นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 2:28 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 19 ก.พ. 2009 2:24 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ในยุคที่มีผู้ปฏิบัติภาวนาเกิดขึ้นมากมาย ก็มีทั้งของจริงและของปลอม แต่มีวิชาหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน ไม่มีใครสอน ไม่มีตำรา เป็นวิชาที่เกิดขึ้นด้วยทิพยอำนาจแห่งใจของผู้ที่ฝึกฝนเองโดยแท้ นั่นก็คือวิชา “พรหมศาสตร์”

อาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ ถือเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาพรหมศาสตร์ ท่านได้ทำอัศจรรย์ทางใจให้ผู้คนได้ประจักษ์มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี นับแล้วเป็นร้อย ๆ เรื่อง มีบันทึกสำคัญเก็บไว้เป็นหลักฐานมากมาย อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญระดับประเทศหลายต่อหลายท่าน

เช่นเรื่องนี้เป็นต้น...

เนื่องในพิธีพรหมาภิเศก “องค์พรหมเทพปฏิมา” เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2506 นี้นั้น พิธีได้กระทำขึ้น ณ เทวสถานโบสท์พราหมณ์ เสาชิงช้า พระนคร เมื่อวันที่ 18 – 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 โดยมีผู้เข้าร่วมพิธีหลายฝ่ายด้วยกัน อาทิ ฝ่ายสงฆ์มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ฝ่ายวิปัสสนาธุระมีท่านเจ้าคุณราชสิทธิ์ วัดมหาธาตุฯ เป็นประธาน ฝ่ายพราหมณ์มีพระราชครูวามเทพมุนี เป็นประธาน และฝ่ายพรหมศาสตร์มีอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ เป็นประธาน ซึ่งผู้เข้าร่วมพิธีทุกฝ่ายต่างก็ประกอบพิธีกรรมตามลัทธิของตน เพื่อความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ของ "องค์พรหมเทพปฏิมา" เป็นสำคัญ

ปรากฏว่าในระหว่างพิธีกรรมตลอดเวลา 3 วัน 3 คืนนั้น ผู้เข้าร่วมพิธีแต่ละฝ่ายต่างได้คัดตัวบุคคลซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษมาทำการปลุกเสกทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายสงฆ์นั้นได้นิมนต์พระอาจารย์ชื่อดังจากวัดต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรมาร่วมปลุกเสกโดยพร้อมเพรียง นอกจากนั้นยังนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ซึ่งวุฒิเปรียญ 9 ประโยคอีก 9 รูป มาเจริญพระพุทธชัยมงคลคาถาตลอดเวลา

พิธีพรหมาภิเศก "องค์พรหมเทพปฏิมา" ครั้งนี้เป็นพิธีที่ใหญ่ยิ่งพิธีหนึ่งในยุคปัจจุบัน ซึ่งบรรดาผู้เข้าร่วมพิธีทุกท่านต่างได้กล่าวยืนยันว่า นอกจากพระอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญของฝ่ายต่าง ๆ จะมาเข้าร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว ยังมีวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพระภิกษุผู้สำเร็จซึ่งมรณภาพไปแล้วกับเทพเจ้าและองค์พรหมบนสวรรค์เสด็จมาเป็นประธานในพิธีนี้ด้วยจำนวนมาก

เพื่อที่จะได้ทราบรายละเอียดว่าในพิธีพรหมาภิเศก "องค์พรหมเทพปฏิมา" ดังกล่าวนี้ได้มีวิญญาณของภิกษุรูปใดเทพเจ้าองค์ใด และพระพรหมองค์ใดเสด็จมาร่วมพิธีบ้างนั้น จึงได้นัดพบกับ พ.อ. สมาน วีระไวทยะ (ยศในขณะนั้น) วศบ. ทบ. หัวหน้ากองนโยบายและแผน กรมส่งกำลังบำรุงทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นเจ้าตำรับ “วิทยาศาสตร์ทางจิต” ที่ชาวไทยและต่างประเทศรู้จักดี กับเป็นผู้เชี่ยวชาญทางนั่งตรวจทางใน เพื่อนำเหตุการณ์ในวันประกอบพิธีพรหมาภิเศกมาเสนอ ดังนี้

พ.อ. สมาน วีระไวทยะ เล่าว่า ความจริงท่านไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับพิธีพรหมาภิเศกในครั้งนี้เลย แต่ในระหว่างพิธีวันที่ 19 พ.ย. นั้น ท่านได้รับคำขอร้องจากอาจารย์ชาญไชย ถาวรธาร นายช่างพิเศษกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งเป็นท่านหนึ่งที่ไปร่วมพิธีในทางด้านฝ่ายพรหมศาสตร์ ขอให้ช่วยนั่งทางในตรวจดูว่ามีวิญญาณของผู้ใดรวมทั้งเทพเจ้าและพระพรหมองค์ใดมาเข้าพิธีบ้าง ท่านจึงได้ไปนั่งตรวจให้ข้าง ๆ พิธีในบริเวณเทวสถานแห่งนั้น

พ.อ. สมาน เล่าว่า เมื่อท่านได้เริ่มนั่งทางในตรวจดูนั้นเป็นเวลาประมาณ 00.30 น. การประกอบพิธีพรหมาภิเษกของเกจิอาจารย์ฝ่ายต่าง ๆ กำลังดำเนินอยู่และในการนั่งตรวจครั้งแรกนั้น พ.อ.สมานได้ตรวจถึงวิญญาณของพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่มรณภาพไปแล้วว่าจะมีรูปใดมาในพิธีบ้าง

เมื่อนั่งหลับตาเข้าสมาธิแล้วสักครูก็เห็นว่าภาพในบริเวณเทวสถานมืดสนิทลงแล้วค่อย ๆ มีแสงสว่างจ้าเป็นประกายขึ้นโดยรอบ ทันใดนั้นก็เห็นภาพของพระอาจารย์ต่าง ๆ ปรากฏขึ้นทีละองค์ อาทิ หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆังโฆษิตาราม หลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด หลวงพ่อลี วัดอโศการาม และพระอาจารย์สำคัญองค์อื่น ๆ รวม 15 องค์ด้วยกัน และแต่ละองค์ได้บอกให้นายพันเอกแห่งกองทัพบกทราบว่าท่านจะได้มาร่วมในพิธีนี้ทุก ๆ วันจนเสร็จสิ้นพิธี

ภายหลังจากได้ตรวจดูพระอาจารย์ต่าง ๆ จนทั่วถึงแล้ว พ.อ. สมานจึงได้เปลี่ยนเป็นตรวจดูเทพเจ้าที่มาในพิธีบ้าง หลังจากนั่งสมาธิก็ได้เห็นภายในบริเวณเทวสถานกลับมืดสนิทลงเหมือนครั้งที่แล้ว ชั่วครู่ต่อมาก็ปรากฏเป็นแสงสีเขียวรุ่งโรจน์ขึ้น แต่ไม่ปรากฏร่างของเทพเจ้าองค์ใดให้เห็น แต่จากแสงสีเขียวนี้ พ.อ.สมานทราบว่า เป็นแสงประจำองค์เทพเจ้าชั้นสูงหลายองค์ อาทิ พระนารายณ์ พระพิฆเณศวร์ และสมเด็จพระอัมรินทราธิราช

ดังนั้นเพื่อจะขอทราบว่าเทพเจ้าองค์ใดในสามองค์นี้จะเป็นผู้เสด็จมา นายพันเอกจึงตั้งอธิษฐานขอให้ท่านเจ้าของแสงปรากฏพระองค์ให้เห็นด้วย ครั้นอธิษฐานเสร็จก็ค่อย ๆ ปรากฏร่างของเทพเจ้าองค์หนึ่งขึ้นราง ๆ และค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นจนเห็นได้ถนัด เทพเจ้าองค์นี้มีทั้งหมด 4 กร จึงทราบได้ว่าเจ้าของแสงสีเขียวรุ่งโรจน์ที่เสด็จมานั้นคือ "องค์พระนารายณ์" หรือ "พระวิษณุเทพ" นั่นเอง พร้อมกันนั้นองค์พระนารายณ์ก็ได้ตรัสให้ พ.อ. สมานทราบเช่นเดียวกับพระอาจารย์องค์อื่น ๆ

ในการตรวจทางในขั้นสุดท้าย พ.อ.สมาน ได้ตรวจว่าเทพเจ้าขั้นพรหมนั้นจะมีองค์ใดเสด็จมาบ้าง ครั้นได้ทำสมาธิและปรากฏความมืดสนิทขึ้นมาแล้ว ก็ปรากฏแสงสีขาวนวลคล้ายสีของไข่มุกเป็นประกายรุ่งโรจน์ และพร้อมกับแสงสีที่ปรากฏขึ้นนั้น นายพันเอกแห่งกองทัพบกก็ได้เห็นภาพของพระพรหมองค์สมเด็จปรมาจารย์ฝ่ายพรหมศาสตร์เสด็จมาเอง

เมื่อได้นั่งทางในตรวจเห็นบรรดาพระอาจารย์ต่าง ๆ รวมทั้งเทพเจ้าและพระพรหมองค์ใดที่เสด็จมาในพิธีแล้ว พ.อ.สมานจึงได้เขียนบันทึกมอบให้อาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ ประธานฝ่ายพรหมศาสตร์เก็บไว้เป็นหลักฐาน


ทั้งหมดนี้คือบันทึกที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2506 เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่การเห็นการรู้ของหลาย ๆ ท่านตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งท่าน พลโท สมาน วีระไวทยะ และอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ แม้แต่การสร้างพระมหาเทพทั้งสามของวัดโกรกแก้ววงพระจันทร์ ซึ่งหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ เป็นผู้ปลุกเสก พระผงรูปพระนารายณ์ก็ยังใช้ "ผงสีเขียว" ในการสร้าง ซึ่งตรงกับสีรัศมีกายของพระองค์พอดี นับว่าผู้จัดทำมีความรอบคอบยิ่งนัก

แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ไม่ได้แปลว่าไม่มี และบางสิ่งที่เราไม่เชื่อ ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอยู่จริงเช่นกัน

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 19 ก.พ. 2009 3:00 am 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
เยี่ยมยอดเช่นเคย

ขอบคุณครับผม

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 19 ก.พ. 2009 9:04 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 13 ต.ค. 2008 8:03 pm
โพสต์: 288
พี่ต่อคับอยากรู้ว่ามีเทพองค์ใดที่มาบ้างอ่ะคับพี่


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 19 ก.พ. 2009 11:46 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 8:36 pm
โพสต์: 969
:vvhpy: สุดยอดครับพี่ต่อ :grt:

_________________
ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นคือดีเลิศ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 19 ก.พ. 2009 2:48 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 5:09 pm
โพสต์: 1368
อาจารย์รณธรรมครับ จากข้อมูลที่ว่า

"...พิธีพรหมาภิเศก “องค์พรหมเทพปฏิมา” เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2506 นี้นั้น พิธีได้กระทำขึ้น ณ เทวสถานโบสท์พราหมณ์ เสาชิงช้า พระนคร เมื่อวันที่ 18 – 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 ..."

ในการนี้ทางเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ได้สร้างวัตถุมงคลอะไรบ้างหรือไม่ครับ และองค์พรหมเทพปฏิมาที่ว่า คือ พระพรหมที่ทุกวันนี้ตั้งอยู่หน้าโบสถ์ใหญ่ที่สถิตองค์พระอิศวรใช่หรือไม่ครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 19 ก.พ. 2009 3:22 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 1:41 pm
โพสต์: 215
:grt:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 19 ก.พ. 2009 5:33 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 9:48 am
โพสต์: 937
ขอบคุณครับ มีเรื่องดีนำเสนอเรื่อยเลย :lcky:

_________________
อันความสุขทางใจนั้นหายาก คนส่วนมากไม่ชอบแสวงหา
หวังแต่สุขเพื่อสนุกเพียงหูตา มันจึงพาชักจูงให้ยุ่งใจ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 19 ก.พ. 2009 11:18 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
ขอบอกว่าเรื่องนี้สุดยอดครับ :grt:

ขอบคุณที่นำเรื่องราวดีดีมาเผยแพร่กันครับ :hhero:

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 20 ก.พ. 2009 1:27 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ด้วยความยินดีครับ และขอบพระคุณมากครับสำหรับกำลังใจ :D

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 20 ก.พ. 2009 1:29 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
จิ้งจก เขียน:
อาจารย์รณธรรมครับ จากข้อมูลที่ว่า

"...พิธีพรหมาภิเศก “องค์พรหมเทพปฏิมา” เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2506 นี้นั้น พิธีได้กระทำขึ้น ณ เทวสถานโบสท์พราหมณ์ เสาชิงช้า พระนคร เมื่อวันที่ 18 – 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 ..."

ในการนี้ทางเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ได้สร้างวัตถุมงคลอะไรบ้างหรือไม่ครับ และองค์พรหมเทพปฏิมาที่ว่า คือ พระพรหมที่ทุกวันนี้ตั้งอยู่หน้าโบสถ์ใหญ่ที่สถิตองค์พระอิศวรใช่หรือไม่ครับ


ในพิธีดังกล่าว ทางโบสถ์พราหมณ์ไม่ได้สร้างวัตถุมงคลอะไรทั้งสิ้นครับ นอกจากพระพรหมขนาด 9 นิ้วแบบบูชา ซึ่งเป็นการสร้างเพียงองค์เดียวในโลก เพื่อทูลเกล้าถวายในหลวงเท่านั้นครับ

ส่วนพรหมองค์ที่อยู่กลางบ่อน้ำหน้าโบสถ์พระศิวะทุกวันนี้เป็นองค์ที่สร้างขึ้นเพื่อโบสถ์พราหมณ์โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2514 ครับ
.jpg


แต่พิธีของในหลวงดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นก่อน ในปี พ.ศ. 2506 ครับ

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 20 ก.พ. 2009 1:44 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 8:36 pm
โพสต์: 969
ขอบคุณครับพี่ต่อ

_________________
ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นคือดีเลิศ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 20 ก.พ. 2009 1:48 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
พรหมาสตร์ เขียน:
พี่ต่อคับอยากรู้ว่ามีเทพองค์ใดที่มาบ้างอ่ะคับพี่


ตามที่ท่านพลโท สมาน วีระไวทยะ เล่าไว้ในบันทึก เทพที่มาคือ "พระนารายณ์" ครับ

พรหมที่มาคือ "สมเด็จพระปรมาจารย์มหาพรหม" องค์บรมครูในสายวิชาพรหมศาสตร์ ครับ

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 20 ก.พ. 2009 2:13 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
ขอบพระคุณมากครับ ท่านอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ นี่แหละครับ
"ตัวจริง ของจริง"
:P


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 20 ก.พ. 2009 3:48 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 10:40 am
โพสต์: 369
เรื่องนี้ดีมากๆครับ ผมเองก็ติดตามเรื่องของพลโทสมาน วีระไวทยะ มาหลายเรื่องเช่นเดียวกัน ซึ่งท่านพลโทสมานท่านนี้มีความผูกพันธ์และสามารถติดต่อกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้อยู่เสมอๆ เวลาท่านไปพบพระหรือไปธุระที่สำคัญๆ ท่านจะถามสมเด็จโตก่อนว่า ควรไปหรือไม่ ถ้าสมเด็จท่านไม่ให้ไป ท่านก็จะไม่ไปพบพระองค์นั้นหรือไปในพิธีนั้นครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 20 ก.พ. 2009 3:51 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
:grt: สุดยอดครับ คุณbecknui

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 24 ก.พ. 2009 12:11 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 05 ธ.ค. 2008 9:50 pm
โพสต์: 98
ขอบคุณมากๆ นะคะ ได้ความรู้ในหลายๆด้าน
เจ้าของเว็บ N & สมาชิกเว็บ N นี้ เยี่ยมจริง ๆค่ะ :grt:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 24 ก.พ. 2009 8:14 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 13 ต.ค. 2008 8:03 pm
โพสต์: 288
พี่ต่อคับแล้ววิชาพรหมศาสตร์นี้เป็นยังไงอ่ะคับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 24 ก.พ. 2009 10:26 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ท่านอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ ท่านบอกว่า "วิชาพรหมศาสตร์" นี้ไม่เป็นอย่างไร ไม่ใช่วิชาที่มีตำรับตำรา แต่เป็นวิชาที่เกิดจากการภาวนาของท่าน ซึ่งก็คือการใช้วิชาการของฝ่ายศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามาปะปนอยู่กับศาสนาพุทธ มิใช่ศาสนาพราหมณ์แบบบริสุทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันก็มิใช่ศาสนาพุทธบริสุทธิ์เช่นกัน

เพราะในศาสนาพุทธ ย่อมไม่มีการปลุกเสกเลขยันต์ ไม่มีการดูฤกษ์ยาม ไม่มีการตั้งศาล ไม่มีการทำน้ำมนต์หรือประพรมน้ำมนต์ ทุกอย่างที่ศาสนาพุทธจะปฏิบัติ ทุกขั้นตอนที่จะทำ เป็นเรื่องของการทำอยู่โดยหลักของเหตุและผล อีกทั้งยังเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวไม่มีการเหลียวแลในเรื่องอื่นใดอันเป็นสิ่งที่ขัดขวางมรรคผล

แต่ถ้าเป็นพราหมณ์ล้วน ก็มีแต่เรื่องบวงสรวง อ้อนวอน ร้องขอ ไม่ลงมือปฏิบัติยกภูมิของจิตใจให้สูงขึ้น ยึดมั่นถือมั่นว่าเชื่อพระเป็นเจ้าแล้วก็พ้นทุกข์เอง จะได้กลับคืนไปสู่ปรมาตมันเอง เรียกว่า บรรลุโมกษะ ซึ่งในพระพุทธศาสนาไม่มีแบบนี้ จะบริสุทธิ์ได้บุคคลต้องลงมือกระทำ มิใช่อ้อนวอนร้องขอ หรือซื่อสัตย์ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ๆ ก็จะดลบันดาลให้บริสุทธิ์ขึ้นมาเอง ข้อนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า

วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ
บุคคลจะล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร

สุทธิ อะสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธะเย
ความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตน คนอื่นจะทำคนอื่นให้บริสุทธิ์หาได้ไม่


ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาของการลงมือประกอบเหตุครับ เมื่อประกอบเหตุดี ผลย่อมดี ประกอบเหตุถูก ผลย่อมถูก ประกอบเหตุชั่ว ผลย่อมชั่ว เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไม่ได้เลย

ทีนี้ใน "วิชาพรหมศาสตร์" ของท่านอาจารย์ทองแถมนั้น ท่านประยุกต์เอาคุณลักษณะของศาสนาพราหมณ์มาใช้ ด้วยการยกเอาพรหมวิหาร 4 ขึ้นมาเป็นรูปธรรม เป็นหลักสำคัญของสายวิชา ที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะท่านเข้าใจดีว่า มนุษย์ยังมีความต้องการแบบปุถุชนผู้มีกิเลสอยู่ คือ มีความต้องการบำบัดรักษาทั้งโรคทางกายทางใจ ต้องการความสำเร็จต่าง ๆ แบบที่ชาวโลกเขาปรารถนากัน ต้องการความอยู่ดีกินดี ต้องการหมดทุกข์ ท่านก็อนุเคราะห์ช่วยให้ นี่ก็เข้าลักษณะของศาสนาพราหมณ์ แต่เสร็จแล้วท่านผู้ต้องการความสำเร็จอาจารย์ทองแถมก็ขอให้รักษาศีล 5 ให้มีการทำบุญสุนทาน ไหว้พระสวดมนต์ ปฏิบัติภาวนาบ้างนะ เรื่องที่ประสงค์ก็จะสำเร็จลุล่วงง่ายขึ้น อันนี้เป็นศาสนาพุทธ

เรียกว่าวิชาการแบบประยุกต์ครับ และคำว่า "พรหมศาสตร์" นั้น ท่านอาจารย์ทองแถมก็เป็นผู้คิดค้นขึ้นเอง มิได้นำมาจากที่ไหนเลยตลอด 40 กว่าปีแห่งการเป็นอาจารย์ใหญ่ในวิชาพรหมศาสตร์ และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับ มูลนิธิพรหมศาสตร์สงเคราะห์ ที่ซอยจรัญสนิทวงศ์ 37 หรือซอยมูลนิธิพระอาจารย์มั่น เลยแม้แต่นิดเดียว ท่านไม่ได้เป็นผู้สร้างมูลนิธินี้ ไม่เคยไปสอน ไม่มีลูกศิษย์ท่านไปเปิด เพราะพรหมศาสตร์ของท่าน ผู้ศึกษาไปแล้วห้ามรับเงินรับทองรับของตอบแทนใด ๆ จากผู้ที่มาขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าทางตรงทางอ้อม

ลูกศิษย์ลูกหาในสายวิชาพรหมศาสตร์ที่มีมากถึง 800 กว่าคนซึ่งได้รับการฝึกฝนไป ก็มีความสำเร็จและมีความก้าวหน้าดีในหน้าที่การงาน ตลอดทั้งสภาพจิตใจที่มั่นคง เป็นทุกข์น้อยเพราะได้รับการอบรมจิตมาเป็นอย่างดี

เพราะพรหมศาสตร์ ก็คือการทำสมถกรรมฐานอย่างหนึ่งนั่นเอง


หวังว่าจะช่วยให้คุณพรหมาสตร์หายข้องใจได้บ้างนะครับ :)

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 24 ก.พ. 2009 11:43 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 8:36 pm
โพสต์: 969
ขอบพระคุณครับพี่ต่อ

_________________
ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นคือดีเลิศ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 24 ก.พ. 2009 11:44 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
:grt: :grt:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO