นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 10:43 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: วิธีดูลมหายใจ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 09 พ.ค. 2017 5:03 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
"คนที่มีแฟนหน้าตาดีมาก
หล่อมาก สวยมาก มันก็เป็นทุกข์
เขาให้กินขี้ ก็ต้องกิน เพราะรักเขามาก
แฟนน่ะ หาพอดีๆ ก็พอ
หาคนขยันๆ ทำมาหากินดีกว่า
คนสวยๆ เอาแต่แต่งตัว
เปล่าประโยชน์ หาคนขยันดีกว่า"

-:-หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ-:-



"การศึกษาก็ดี
การครองเรือนก็ดี
การทำงานก็ดี
การปฏิบัติธรรมก็ดี
ขาดความอดทนอย่างเดียว
ก็ไม่สำเร็จ"

-:-พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ-:-





"เกิดมาแล้ว
อย่าให้รกโลกโดยเปล่า
เป็นอยู่ ให้ถือเอาประโยชน์
อย่าหนักโลก อย่าหนักหีบ
อย่าหนักฟืน อย่าหนักแผ่นดิน

ถ้าจะหนัก ให้หนักศีลธรรม
ให้หนักสติปัญญาอยู่ในจิตใจ

ผู้ใดมีธรรมะ ผู้นั้น
เป็นผู้ยังโลก ให้มีเครื่องประดับ
ยังตน ให้เป็นผู้อลังการ
ยังตน ให้ได้รู้ตน"

-:-หลวงปู่จาม มหาปุญโญ-:-





ปฏิบัติกันเถิด .....ตอนที่ ๒
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
วิธีดูลมหายใจ
จะดูลมหายใจเข้าออกก็เหมือนกัน ให้นั่งขาขวาทับขาซ้าย ให้ตัวตรง สูดลมเข้าไปให้เต็มที่ ให้หายลงไปให้หมดในท้อง สูดเข้าให้เต็มแล้วปล่อยออกให้หมดปอด อย่าไปบังคับมัน ลมจะยาวแค่ไหนจะสั้นแค่ไหน จะค่อยแค่ไหน ก็ช่างมัน ให้มันพอดีๆกับเรา นั่งดูลมเข้าลมออกให้สบายอยู่อย่างนั้น อย่าให้มันหลง ถ้าหลงก็ให้หยุด ดูว่ามันไปไหน มันจึงไม่ตามลม ให้หามันกลับมา ให้มันมาแล่นตามลมอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วก็จะพบของดีสักวันหนึ่งหรอก ให้ทำอยู่อย่างนั้นทำเหมือนกับว่าจะไม่ได้อะไร ไม่เกิดอะไร ไม่รู้ว่าใครมาทำ แต่ก็ทำอยู่เช่นนั้น เหมือนข้าวอยู่ในฉาง แล้วเอาไปหว่านลงดิน ทำเหมือนจะทิ้งหว่านลงในดินทั่วไป โดยไม่สนใจ มันกลับเกิดหน่อ เกิดกล้า เอาไปดำกลับได้กินข้าวเม่าขึ้นมาอีก นั่นแหละเรื่องของมัน
อันนี้ก็เหมือนกัน นั่งเฉยๆ บางครั้งก็จะนึกว่า "จะนั่งเฝ้าดูมันทำไมนะ ลมนี่น่ะ ถึงไม่เฝ้ามัน มันก็ออกก็เข้าของมันอยู่แล้ว" มันก็หาเรื่องคิดไปเรื่อยแหละ มันเป็นความเห็นของคน เรียกว่าอาการของจิต ก็ช่างมัน พยายามทำไปๆให้มันสงบ
เมื่อสงบ ลมหายใจก็จะพอดีของมัน
เมื่อมันสงบแล้ว ลมจะน้อยลง ร่างกายก็จะอ่อนลง จิตก็อ่อนลง มันจะอยู่พอดีของมัน จนกระทั่งว่านั่งอยู่เฉยๆเหมือนไม่มีลมหายใจเข้าออก แต่มันก็ยังอยู่ได้ ถึงตอนนี้ อย่าตื่น อย่าวิ่งหนี เพราะคิดว่าเราหยุดหายใจแล้ว นั่นแหละมันสงบแล้ว ไม่ต้องทำอะไรนั่งเฉยๆดูมันไปอย่างนั้นแหละ
บางทีจะคิดว่า เอ เรานี่หายใจหรือเปล่าหนอ อย่างนี้ก็เหมือนกัน มันคิดไปอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ช่างมัน ปล่อยไปตามเรื่องของมัน ไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกอะไรขึ้น ให้รู้มัน ดูมัน แต่อย่าไปหลงใหลกับมัน ทำไป ทำไป ทำให้บ่อยๆไว้ ฉันจังหันเสร็จ เอาจีวรไปตาก แล้วเดินจงกรมทันที นึก "พุทโธ...พุทโธ..." ไว้ นึกไปเรื่อย ตลอดเวลา เดิน เดินไป นึกไป ให้ทางมันสึก ลึกลงไปสักครึ่งแข้ง หรือถึงหัวเข่าก็ให้เดินอยู่อย่างนั้นแหละ
ให้ดู ให้รู้ แต่อย่าหลง
ไม่ใช่เดินยอกแยกๆ คิดโน่นคิดนี่เที่ยวเดียวก็เลิก ขึ้นกุฏิมองดูพื้นกระดาน เออ มันน่านอน ก็ลงนอนกรนครอกๆ อย่างนี้ก็ไม่เห็นอะไรเท่านั้น
ทำไปจนขี้เกียจทำ ขี้เกียจมันจะไปสิ้นสุดที่ไหน หามันให้เห็นที่สุดของขี้เกียจมันจะอยู่ตรงไหน มันจะเหนื่อยตรงไหน มันจะเป็นอย่างไรก็ให้ถึงที่สุดของมันจึงจะได้ ไม่ใช่จะมาพูดบอกตัวเองว่า สงบสงบ สงบ แล้วพอนั่งปุ๊บก็จะให้มันสงบเลย ครั้นมันไม่สงบอย่างคิดก็เลิก ขี้เกียจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีวันได้สงบ







"ลูกจงจำไว้ว่า เราให้การสงเคราะห์เขา
อย่าไปหวังว่าเขาจักต้องมาตอบแทน
บุญคุณหรือกตัญญูกับเรา เพราะถ้าเราหวังเราจะเสียใจ
จงให้แบบไม่หวังผลตอบแทน
เขาจะเห็นคุณเราหรือไม่
ลูกอย่าสนใจแล้วจะสบายใจ"

หลวงพ่อฤๅษลิงดำ วัดท่าซุง





ใจดี ก็เป็นสวรรค์แล้ว
ใจร้าย ก็เป็นนรกเดี๋ยวนี้แหละ
เพราะเหตุนี้จงทำให้ใจร่าเริง
อย่าไปทำให้ใจเศร้าหมอง ขุ่นมัว
มันจึงจะมีความสบาย จึงจะมีความสุข
เพราะฉะนั้น จึงควรทำความดี.

โอวาทธรรม...หลวงปู่ขาว อนาลโย






จิตตสังขารปรุงแต่ง

“...บุญและบาป อยู่ในใจเราคนเดียว เหมือนมีคน ๒ คนอยู่ในใจเรา ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ผลัดกันแสดงอาการออกมา

เวลาสงบก็มี “พุธโธ ธัมโม สังโฆ” อยู่ในใจ และนึกถึงพระอรหันต์อยู่ในใจ คนดีก็โผล่ขึ้นมาในใจ ก็นึกแต่สิ่งที่ดี พูดคุยแต่สิ่งที่ดี ก็แสดงอาการที่ดี ออกมาทางกายและวาจา

ถ้าขาดสติสัมปชัญญะ คนไม่ดีก็เกิดขึ้นมาแทน คิดแต่เรื่องไม่ดี ทำแต่เรื่องไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดี ทำแต่เรื่องที่ไม่สบายใจตลอดเวลา เขาเรียกว่า จิตตสังขารปรุงแต่ง เป็นบุญและบาป“ปรุงแต่ง”

เป็นบุญก็สบายใจเย็นใจ ถ้าปรุงแต่งเป็นบาปก็ทำให้จิตใจเร่าร้อน เป็นทุกข์ระทมขมขื่นใจ จิตตสังขารปรุงแต่งจิต ให้เป็นบุญและบาปอยู่สม่ำเสมอ ก็ต้องทำ “อุเบกขา” คือ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย สุขก็ทำเฉยๆ ทุกข์ก็ทำเฉยๆ ถือว่าเป็นธรรมดาที่คนเราก็มีอยู่ทุกวันทุกเวลา...”

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ





"...การทำใจให้เป็นสุขผ่องใสนั้น
ไม่มีใครทำให้ใครได้
เจ้าตัวต้องทำของตัวเอง

วิธีทำก็คือ
เมื่อเกิดโลภ โกรธ หลง ขึ้นเมื่อใด
ให้พยายามมีสติรู้ให้เร็วที่สุด
และใช้ปัญญายับยั้งให้ทันท่วงที
อย่าปล่อยให้ช้า

เพราะจะเหมือนไฟไหม้บ้าน
ยิ่งดับช้า ยิ่งดับยาก
และเสียหายมากโดยไม่จำเป็น..."

พระโอวาทธรรมคำสอน..
องค์สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวัฑฺฒโน)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
พระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์






ศีลนั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร..?

"...ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่าผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนาคือจิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มี ก็ไม่เรียกว่าคน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิต ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆ มีโทษต่างๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษจะเป็นปกติแนบเนียน ไม่หวั่นไหวไม่มีเลือนหลง

กายกับจิตเราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้มาจากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่กี่กาล ก็ได้ผลไม่กี่กาล

ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีลย่อมมีความสุข ผู้มีศีลจักมั่งคั่ง ไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียวนี้ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ผู้มีศีลแท้เป็นผู้หมดเวรหมดภัย..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต




"เล่าเรื่องหลวงปู่ชอบ ฐานสโม"

" .. ญาติโยมวัดบวรนิเวศวิหารและวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์เล่าว่า "เคยได้ประจักษ์ในอิทธิฤทธิของการปฏิบัติพระพุทธศาสนา ที่เกี่ยวกับท่านพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม" และเคยเล่าให้ฟังด้วยความปิติโสมนัสมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

"ขอนำมาบันทึกไว้เพื่อให้บรรดาผู้สนใจในเรื่องอิทธิฤทธิปาฏิหาริย์ได้ซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา" ที่เป็นเพียงจุดเล็กน้อยนักเมื่อเปรียบเทียบกับความยิ่งใหญ่แห่งพระธรรมคำทรงสอน ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงนำให้มีผู้รู้ตามเสด็จ "ได้พ้นทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ได้เป็นผู้ชนะที่ไม่กลับแพ้อีกต่อไป"

เรื่องที่ปรากฏประจักษ์แก่ญาติโยม "วัดญาณสังวรารามฯ เมื่อ ๒๐ - ๓๐ ปีมาแล้ว เมื่อท่านพระอาจารย์หลวงปู่ชอบ ท่านยังมีชีวิตอยู่" ยังมิได้ละสังขารไปเช่นขณะนี้ "ครั้งนั้นเกิดฝนแล้ง น้ำตามอ่าง ตามห้วยในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯ แห้งขอด ผู้คนเดือดร้อน"

ญาติโยมผู้หนึ่ง "นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่หลวงปู่ท่านเคยเป็นพญานาคราช ที่ได้ยินผู้เล่าให้ฟัง โดยไม่เคยได้ฟังโดยตรงตรงจากหลวงปู่ท่าน เพราะไม่เคยรู้จักท่าน" เรื่องที่เคยได้ยินก็คือ "ที่ใดน้ำแล้งและหลวงปู่ได้รับอาราธนาไปโปรด พญานาคจะตามท่านไปทั้งครอบครัว ช่วยให้น้ำฟู่ฟู่ เต็มไปทุกแห่ง"

ช่วงที่น้ำแห้งทั่ววัดญาณสังวรารามฯ นั้น "หลวงปู่ท่านไปโปรดผู้คนตามคำอาราธนาที่อเมริกา เป็นเหตุให้ลังเลกันอยู่เหมือนกันว่า หลวงปู่ท่านจะได้รับทราบคำร้องขอให้ท่านช่วยแก้ความเดือดร้อนเรื่องขาดน้ำหรือไม่" เพราะท่านไปอยู่ไกลถึงต่างประเทศ แต่ด้วยความเดือดร้อนจริง ๆ จึงตัดสินใจขอท่าน

โดยรวมกันอ่านคำขอพร้อมกัน เป็นความจริงที่เล่ากันว่า "เพียงผู้เขียนคำขอหลวงปู่จรดปากกาลงบนกระดาษเท่านั้น ฟ้าก็ลั่นสนั่นไปแล้ว เป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างยิ่งในหมู่ผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์"

ซึ่งเล่าต่อไปว่า "เมื่อเขียนคำอ้อนวอนขอน้ำจากหลวงปู่จบ พร้อมกันอ่านเพียงสั้น ๆ ฝนก็กระหน่ำหนักทันที ลูกเห็บตกเกรียวกราว เป็นที่รู้เห็นกันทุกถ้วนหน้า ความปิติตื่นเต้นยินดีพ้นจะพรรณนา ไม่กี่นาทีน้ำในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯ ก็เต็มทั่ว"

เป็นความกรุณาที่ยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้ของหลวงปู่ท่าน "ทุกคนซาบซึ้งเช่นนี้และมีผู้หนึ่งเล่าในภายหลังว่า ตั้งใจไปกราบขอบพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่าน" ทั้งที่ไม่เคยรู้จักท่านเลย รู้แต่ว่าขณะนั้นท่านอยู่อเมริกา

ความตื่นเต้นซาบซึ้งในพระเดชพระคุณท่วมท้นจริงใจ "ทำให้น้อมใจไปสัญญากับหลวงปู่ท่านว่า ท่านกลับจากอเมริกาเมื่อใด อยู่ที่ไหน จะไปกราบสนองความเมตตา" อย่างไม่น่าเป็นไปได้ของท่าน บรรดาผู้กราบขอรบกวนท่านนั้น ไม่มีผู้ใดรู้จักท่านมาก่อนเลย

"เพียงได้ยินชื่อเสียงและกิติศัพท์ความเคยเป็นพญานาคราช ในอดีตชาติของท่านเท่านั้น" และเป็นยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ หลังเหตุการณ์ที่ฝนตกตามคำขอของญาติโยมวัดญาณสังวรารามฯ มาแล้ว ไม่นานวันขณะที่ญาติโยมพวกนั้นกลับจากวัดญาณสังวรารามฯ ไปรวมอยู่ใน ห้องกระจก วัดบวรนิเวศวิหาร

"มีสุภาพสตรีผู้หนึ่งเปิดประตูเข้าไปยืน พร้อมกับพูดขึ้นมาลอย ๆ ไม่เจาะจงว่าพูดกับผู้ใด" เธอพูดว่า "หลวงปู่ชอบ ท่านมาให้บอกห้องกระจกว่า ท่านมาแล้ว จะให้ท่านพักที่ไหน"

สุภาพสตรีผู้นั้นพูดเช่นนั้นจริง ๆ "ไม่มีผู้ใดเคยพบเธอมาก่อนว่า เป็นใครมาจากไหน" เธอไม่เคยเข้าไปในห้องกระจก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเธอ "แต่เธอก็เป็นผู้นำคำบอกเล่าที่ตื่นเต้นแปลกใจที่สุดสำหรับพวกเรา"

ทุกคนไม่ถามอะไรทั้งสิ้น "ลุกขึ้นพร้อมกันตามเธอออกประตูห้องกระจก ทันทีและที่หน้าห้อง "ตรงทางไปสู่ศาลา ๑๕๐ ปี ทุกคนก็ได้เห็นท่านพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม นั่งหน้าสงบเฉยอยู่ในเก้าอี้เข็นที่ท่านนั่งเป็นประจำ" เพราะท่านไม่เดินนานปีแล้ว

เมื่อญาติโยมจากห้องกระจก เห็นตื่นเต้นเข้าไปกราบท่าน "ท่านก็มองเฉย ๆ มิได้แสดงอะไรทั้งสิ้น เพราะท่านก็มิได้รู้จักญาติโยมเหล่านั้นสักคนเดียว" การที่สุภาพสตรีผู้นั้นบอก "เมื่อเข้าไปในห้องกระจก เป็นที่อัศจรรย์ใจ ผู้รับฟังทุกคน หลวงปู่ชอบ ท่านมาให้บอกห้องกระจกว่า ท่านมาแล้ว จะให้ท่านพักที่ไหน"

เป็นไปได้อย่างไร "ราวกับท่านได้รับคำบอกกล่าว จากพวกห้องกระจกว่า มุ่งมั่นจะได้กราบท่านด้วยความสำนึกในพระเดชพระคุณอย่างจริงใจ ที่ท่านกรุณาให้น้ำตามคำขอ" ทั้งที่ท่านอยู่อเมริกาแสดงว่า "หลวงปู่ท่านได้ทราบถึงใจกตัญญูรู้คุณของผู้ที่ซาบซึ้งพระคุณของท่านที่สุด"

จึงได้ตั้งใจจริงว่า "จะไปกราบสำนึกพระคุณของท่านที่ให้น้ำตามคำขอและที่ท่านอุตสาห์ไปถึงวัดบวรนิเวศวิหาร ไปถึงผู้อธิษฐานจิต ที่เพียงคิดในใจ" และมิได้บอกกล่าวผู้ใดก่อนนั้นเลย ท่านมาและตรงไปที่ห้องกระจก "ทั้งยังบอกให้รู้ว่า ท่านมาแล้ว" ใครฟังก็เหมือนมีผู้ไปอาราธนาท่านมา ท่านจึงมา

เป็นความชื่นใจของผู้ได้รับอย่างพ้นพรรณนา "หลวงปู่ท่านเมตตาอะไรเพียงนั้น ไม่ทำให้ต้องลำบากไปหาท่าน ท่านสู่มาหาถึงที่ทีเดียว ไม่ให้ซาบซึ้งไม่ให้ตื่นเต้นไม่ได้แล้ว หลวงปู่ท่านต้องรู้ ต้องเห็นจิตใจของผู้สำนึกในพระเดชพระคุณท่านแน่" จึงเมตตามาอนุโมทนา .. "
แสงส่องใจ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๗
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO