด นี้ละที่พระพุทธเจ้าสอนไว้สอนตามหลักความจริง ที่รู้ที่เห็นแล้วนำมาสอนโลก ไม่ได้สอนแบบหลับหูหลับตาสอน

แต่พวกเรานี่ฟังแบบหลับหูหลับตาฟัง ถ้าเรื่องฟังอรรถฟังธรรม เกี่ยวข้องกับอรรถกับธรรมแล้วเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ไม่ค่อยมีความจริงอะไร เพราะกิเลสเหยียบไว้ตลอดไม่ให้ก้าวเข้าสู่ความจริงได้ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วเอาเป็นก็เป็น ตายก็ตาย มีเท่าไรถึงไหนถึงกัน เรื่องกิเลสเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นโลกถึงจมอยู่กับกิเลส ไม่ได้หลุดพ้นไปได้ง่าย ๆ เป็นอย่างนี้เอง

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑







เพราะฉะนั้นท่านจึงแยกไว้เป็นบาลีว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาผู้บรรลุธรรมถึงขั้นอรหัตภูมิแล้ว นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย เป็นเหมือนกันหมด นั่นฟังซิ แยกกันไม่ออก นั่นก็เท่ากับแม่น้ำเข้าสู่มหาสมุทรทะเลหลวงแล้วแยกกันไม่ออก ว่ามาจากที่ไหน ๆ บ้าง อันนี้ก็เมื่อเข้าถึงวิมุตตินิพพานบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว เหมือนกันหมด ไม่มีคำว่ายิ่งว่าหย่อนต่างกัน แยกกันไม่ออก ท่านบอก นั่นเข้ากันได้เลย

ทีนี้เราดูซิมหาสมุทรทะเลหลวงเวลานี้เราเห็นไหม ทั่วโลกก็เห็นกันทั้งนั้น ปฏิเสธได้ไหมว่ามหาสมุทรทะเลหลวงสูญไป มหาสมุทรทะเลสูญไหมเห็นไหม นั่นละแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลลงไปรวมอยู่ที่นั่นไม่ได้สูญ เป็นแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง จิตวิญญาณของสัตวโลกที่บำเพ็ญคุณงามความดีนี้เข้ามา ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ เหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ เข้าถึงวิมุตติปึ๋งแล้ว เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน นี่ละสูญไหมนี่ก็ดี นี่ละเทียบกันได้อย่างนี้ นี่ละที่ว่าสูญไหม สูญไหมนิพพาน มหาสมุทรทะเลหลวงไม่สูญฉันใด มหาวิมุตติมหานิพพานก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน ไม่สูญ

จิตวิญญาณดวงนี้สำคัญมากนะ เราจึงได้เน้นหนัก การนำชาติคราวนี้ก็มีธรรมะไปแจกพี่น้องชาวไทยทั้งหลายให้รู้ทั่วกันว่า ธรรมะของจริงแท้เป็นยังไง ธรรมะของปลอมเป็นยังไง เช่นอย่างพระไตรปิฎกตาบอด พระไตรปิฎกตาดีเป็นยังไง พระไตรปิฎกใน พระไตรปิฎกนอกเป็นยังไง ถอดออกมาจากความจริงมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง อย่างอาจหาญไม่สะทกสะท้าน เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ใครเจอเข้าไปเมื่อไรก็เจอเถอะ เหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้หมด ไม่ได้เคลื่อนไหวจากกัน เหมือนเราจ่อมือลงไปในแม่น้ำมหาสมุทร ถึงกันหมดเลย กระเทือนทั่วมหาสมุทร

อันนี้จ่อเข้าไปถึงวิมุตติ หลุดพ้นปึ๋งเท่านั้น กระเทือนถึงกันหมดเลย พระพุทธเจ้าหายไปไหน พระอรหันต์หายไปไหน วิมุตตินิพพานหายไปไหน ก็ตัวของเราใจของเราเป็นเครื่องยืนยันแล้ว จะหายไปไหน เห็นชัด ๆ อยู่อย่างนั้น นี่ละขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ เราเกิดมาพบพุทธศาสนานี้เรียกว่าเลิศเลอที่สุดแล้ว วาสนาของเรานี่ ถ้าเราไม่ได้นับถือแล้วก็เหมือนกบเฝ้ากอบัวนั่นแหละ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติก็เอาดอกบัวมาบูชาพระอย่างนี้แหละ เอามาบูชาอย่างนี้เป็นผลเป็นประโยชน์แล้วนี่ กอบัวเหล่านี้เกิดประโยชน์แล้ว ไม่มีใครมาเฝ้าอยู่เฉย ๆ เอามาทำประโยชน์ก็ได้แล้วนี่

ธรรมพระพุทธเจ้าก็เหมือนดอกบัวที่สวยงาม จ้าครอบโลกธาตุ ต่างคนต่างประพฤติปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้า ก็เหมือนกับเอาดอกบัวมาบูชา เกิดผลเกิดประโยชน์ นี่ละเรื่องศาสนาพระพุทธเจ้านี้ใครไม่มีวาสนาไม่พบนะ เลิศเลอสุดยอดอยู่นี้หมด เป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร ศาสนาคู่บ้านคู่เมือง เพราะเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลสแล้ว ไม่ได้เป็นศาสนาของคลังกิเลสที่เสกสรรปั้นยอ ตัวว่าเป็นเจ้าของศาสนานั้น เจ้าของศาสนานี้ ลัทธินั้นลัทธินี้อะไร นั้นเป็นคนมีกิเลสเสกสรรปั้นยอเจ้าของขึ้นเป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นศาสดาของเขาต่างหาก กิเลสเต็มหัวใจย่อมมีผิดพลาดได้ด้วยกันกับคนทั่ว ๆ ไป

แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว คำว่าบกพร่องไม่มี สมบูรณ์แบบเต็มที่แล้ว เป็นครูสอนโลกด้วยใจที่บริสุทธิ์ จึงเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารคู่บ้านคู่เมืองตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ นี่เวลานี้พุทธศาสนาของเราคือสมณโคดมของเรา ก็เท่ากับพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ เพราะสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว ชี้แนวทางให้เข้าไปจุดนั้น ๆ ตลอด พระพุทธเจ้านิพพานแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะทางเดินเพื่อเข้าสู่ความพ้นทุกข์สอนไว้แล้วโดยสมบูรณ์ ให้ก้าวตามนี้นะ นั่นความหมายว่างั้น เอ้า ให้ทำบุญอย่างนี้ ให้ทานอย่างนั้น ให้รักษาศีลอย่างนั้น ให้เจริญาภาวนาอย่างนี้ ให้ทำความดีอย่างนี้ ๆ

นี้เป็นสายทางที่จะก้าวเข้าสู่ความหลุดพ้นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด กับพระพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนม์อยู่ นี่ละที่ว่าศาสนาวางไว้ห้าพันปี คือพาดบันไดเอาไว้ ๆ ให้เราไต่เต้าไปตาม ถ้าใครไม่ไปพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าใครอุตส่าห์พยายามเดินตามก็เอาละ

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑






เมื่อรู้คุณของทาน ก็ชอบให้ทาน
รู้คุณของศีล ก็ชอบรักษาศีล
รู้คุณของภาวนา ก็ชอบภาวนา
รู้คุณของมรรคผลนิพพาน ก็ชอบมรรคผลนิพพาน.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์)





หลวงพ่อปานสอนไว้ว่าใครเขาจะว่าอะไรก็เป็น
เรื่องของเขา มันเรื่องของท่านผู้นั้น ใครจะดีจะชั่ว
อย่าสนใจ สนใจอยู่อย่างเดียวก็คือใจของตัวเอง
มาดูใจของตัวเองว่าใจของตัวดีหรือชั่ว
ถ้าเขาด่ามารับคำด่ามันก็ชั่ว เขาด่ามาเราโกรธ
บุคคลที่เขาด่าเราก็ชั่ว คนด่าเขาจะดีเขาจะชั่วไม่มี
ความสำคัญ สำคัญอยู่อย่างเดียว รักษากำลังใจขอ
งตนให้ดีเท่านั้น คือทรงขันติและเมตตา

หลวงปู่ปาน โสนันโท วัดบางนมโค อยุธยา
จาก..ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๒๓๙ หน้า ๓๗






หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

☆☆☆☆☆
◇ คำนินทาและสรรเสริญนี่มันไม่ได้สร้างคนให้ดี หรือไม่ได้สร้างคนให้เลว
◇ ยกตัวอย่าง
◇ จิตยังหวั่นไหวต่อนินทาและสรรเสริญไหม ถ้าเป็นอย่างนี้...เราเลว...!!!
☆☆☆☆☆

▪คำนินทาและสรรเสริญนี่มันไม่ได้สร้างคนให้ดี หรือไม่ได้สร้างคนให้เลว เพราะเรามีความดี ใครเขาว่าเลว นินทาเท่าไรก็ตามมันก็ไม่รู้จักเลว

▪สมมุติว่าเรามีสตางค์อยู่ในกระเป๋าเต็มกระเป๋า

มีคน ๆ หนึ่งเขานินทาว่าไอ้บ้านี่ หรืออีบ้านี่ไม่มีจะกินหรอก จนจะตาย ต้องขอทานเขากินทุกเวลา

☆ แต่ความจริงเราเป็นมหาเศรษฐี แล้วเราจะจนตามคำนินทาของเขาหรือเปล่า

▪เป็นอันว่าเราก็ไม่จนตามคำเขาพูด สตางค์มันก็เต็มกระเป๋าตามปกติ การนินทาก็ไม่มีความหมาย

พอเราแต่งตัวภาคภูมิ เขาก็บอกคน ๆ นี้เป็นมหาเศรษฐี แต่ความจริงสตางค์ในกระเป๋าไม่มี หิวเกือบตาย

☆ แล้วเขาสรรเสริญว่าเราเป็นคนรวยนี่ เราจะรวยได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม

▪องค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

จึงทรงแนะนำให้วางนินทาและสรรเสริญทั้งสองประการเสีย

ใครเขาจะว่าอย่างไรก็ช่าง ดูใจของเราว่ามันดีหรือชั่ว ดูใจของเราว่า

☆ มีพรหมวิหาร ๔ หรือเปล่า
☆ ศีลบริสุทธิ์ไหม
☆ จิตว่างจากนิวรณ์ไหม
☆ จิตเราเกาะขันธ์ ๕ ไหม
☆ จิตยังหวั่นไหวต่อนินทาและสรรเสริญไหม

■ ถ้าเป็นอย่างนี้เราเลว

อ้างอิงจาก
หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๔๓๒
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง







ผู้ถาม : "เอ...หลวงพ่อครับ ถ้าชาตินี้เราดำรงชีวิตลำบากมากๆ ทำอย่างไรจึงจะหาทางแก้ไขให้สบายขึ้นครับ"

หลวงพ่อ : จะไปยากอะไร เราก็นึกว่าสบายมากๆวิธีจะให้แก้กลุ้มก็ให้ยึดถือกฏธรรมดาสิ ถ้าจิตไม่ยอมรับกฏธรรมดา มันก็เป็นทุกข์อยู่นั่นแหละ นั่นแสดงว่าชาติก่อนเราทำทานมาน้อย หรืออาจจะทำมาก แต่ทำในเขตที่ไม่มีผล ผลลัพธ์มันน้อยมาก ถ้าลำบากเพราะใช้แรงงานมาก แสดงว่าชาติก่อนเราใช้แรงงานเขามาก ก็รวมความว่าการเกิดเป็นคนนั้นทุกข์ แล้วที่เราต้องลำบาก ก็เพราะกฏของกรรมที่เป็นอกุศล จุดที่เราจะมองเห็นง่ายๆก็มีอยู่ ๕ จุดคือ

ถ้ามีโทษปาณาติบาตมามาก มันก็จะทำให้ป่วยไข้ไม่สบาย

ถ้ามีโทษอทินนาทานเราทำมา ทรัพย์สินเราเสียหายอยู่เสมอ ยากจนมากก็เพราะอทินนาทานมันให้ผล

โทษของกาเมสุมิฉาจาร คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาดื้อด้านว่าไม่เชื่อ

โทษของมุสาวาท ทำให้วาจาเราไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีใครเชื่อฟัง

โทษของสุราเมรัย ทำให้เป็นโรคเส้นประสาท โรคบ้า

ก็ดูว่าที่ลำบาก ๕ ข้อนี้มันตรงกับข้อไหน
ถ้าตรงกับข้อไหนก็แสดงว่าเราเลวข้อนั้น
แล้วตั้งใจไว้ว่า "ความชั่วประเภทนี้ เราจะไม่ทำอีก"

๏ ธรรมปฏิบัติ ๕๒
~หลวงพ่อพระราชพรหมยาน~
~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง~





..=>คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "ประเทศไทยไม่เคยขาดพระอรหันต์ และ อารมณ์สุดท้าย"<=..

.. พวกของเรา ๔ คนที่ได้กำลังใจเป็นพระ ที่สอนไป ได้ ๔ องค์นะ ความจริงไม่นึกมาก่อน พอนั่งปุ๊บหลวงปู่แสงออกมาเลย บางคนอาจจะไม่รู้จักหลวงปู่แสง เดิมท่านอยู่ตรงนี้ (บ้าน พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์) เดิมที่ตรงนี้เป็นวัดเก่า เป็นวัดกระจอกงอกง่อย

มีสภาพเป็นวัดปลูกด้วยไม้ธรรมดาๆ อายุวัดประมาณก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ อาจจะเป็นสมัยอยุธยาหรือลพบุรีก็ได้ นานเต็มที แต่ว่าวัดอยู่ตรงนี้สภาพวัดไม่เหลือแล้ว ตอนที่มาที่นี่วันแรกก็เห็นสภาพนั้น

แล้วก็มีเป็นบ่อน้ำเล็กๆ คล้ายๆ เขาเรียกกันว่ากะโหลกน้ำ และก็มีต้นแขม ถามเจ้ากรมฯ ว่ามีหรือเปล่า ท่านบอกว่ามี ท่านก็แสดงตัวออกมา บอกว่า ผมชื่อแสง อยู่ที่นี่ และเป็นพระอรหันต์ที่นี่ และนิพพานที่นี่

อย่าลืมนะว่า "ที่ใดมีพระสำเร็จอรหันต์ที่ตรงนั้นเจริญพระกรรมฐานดีมาก" การเจริญพระกรรมฐานนี่เรื่องสถานที่มีความสำคัญมาก อย่างตามตำรับท่านบอกเตียงพระนาคเสนมีพระบรรลุอรหันต์เป็นพัน

และในกุฎิหลังเดียวกัน การเจริญสมาธิผลไม่เท่ากัน ฉันลองแล้วนะ หลวงปู่ปานเคยบอกว่า "ที่ตรงไหนทำสบายให้ทำตรงนั้น มันจะมีผลมาก" แม้แต่กุฎิหลังเดียวกันไม่เท่ากันแน่ คืออารมณ์ไม่เท่ากัน อารมณ์นี้ต้องซ้อมเป็นปกติ

ไอ้แบบไหนมันดี มันคล่องแคล่วแล้วไม่ยาก ไม่ใช่นี่เหนื่อยกว่า นั่นไม่เหนื่อย ไม่ใช่อย่างนั้น เราต้องทำใจให้พร้อมให้หมด ร่างกายเป็นปกติทั้งหมด ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย อารมณ์สบายร่างกายดี เราต้องสังเกต

เวลานั่งปั๊บจับลมตามเดิม ตามลีลาเดิม ที่ตรงไหนทำสมาธิได้ทรงตัวเร็วกว่ากันและก็อยู่ได้นานกว่ากัน ดีกว่ากัน เราต้องสังเกต มันไม่เท่ากันจริงๆ ก็รวมความว่าที่ตรงนี้เป็นมงคลใหญ่ เพราะเป็นวัดของหลวงปู่แสง แต่ท่านเป็นเจ้าอาวาสหรือเปล่าไม่ทราบ บอกว่าเป็นอรหันต์ที่นี่ นิพพานที่นี่

ความจริงท่านก็มาเรื่อยๆ แต่ไม่เคยบอกอะไร เมื่อวานนี้ (๕ ก.ค. ๒๕๒๗) หลวงปู่แสงออกมายืนข้างหน้าเลย ก็มากันหลายองค์ หลวงปู่แสงมีหน้าที่รายงาน เพราะเป็นเจ้าของที่ โดยมากเขาจะบอกกันแบบนี้แหละ พระลงนรก ก็มีเทวดามาบอก

ถ้ามีพระมีอะไรพิเศษขึ้นมาก็มีพระบอก ถ้าพระพิเศษสุดก็มีพระอรหันต์มาบอก ท่านก็บอกว่า "เมื่อวานนี้ครับ มีพระบรรลุอรหันต์ ๗ องค์ วันเดียวกัน" ท่านบอกตรงๆ จะผิดหรือถูกเป็นเรื่องของหลวงปู่แสง ไม่ใช่เรื่องของฉัน

หลวงปู่แสงโกหกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ถามว่าที่ไหน ท่านตอบว่า เชียงราย ถามว่าวัดไหน ท่านบอก ไม่ใช่วัด เป็นสำนักสงฆ์ เมื่อวานนี้ลงมาทำน้ำมนต์เพื่อพรมน้ำมนต์ให้เขา ตอนให้ศีลก็เลยนึกถึงพระ ๔ องค์ และคุยกัน

ความจริงคุยทั้ง ๗ องค์ ถามว่า ศึกษามาจากไหน ท่านบอกว่า ท่านเอาดะ ใครว่าดีเอา ท่านไม่แน่นอน จำนวน ๔ องค์ เคยฝึกมโนมยิทธิไปจากวัด (ท่าซุง) ก็มาอาศัยฝึกพอเข้าใจเรื่องนิพพานก็เหนื่อยมามาก

#อารมณ์สุดท้าย

ก็ถามท่านว่า ตอนที่จิตมันจะสบายถึงที่สุด ทำยังไง ท่านบอก ทีแรกก็ย่ำต๊อกบ้าง เดินจงกรมบ้าง เรื่อยเฉื่อยไปเอาเรื่องไม่ได้ ก็เหนื่อย ตอนเหนื่อยมันเหนื่อยมาก ตอนเหนื่อยมากเห็นจะเป็นลีลาของพระอานนท์

พระอานนท์ก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์นะ คืนนั้นท่านเหนื่อยมาก เดินจงกรมหนักเกินไป ท่านก็คิดถึงผลการตัดกิเลสมันก็ไม่ได้ ท่านก็เลยคิดว่ามันคงเหนื่อยเกินไป นอนเสียหน่อยเถอะ พักผ่อนหน่อย พอจิตคลายนิดเดียวก็เป็นอรหันต์เลย

นี่แสดงว่าการจะมีผลในการปฏิบัติทุกขั้นน่ะไม่ใช่เครียด ต้องมีอารมณ์สบายๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ใช้มัชฌิมาปฎิปทา" อันนี้ฉันเคยชนมาหลายขั้นหลายตอนแบบนี้ โดยมากฉันมีฤทธิ์บ้ามาก ทำอะไรถ้าไม่ได้ให้มันตายไป

ถ้า ๓ วันนี้ไม่ได้จุดนี้ตามต้องการ ให้มันตายเสียดีกว่า ตั้งไว้เลย "ผลที่สุด ผลจะได้จริงๆ อีตอนที่มันเหนื่อยแล้วจะมานอน คลายตัวนี่แหละ" เดินเล่นนิดหนึ่ง มานั่งเล่นหน่อยนั่นแหละ ตรงนี้แหละผ่านไปเป็นจุดๆ ใช่ไหม

อันนี้ท่านก็เหมือนกัน ทั้ง ๗ องค์ คือว่าอารมณ์สุดท้ายเหมือนกัน ท่านบอกว่า พอเหนื่อยคิดว่าไม่เป็นเรื่องหรอก ทำใจสบายๆ ดีกว่า พวกที่ได้มโนมยิทธิบอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า เราได้มโนมยิทธิแล้วไม่ต้องลำบาก

มันจะได้แค่ไหนก็ช่างหัวมันเถอะ เอาแค่จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ไปนั่งเล่นบนพระนิพพานดีกว่า ท่านกินข้าวแล้วก็ไปนั่งเล่นจนเขาหาว่าบ้า จนกระทั่งพระที่อยู่ด้วยกันเขาก็เกลียด ญาติโยมบางกลุ่มเขาก็เกลียด

หาว่าพระนี่บ้าๆ บอๆ นั่งหลับตาปี๋อยู่เรื่อย ท่านบอกว่าจิตเป็นสุข เมื่อตอนก่อนๆ ถ้าเขาหาว่าบ้า พอเขาพูดอย่างนี้ท่านก็บอกว่าโกรธ "มาตอนนี้จิตมันยิ้ม เขาหาว่าบ้าท่านก็ยิ้มในใจ เราสบายเขาจะลำบาก" ตอนนี้ไม่โกรธ กลับมีจิตเมตตาสงสาร

ถึงเวลาทำงานกันก็ช่วยเขาทำ ไอ้เวลาทำงานมือก็ทำงาน แต่ใจไปอยู่บนนิพพาน ในที่สุดท่านก็บอกว่า ถึงเวลาที่จิตมันสบายจริงๆ ก็บอกไม่ถูก อยู่ๆ มันก็ไม่เกาะอะไรเสียเลย ไม่นานหรอก ใช้อารมณ์แบบนี้อยู่ ๒-๓ วัน มันก็ไม่เกาะอะไรเลย เฉยๆ

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าไม่รู้จะไปไหนได้ มันก็ไม่มีใครยืนยัน ไปคุยกับท่านแล้วก็เลยถามสมเด็จฯ สมเด็จฯ ท่านไปด้วย ท่านบอกว่า "เขากำลังใช้อนุโลมปฏิโลมอยู่" คือว่าให้มันแน่ใจ แน่ไหมแน่

โดยมากเข้าถึงจุดนี้เขาจะทำแบบนี้ทุกคน จะไม่ไว้ใจตัวเอง ผมว่าไม่ไว้ใจน่ะไม่ไว้ใจแน่ ถึงแม้ได้รับคำพยากรณ์แล้วก็ยังไม่ไว้ใจตัวเอง "คำว่าประมาทไม่มี อัตนา โจทยัตตานัง มีเป็นปกติ" เป็นหัวใจของพวกนี้เขา

คำว่าอนุโลมปฏิโลมไม่ใช่นั่งหลับตาปี๋ พวกนั่งหลับตาไม่ค่อยเป็นนะ บางทีก็นั่งปกติ คุยกันใช้ได้หมด พวกนี้ "เห็นหน้าคนปั๊บเขาคิดเป็นอริยสัจหมด" พวกที่แต่งตัวสวยมากมีทุกข์มาก แต่งตัวน้อยมีทุกข์น้อย

สวยมากผ้ามันแพง กลัวเปรอะใช่ไหม ไอ้ผ้าเก่าๆ นั่งที่ไหนก็ได้ ระวังอย่างเดียวจะทับขี้หมาหรือเปล่า แค่นี้เอง "ท่านเห็นเป็นอริยสัจหมด" แต่ก็ถือเป็นธรรมดา ท่านก็ไม่ตำหนิใครที่ไม่เข้าใจอริยสัจ ท่านก็รู้ดี เพราะตัวท่านโดนมาแล้วใช่ไหม

เห็นคนปั๊บอันดับแรกจับจุดเดียว "ทุกข์หรือเปล่า" นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ และ "เวลาคุยกันไปคุยกันมาเดี๋ยวก็เลี้ยวเข้าหาทุกข์ ป่วยไหม ปวดหัวไหม ปวดหลังไหม" อันนี้ระวังเขาจะจับอริยสัจ เราปวดเขาก็นึกในใจว่าทุกข์

รวยขนาดไหนก็ทุกข์ "ตัวนี้เป็นตัวยืนของพระอริยะ" ถ้าสูงสุด "เขายืนตัวทุกข์ตัวเดียวเห็นว่าทุกอย่างมันทุกข์" แต่ว่าใจไม่ได้ทุกข์ไปด้วย ขันธ์ ๕ มันต้องทุกข์ สภาพของมันเป็นอย่างนี้ แต่ว่ามันพังเมื่อไรเราสบายเมื่อนั้น เราพร้อม

แต่ถ้ายังไม่พังก็แล้วกันไป ก็ให้มันเป็นประโยชน์ เวลาหิวหาข้าวให้มันกิน เวลาปวดท้องขี้ก็เดินไปส้วม มันใช้เรายุ่ง เราต้องใช้มันบ้าง เท่านั้นเอง นี่อารมณ์ปกตินะ ..
(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
ที่มาจาก.. ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๕๒ หน้าที่ ๓๕-๔๐


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO