นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 8:01 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: วิธีเข้าหาผู้รู้
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 03 พ.ค. 2017 5:43 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
“วิธีเข้าหาผู้รู้ เข้าหาครูบาอาจารย์ เข้าหาพระธรรมคำสอน”

การศึกษาการฟังเทศน์ฟังธรรมจากผู้รู้จริงเห็นจริง เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งกับผู้ที่ยังไม่มีศรัทธาและผู้ที่มีศรัทธาแล้ว ถ้าท่านไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ก็อาศัยคำสอนที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ เป็นหนังสือเป็นซีดี อาศัยฟังคำสอนของท่านเหล่านี้ได้ ดีกว่าไปฟังคำสอนของผู้ที่ไม่รู้จริงเห็นจริง คือสอนแล้วก็อาจจะทำให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวได้

ดังนั้นเราต้องเรียนจากผู้รู้จริงเห็นจริงคือพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่มีคำสอนจารึกอยู่ไว้ในหนังสือและในสื่อต่างๆ ถ้าเราไม่สามารถพบกับพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ได้ก็อาศัย คำสอนของพระอรหันต์ที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว คำสอนนี้แหละเป็นตัวสำคัญไม่อยู่ที่ตัวท่าน ว่าท่านมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถ้ากราบพระอรหันต์ที่เป็นใบ้ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร ท่านจะไม่สามารถสอนอะไรเราได้ ได้แต่อย่างมากก็ไปกราบท่านเฉยๆ เท่านั้นเอง

ดังนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลแต่อยู่ที่คำสอนของบุคคล ถ้าไปกราบพระอรหันต์แล้วท่านไม่สอน ก็เหมือนกับไปกราบพระพุทธรูปดีๆนี่เอง ไม่ได้อะไร ไม่ได้รับฟังคำสอน ได้เพียงแต่ได้กราบไหว้เท่านั้นเอง

ดังนั้นเวลาที่เราเข้าหาพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนี้ เราต้องการเข้าไปหาคำสอนเป็นหลัก ไม่ต้องการไปขอน้ำมนต์ ไม่ต้องการไปขอวัตถุมงคล ไม่ต้องการอะไรต่างๆจากท่านนอกจากคำสอนของท่านเท่านั้นเอง แม้แต่รอยยิ้มของท่านก็ไม่ต้องการ ท่านจะด่า ท่านจะว่าเรา ถ้าเป็นธรรมเราควรที่จะน้อมเข้ามารับอย่างเต็มหัวใจ น้อมเพื่อนำเอาไปปฏิบัติ ไม่ใช่พอท่านไม่ยิ้มให้เรา ท่านด่าเราเท่านั้นก็กระเจิงไปเลย ถอยรูดไปเลย ไม่ยอมกลับมาอีกเลย อันนี้แสดงว่าไปไม่ถึงพระอรหันต์ จะไปหาแต่รูปอยากจะไปดูหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส คิดว่าพระอรหันต์ต้องเมตตาด่าไม่ได้ พอด่าก็เลยไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย อันนีก็มีคนบางคนเป็นแบบนั้น พอไปเจอพระอรหันต์ที่พูดจาไม่เสนาะหูเท่านั้นก็ถอยรูดกลับไปเลย อันนี้เพราะว่าไม่มุ่งไปหาธรรมะนั่นเอง ไม่ได้มุ่งไปหาคำสอนมุ่งไปหาที่รูปงาม หน้าตาที่งาม รอยยิ้มงาม เห็นแล้วปลื้มปิติ มีความสุข

อันนี้ก็คือวิธีเข้าหาผู้รู้ เข้าหาครูบาอาจารย์ เราไม่ต้องการอะไรจากตัวท่าน นอกจากคำสอนของท่านเพียงอย่างเดียว คำสอนของท่านจะมาในรูปแบบ ยกย่องสรรเสริญก็ดี หรือดุด่าว่ากล่าวก็ขอให้น้อมเอาเข้ามาเพราะเป็นคำสอนเหมือนกัน จะให้สอนด้วยวิธียกย่องสรรเสริญเพียงอย่างเดียวมันก็ทำให้เราหลงได้ บางทีท่านก็ต้องแก้ความหลงของเรา ด้วยการดุด่าว่ากล่าวตักเตือนบ้าง จะได้ทำให้เราไม่หลงไหลคลั่งไคล้จนเกินไป

นี่คือเรื่องของการเข้ามาหาครูบาหาอาจารย์ มาฟังเทศน์ฟังธรรมมาศึกษาธรรม เพื่อจะได้เห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้เกิดฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ที่จะน้อมนำเอาคำสอนของพระพทุธเจ้าไปปฏิบัติ เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะสามารถทำให้จิตใจของพวกเรา หลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ มีแต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ถ้าเราปรารถนาหลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็ต้องเข้าหาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงอย่างเดียว เราต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างไปให้หมด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่นี้เป็นตัวที่ดึงให้เราติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง

จึงขอให้ท่านพยายามเข้าหาผู้รู้ หมั่นฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่อย่างสม่ำเสมออยู่อย่างต่อเนื่อง แล้วนำเอาคำสอนนี้ไปปฏิบัติแล้วผลต่างๆ ที่ดีที่งาม เช่นมรรคผล นิพพานก็จะเป็นผลที่จะตามมาต่อไปอย่างแน่นอน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๘






ถาม : ผมจะบวช พ่อแม่อยากให้อยู่วัดบ้าน แต่ครูอาจารย์อยากให้อยู่วัดป่า และมีพระบางรูปบอกว่าอยู่ไหนมันก็สถานที่เหมือนกัน การปฏิบัติมันขึ้นอยู่ที่ตัวเรา ตอนนี้ผมสับสนว่าจะบวชแล้วอยู่ที่ไหนดีครับ

พระอาจารย์ : วัดก็เป็นเหมือนโรงเรียน โรงเรียนก็มีหลายแบบไม่ใช่หรือ ใช่ว่าโรงเรียนทุกโรงเรียนเหมือนกันที่ไหน เวลาเราบวช เราก็ต้องมีครู มีอาจารย์ ที่สอนเรา ครูบาอาจารย์เก่ง หรือไม่เก่ง มันก็ต้องเลือกวัด ถ้าเราอยากจะได้ผลดีจากการปฏิบัติที่ดี ก็ต้องหาครูบาอาจารย์ที่เก่ง เพราะมันไม่ได้อยู่ที่ตัวเราคนเดียว ถึงแม้เราจะปฏิบัติดี แต่ถ้าไม่มีคนสอนให้ปฏิบัติที่ถูกต้อง เราก็ปฏิบัติที่ถูกต้องไม่ได้

เหมือนกับไปเรียนหนังสือ ทำไมเราถึงต้องไปแย่งเข้าโรงเรียนดีๆกัน อยากเข้าไปเรียนโรงเรียนสาธิตกัน ใช่มั๊ย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราอยากบวชแล้วได้ผลดี เราก็ต้องไปหาวัดที่มีครูบาอาจารย์ดีๆ วัดที่มีครูบาอาจารย์ดีๆส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัดป่า เพราะว่าท่านจะเน้นการศึกษาจากการปฏิบัติกัน ถ้าไปบวชตามวัดบ้าน ท่านจะไม่เน้นการศึกษาจากการปฏิบัติ ท่านจะเน้นการทำกิจกรรมกัน ทำบุญบังสังสวด สวดสังฆทาน สวดศพ อะไรกันอย่างนี้ ก็จะไม่ได้ศึกษาไม่ได้ปฏิบัติ

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ 27 เมษายน 2560






"เราไม่สามารถ
ทำให้ผู้อื่น เป็นดั่งใจเราได้

แต่เราสามารถ
ปรับใจของเรา ให้ยอมรับ
ในตัวตน ที่เขาเป็นได้

อย่าไปติใคร
ให้ติ ที่ตัวเราเอง"

-:-หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ-:-






"พากันจำให้ดีนะ ความดีเท่านั้น
ที่จะต้านทานความชั่ว ความทุกข์
ความทรมาน ทั้งหลายได้

ไม่ว่าภพนี้ ภพหน้า
ภพไหนก็ตาม มีความดีเท่านั้น
ที่จะถอดตัวของเรา หรือถอนตัวของเรา
ออกจากกองทุกข์ได้ นอกนั้นไม่มี"

-:-หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน-:-







จงยึดความลำบากของพระพุทธเจ้านำมาเป็นสักขีพยานแก่ตนเอง การประพฤติปฏิบัติธรรมของพระองค์รู้สึกว่าหนักมากยิ่งกว่าพวกเราเป็นไหนๆ ดังที่เคยอธิบายให้ฟังหลายครั้งแล้ว เพราะความเป็นสัพพัญญู เป็นสยัมภู ทรงปฏิบัติโดยลำพังพระองค์เอง บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอย่างนั้น ผู้ที่จะบุกเบิกทางเดินให้สัตว์ทั้งหลายไปด้วยความราบรื่นปลอดภัย ในขั้นต้นแห่งการบุกเบิกเพื่อความเป็นศาสดาและนำธรรมมาสอนโลก เป็นความลำบากขนาดไหน เพราะทางไม่เคยเดิน การจะเป็น สยัมภูก็ต้องปฏิบัติโดยลำพังพระองค์เองแบบ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โดยแท้ ไม่หวังพึ่งใคร

สุขทุกข์ลำบากลำบนแค่ไหนก็ต้องทน และทรงบำเพ็ญไม่ลดละท้อถอย ดังที่ทราบกันว่าทุกข์ถึงขั้นสลบไสลจนถึงสามครั้ง ไม่ใช่เพียงครั้งหนึ่งครั้งเดียวเสียด้วย สมมุติว่าให้พวกเราองค์หนึ่งองค์ใดสลบเพราะความเพียรกล้าดังพระองค์ในขณะนี้ จะพอมีองค์ใดกล้ารับไหม ขอตอบแทนได้เลยว่า จ้างๆๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับ แต่จะได้ยินเสียงไม่เป็นท่าดังขึ้นทันทีว่า ยอมแล้วๆ หมอบราบแล้วๆ ถ้าจะให้สลบแบบพระพุทธเจ้าละก็ จะขอวิงวอนให้กิเลสทั้งมวลนับแต่ปู่ย่าตายายลงไปถึงเหลนตัวเล็กๆ แดงๆ ของกิเลสมา กุสลา มาติกา เอาไปเป็นทาสเช็ดมูตรเช็ดคูถให้มันยังจะเบากว่าการสลบเป็นไหนๆ ต๊าย ตาย ไม่เอาๆ ถอยพวกเราถอย วิ่งพวกเราวิ่ง ถ้าลงเป็นแบบนี้ นี่คือเสียงอุทานของพวกเราจะโผล่ขึ้นในท่ามกลางที่ประชุมเวลานี้

เมื่อเป็นเช่นนี้จะพอเห็นคุณค่าแห่งความเพียรของพระองค์บ้างไหม ลองคิดดู ตรองดู เทียบเคียงดูขณะนี้ บางทีอาจเป็นประโยชน์มีใจฮึกหาญขึ้นมาบ้าง พระพุทธเจ้าถ้าไม่ได้ทุ่มเทพระอาการทุกส่วนลงถึงขนาดที่ว่า เอา ตายก็ตาย สลบก็สลบ เมื่อไม่ฟื้นจะตายก็ตายไป เมื่อไม่ตายให้ได้ชัยชนะเป็นศาสดาโดยถ่ายเดียว ไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น ถ้าพระทัยไม่มีความเข้มแข็งถึงขนาดนั้น ก็ต่อสู้กิเลสไม่ได้และเป็นศาสดาของโลกไม่ได้ พวกเราพึงนำมาเทียบกับตัวเองเพื่อถือเอาประโยชน์ แม้ไม่ได้แบบท่านทุกกระเบียดก็พอจะมีหลักยึด สมคำที่เปล่งระลึกถึงท่านว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ บ้าง

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
ยอมตายกับความเพียร







ฆราวาสมีลูก มีผัว มีเมีย อาจจะเป็นพระอริยะ..เข้าใจให้ถูก เกี่ยวกับฌาณสมาบัติ

อย่าลืมนะว่าอภิญญาโลกีย์วิสัย เรียกว่าฌานโลกีย์ มีผัวมีเมียได้ ไม่ใช่ว่านักเจริญกรรมฐานต้องเลิกจากผัวต้องเลิกจากเมีย ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเรื่องของศีลเขาไม่ขาดละก็เขาทำของเขาได้ แต่พระโสดา สกิทาคา เขายังครองเรือนได้ ยังมีลูกมีเต้าได้ แต่สำหรับพระอนาคามีเท่านั้นแหละ ถึงแม้ว่าจะอยู่บ้าน ก็อยู่อย่างไม่มีความหมาย เพราะว่าความรู้สึกทางเพศไม่มี นี่ส่วนที่เป็นฆราวาส อย่าว่าแต่ฌานโลกีย์เลย แม้แต่พวกที่ได้โลกุตตระ คือ เป็นพระอริยเจ้ายังอยู่ได้ ถึงพระอนาคามี นี่บรรดาลูกหลานทั้งหลายที่ฟังอาจจะสงสัยว่าคนที่ได้ฌานโลกีย์ ได้กสิณ ได้อภิญญาแล้วทำไมจะมามีลูกมีเมียเป็นฆราวาสอยู่ ทำไมไม่บวช เรื่องของการบวช เรื่องสมณวิสัยนี่มันคนละเรื่อง ฉันว่ามีความจำเป็นน้อย คนที่เป็นชาวบ้านจะทำความดีนี่ไม่จำเป็นต้องเป็นพระ ชาวบ้านทำความดีได้ ชาวบ้านเป็นพระอริยเจ้าก็ได้ อย่าว่าแต่ฌานโลกีย์เลย...
ถมเถไป

สมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พระไปเจริญพระกรรมฐานในป่าก็มีความอดอยาก บางวันท่านคิดว่าพรุ่งนี้ถ้าเราได้กินข้าวต้มสักนิดก็จะดี ก็ปรากฏว่ามีโยมผู้หญิงคนหนึ่งนำข้าวต้มมา บางวันท่านคิดว่าพรุ่งนี้มีอะไรสักหน่อยหนึ่งที่ท่านชอบใจได้กินก็จะดี โยมคนนั้นก็นำมา พระก็สงสัย ถามแก ๆ ก็ไม่ตอบ ต่อมาเมื่อกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าคน ๆ นั้นเขาได้อนาคามีผล และก็เป็นขั้นปฏิสัมภิทาญาณเสียด้วย นี่จะว่าพระจะดีกว่าฆราวาสเสมอไปน่ะ ไม่แน่นักนะ นั่นพระยังเป็นโลกียชน แล้วคน ๆ นั้นเขาเป็นพระอริยเจ้าขั้นอนาคามีบุคคล พระทันเขาที่ไหน



( หลวงพ่อปาน โสนันโท )







หากอยากพ้นทุกข์
ทุกอิริยาบถต้องเป็นความเพียร

"เราเดินบิณฑบาต ไม่ได้คำนึงถึงข้าวที่เขาจะใส่นะ
ในใจมีแต่พุทโธๆ ติดแนบกันไป .."

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO