นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 12:07 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 06 พ.ค. 2017 5:51 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
..=>คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "สมาธิกับปัญญาต้องขนานกัน"<=..

.. อย่าลืมว่า "สมาธินี่มันมีอารมณ์
ไม่แน่นอน" มันขึ้นอยู่กับกำลังของ
ร่างกาย ทางที่ดีขอบรรดาญาติโยม
พุทธบริษัท ใช้ปัญญาควบคู่กันไป
"สมาธิกับปัญญาให้ขนานกัน"

ปัญญามีว่า ถ้าขณะใดจิตเริ่ม
เป็นสุข มีความสุขสบาย ต่อไปจิต
จะถอยลง จิตจะเคลื่อนจากสมาธิ
มีอารมณ์ลดลง ความสุขน้อยลง
ความสงัดลดลง เราจะเริ่มขยับทำ
จิตให้เสมอเก่าทำไม่ได้

อย่างนี้ก็จงอย่าฝืนเพราะกำลัง
มันตกแค่นั้น ในเมื่อมีสภาพอย่างนั้น
เราก็ใช้ปัญญาเข้าแทน นี่ตอนนี้คิด
ได้แล้ว ก็ใช้ปัญญาพิจารณา คือ
พิจารณาร่างกายเราเป็นสำคัญ

ให้มีความรู้สึกเปรียบเทียบว่า
ร่างกายของเรากับร่างกายของ
บุคคลอื่นมีสภาพเหมือนกัน ก็เอา
แบบง่ายๆ แต่ว่าสูงสุดอย่างที่
พระพุทธเจ้าสอน "พระติสสะ"
เหมือนกันหมด

ไม่มีใครนอนหลับตายเสมอ
แบบเงียบๆ คนที่เขาหลับไม่ตื่น
ทุกขเวทนามันหนัก แล้วก็ตื่นมา
พูดไม่ได้ เวลานั้นจิตใจก็จะโปร่ง
จากกิเลส เพราะมันเต็มไปด้วย
ทุกขเวทนา นึกถึงความรักก็ไม่ไหว

คิดถึงความรวยก็ไม่ไหว
คิดถึงความโกรธก็ไม่ไหว คิดถึง
ความหลงก็ไม่ไหว จะหลงร่างกาย
ก็หลงไม่ได้ ต่อมาก็มีความคิดว่า
ร่างกายที่เป็นทุกข์เป็นโทษ อย่างนี้
ที่เราเคยคิดอารมณ์ชิน

เราไม่ต้องการมันอีก เราขอเกิด
และตายชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
อารมณ์นั้นเป็นอารมณ์จริงจัง ถ้า
อารมณ์อย่างนี้เกิดขึ้น "เวลานั้น
ความเป็นอรหันต์ จะมีกับท่าน"
ตายคราวนั้นก็พร้อมไปนิพพาน ..

(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
ที่มาจาก.. โอวาทหลวงพ่อฯ เล่ม ๕





"คนเราประมาทในบุญเล็กน้อย
เมื่อตายไปแล้ว จะมาทำบุญกุศลน่ะ
มันยากนะ

ยากยังไง กายไม่เหมือนกายมนุษย์
จะมาพูดกับมนุษย์ก็ไม่ได้ จะมาใส่บาตร
ทำบุญก็ไม่ได้

อย่างดี ก็มายืนคอยโมทนาเท่านั้น"

-:-ท่านพ่อลี ธมฺมธโร-:-





"ในยามที่โลกกำลังร้อน
เราจึงไม่ควรร้อนตามโลก
แต่ควรมีธรรมเป็นที่พึ่ง
เพื่อให้เรามีพลังในการดำเนินชีวิต
และทำประโยชน์แก่โลก
ได้อย่างสร้างสรรค์

ไม่ว่าโลกจะร้อนเพียงใด
แต่ธรรมนั้น ร่มเย็นเสมอ
เมื่อใดใจถึงธรรม
ความสงบเย็นภายใน
ก็เป็นไปได้ แม้โลกภายนอก
จะร้อนรุ่มเพียงใดก็ตาม"

-:-พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล-:-






ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น
ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี
ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด
อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา
หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้จัก เรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน
เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม? ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร?
นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง
เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต
คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้
นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ
ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า
ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวาน นี้เสียแล้ว
นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เรา
พิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบันเท่านี้ก็พอแล้ว
ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย
อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย
และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว
อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง

คนหนึ่งพูดว่า : กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้เกิด

ท่านอาจารย์ชา : นั่นแหละยิ่งดี กลัวมันจะเกิดเสียด้วยซ้ำไป

หลวงพ่อชา สุภัทโท







บ้านที่แท้จริง

บ้านข้างนอก ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง
เป็นบ้านสมมติ บ้านอยู่ในโลก
ส่วนบ้านที่แท้จริงของเรา คือ ความสงบ
พระพุทธเจ้าทรงให้สร้างบ้านเรือนตัวเอง โดยวิธีปล่อยวางให้มันถึงความสงบ

หลวงปู่ชา สุภทฺโท









มนุษย์ ๗ จำพวก (หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)

*
มนุษย์ทั้งหลายมี ๗ จำพวก มนุษย์มี ๗ อย่าง

(๑) มนุสสติรัจฉาโน ทำไมจึงว่ามนุสสติรัจฉาโน
ดูซิ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน
คือมันขี้เกียจขี้คร้าน รับอาหารแล้วก็นอน
ไม่รู้จักการกราบ ไม่รู้จักการไหว้ ไม่รู้จักการรักษาศีลภาวนา
ทำบุญให้ทานอะไร เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานน่ะ
มนุษย์เช่นนั้นแหละตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ดูเอาซิ พิจารณาเอาซี ร่างกายเป็นมนุษย์แต่หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน

*
(๒) มนุสสเปโต ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่หัวใจเป็นเปรต
มันมีแต่โมโหโทโส อยากฆ่า อยากฟัน
ความทะเยอทะยานดิ้นรน มีพยาบาทอาฆาตจองเวร
ดูซิ ใจมันมีอาฆาต นี่แหละมนุสสเปโต
ร่างกายเป็นมนุษย์ เมื่อดับขันธ์ไปแล้วก็ไปเป็นเปรต

*
(๓) มนุสสนิรเย ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นนรก
หัวใจเป็นนรก คือมันมืด มันกลุ้มอกกลุ้มใจ ให้ทุกข์ให้ร้อน
ดูเอาซิ นั่นแหละนรก ดับขันธ์ไปแล้วก็ไปนรกซี่
ได้รับความทุกข์ยากความลำบากรำคาญ นี่มนุษย์เช่นนี้
ทีนี้ถ้าไม่ไปเป็นอย่างนั้น เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า
หัวใจต่ำช้า อย่างอธิบายมาแล้ว ต่ำช้ายังไงล่ะ
เป็นใบ้บ้าเสียจริต หูหนวกตาบอด ปากกืด กระจอกงอกง่อย
ขี้ทูดกุฏฐัง ตกระกำลำบาก แน่ะ มนุษย์หัวใจเป็นยังงั้น
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์อีกก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า
ดูซิ ใจเราทุกคน ไม่ว่าพระว่าเณร ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย
เอ้าดู อธิบายให้ฟัง ถ้ามันเป็นอย่างนั้นเราไม่ต้องการก็เลิกก็ละเสีย
ให้รู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักผิดรู้จักถูก รู้จักฟัง อธิบายให้ฟัง

*
(๔) มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นเทวธิดา เทวบุตร
หัวใจมีทาน มีศีล มีภาวนา รู้จักเคารพนอบน้อม รู้จักกราบรู้จักไหว้
ใจมีหิริโอตตัปปะ ละอายบาป กลัวบาป ใจเบิกบาน ใจสว่างไสว ใจดี
ดับขันธ์ก็ไปเป็นเทวบุตรเทวธิดา เรื่องเป็นอย่างนั้น ดูเอาซิ

*
(๕) มนุสสพรหมา ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม หัวใจเช่นใด
มีพรหมวิหาร มีพรหมวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่
หัวใจว่างไม่มีอะไร เหมือนกะอากาศนี้แหละ ว่างเปล่าหมด
เหลือแต่อรูปจิต ดับขันธ์ไปเป็นพรหม ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม
อยากรู้ก็ดูเอาซิ ที่อยู่ของเราเป็นอย่างนี้ มนุษย์ทั้งหลาย

*
(๖) มนุสสอรหัตโต ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระอรหันต์
คือละกิเลส ละตัณหา กิเลสคือใจเศร้าหมอง
ตัณหาคือใจทะเยอทะยานดิ้นรนกระวนกระวาย
ท่านละกิเลสตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา
ตัณหาอุปาทาน ภพชาติ ละขาดในสันดาน ไม่มีสิ่งเหล่านี้ในจิตใจ
เมื่อดับขันธ์ไปก็เข้าสู่นิพพาน ดับทุกข์ในวัฏสงสาร
ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็เป็นแต่มนุษย์ ได้แต่มนุษย์ซิ

เราจึงมาฝึกหัดอบรมบ่มนิสัยของเรา เพ่งเล็งดูซิ
เราอย่าดูอื่น เรานั่งอยู่ก็นั่งดูใจของเรา ไม่ได้ดูดินฟ้าอากาศนะ
ใจของเรามันเป็นอย่างไร เหมือนที่อธิบายให้ฟังไหมล่ะ
มันไม่ดีตรงไหนก็แก้ไขซิ ทีนี้

*
(๗) มนุสสพุทโธ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรานี้
ว่าเรื่องภพเรื่องชาติของท่าน บิดามารดาของท่านก็มี
บุตรภรรยาท่านก็มี ท่านเป็นมนุษย์ครือเรานี่แหละ
แต่ท่านประพฤติปฏิบัติ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
เป็นสยัมภู ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
ไม่มีบุคคลผู้ใดหรือใครแนะนำพร่ำสอน รู้ด้วยตนเองเป็นสยัมภู
รู้แจ้งแทงตลอดหมดซึ่งสารพัดเญยยะธรรมทั้งหลาย ไม่มีที่ปกปิด
สัตว์ทั้งหลาย ตนของท่าน บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ญาณความรู้ความเห็นในบุพพชาติเบื้องหลัง
เป็นอะไรๆ มา ท่านรู้หมด เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
จุตูปาตญาณ จุติจากนี้ไปอยู่ในภพชาติใด ภพน้อยภพใหญ่
ท่านรู้หมด คือเหมือนอธิบายให้ฟังนี้
อาสวักขยญาณ สิ้นจากภพจากชาติท่านก็รู้หมด








".....ถ้าใครภาวนา ความคิดความรู้มันเกิดขึ้น เป็นของตัวเอง ของใครของมัน ให้กันบ่ได้ มันบ่คือวัตถุ วัตถุเอาให้กันได้ ส่วนธรรมบอกได้ หากผู้นั้นรับได้ หากบ่รับ ก็บ่มีความหมาย"

โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ







อย่าลืมตน ให้สำนึกตน
ให้ดูตน อย่าไปดูผู้อื่น อย่าเพ่งโทษผู้อื่น
ใครทำไม่ดี ก็เป็นโทษของเขา โทษของผู้อื่น
จะได้รับความทุกข์ ก็แม่นตน
ได้รับความสุข ก็แม่นตน
เขาทำดี เขาก็ได้รับความสุขของเขาเอง.
หลวงปู่ขาว อนาลโย






ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑๐๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑๐๐
ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๙๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๙๐....
....ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑
ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีทุกข์
เรากล่าวว่า ผู้นั้นไม่มีความโศก
ปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่มีอุปายาส ฯ
ปาฏลิคามิยวรรค [วิสาขาสูตร]








" การเดินทาง ของชีวิต "

ในทางพุทธศาสนาเชื่อว่า
การเดินทางของคนบนโลกนี้มี 4 รูปแบบ คือ..

1. มืดมา มืดไป .. คือบุคคลที่เกิดมาพร้อมบาปกรรมติดตัว ช่วงที่มีชีวิตอยู่ก็ไม่เคยละกิเลส ทำบุญสร้างบารมี ครั้นตายไปกิเลสจึงชักนำไปยังภูมิต่ำ

2. สว่างมา มืดไป .. คือบุคคลที่แม้จะเกิดมาพร้อมกับบุญบารมีในอดีตชาติ แต่กลับใช้ชีวิตในทางเสื่อม เมื่อตายไปกิเลสที่พอกหนาในจิตใจจึงชักนำไปยังภพภูมิต่ำ

3. มืดมา สว่างไป .. คือบุคคลที่เกิดมาลำบากยากแค้นเพราะผลกรรมในอดีต แต่ใช้ชีวิตเพื่อขัดเกลากิเลส สร้างแต่คุณงามความดี เมื่อตายไปบุญบารมีจึงนำไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น

4. สว่างมา สว่างไป .. คือบุคคลที่เกิดมาพร้อมกับบุญบารมีแต่ชาติปางก่อน แต่ก็ไม่ประมาทชีวิต หมั่นละ เลิกกิเลส เมื่อตายไปจึงไปสู่ภพภูมิที่ดียิ่งขึ้น








เราไปที่ใด เกิดที่ใด
ผลทานที่เราให้ไปนั่นแหละ
จะตามสนับสนุนเรา
ให้เป็นคนมีความสุขความเจริญ
นึกอะไรก็ไหลมาเทมา

เพราะเราเคยให้มาแล้ว
สิ่งที่ให้ไปนั้นคือมิตร คือสหาย
สิ่งที่พึ่งเป็นพึ่งตายของเรา

เมื่อเรานึกถึงผลทานย่อมไหลมาเทมา
เมื่อนึกถึงบุญต้องมา
เพราะเป็นของของเรา
ที่เคยสร้างไว้แล้วให้ไปแล้ว
ต้องกลับมาสนองตัวเราโดยไม่ต้องสงสัย
.
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO