นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 06 ธ.ค. 2024 5:43 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 26 ส.ค. 2011 4:31 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 17 ส.ค. 2011 6:16 pm
โพสต์: 2
สวัสดีครับ......พึ่งมาใหม่ ฝากเนื้อ...ฝากตัว...ฝากหัวใจด้วยครับ....เอิ๊ก ....เอิ๊ก

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง(จากงานเขียนของนายเทพ สุนทรศารทูล ) ครับ อ่านแล้วรู้สึกดีครับเลยนำมาให้อ่านกันเน้อ

"หลวงพ่อแช่ม บวชแล้วก็มิได้จำพรรษาที่วัดตาก้อง ได้ติดตามพระอุปัชฌาย์ไปจำพรรษาที่วัดพะเนียงแตก ตำบลมาบแค อำเภอเมืองนครปฐม" พระอุปัชฌาย์มิใช่ไหนอื่นไกลเลย คือ พระครูอุตรการบดี (ทา) นั่นเอง ได้อยู่ศึกษาวิชากับพระครูอุตรการบดี ร่ำเรียนวิชากรรมฐาน เป็นเบื้องต้น ก่อนจะสอนวิชาคาถาอาคมต่างๆ ให้กับหลวงพ่อแช่ม จากนั้นจึงออกธุดงควัตรเป็นการทดสอบจิตกล่าวว่านอกเหนือจากการศึกษาวิชาจากพระครูอุตรการบดี (ทา) วัดพะเนียงแตกแล้ว หลวงพ่อแช่มยังได้ศึกษาวิชาจากพระเกจิอาจารย์อื่นๆ อีก เช่น เรียนทางด้านการทำผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ผงพุทธคุณ และผงปถมัง กับพระครูปริมานุรักษ์ (คด) วัดริมจวน นครปฐม เรียนวิชาทางด้านคงกระพันชาตรีกับพระอาจารย์จันทร์ วัดพระงาม เรียนทางด้านมหาอุดและแคล้วคลาดกับหลวงพ่อเนีย วัดน้อย สุพรรณบุรี

ภายหลังจากธุดงควัตรกลับมาถึงวัดพะเนียงแตกแล้ว หลวงพ่อแช่มได้เข้าไปกราบลาพระครูอุตรการบดี (ทา) เพื่อขอกลับไปอยู่ยังวัดตาก้องเพื่อให้อยู่ใกล้ญาติโยมทางโน้น ซึ่งพระครูอุตรการบดี (ทา) ได้กล่าวเพียงว่า "ไปอยู่วัดตาก้องน่ะ ต้องระวังให้ดี ที่นั่นเขาเป็นพระบ้านทั้งนั้น เราเป็นพระป่านะ" ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสวัด เป็นเพียงพระลูกวัดธรรมดา แต่เพราะชื่อเสียงของหลวงพ่อแช่ม นั่นแหละวัดตาก้องจึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป อย่างที่กล่าวไว้แต่แรกว่า ปูมหลังของหลวงพ่อแช่มนั้นมีอยู่ถึง 2 ทาง ทางหนึ่งบอกหลวงพ่อแช่มเป็นชาวตำบลตาก้อง แต่อีกทางหนึ่งกลับว่าเป็นชาวบ้านหอคอย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม กระนั้นความเชื่อถือในข้อมูลของทางที่หนึ่งนั้นมีมากกว่า เชื่อว่าหลวงพ่อแช่มเป็นชาวตำบลตาก้อง ที่มีวัดหนึ่งอยู่ในตำบลชื่อเดียวกัน คือ วัดตาก้อง ตำบลตาก้องที่แต่เดิมเรียกกันว่า "อ้ายก้อง" ดังเมื่อครั้งที่หมื่นพรหมพักศร (มี) กวีมีชื่อในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เดินทางผ่านระหว่างไปนมัสการพระแท่นดงรัง ที่เมืองกาญจนบุรี เมื่อ พ.ศ.2376 ได้แต่งนิราศไว้ว่า
"ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายก้อง สกุณร้องรัญจวนถึงนวลหงษ์
พอโพล้เพล้เพลาจะค่ำลง ให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย
เสียงจักกระจั่นแจ้งแจ้วให้แว่วหวาด หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพลาลัย วังเวงใจจรมาในราตรี"

ที่วัดตาก้องในสมัยที่หลวงพ่อแช่มไปจำพรรษา มีเจ้าอาวาสชื่อ กร่าย ใน หนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" ของ เทพ สุนทรศารทูล กล่าวไว้ว่า "สิ้นบุญหลวงพ่อเกริ่นแล้ว สมภารกร่ายก็ได้ปกครองวัดต่อมา สมภารกร่ายองค์นี้เป็นญาติทางฝ่ายมารดาของข้าพเจ้า แต่สมภารกร่าย หรือหลวงน้ากร่ายของข้าพเจ้านี้ สู้หลวงพ่อเกริ่นไม่ได้ เพราะท่านโมโหร้ายนัก สมัยนั้นนักเรียนประชาบาลอาศัยเรียนอยู่บนศาลาการเปรียญ เวลาหยุดพักกลางวันเด็กๆ ก็เล่นกันส่งเสียงเอะอะเกรียวกราวหนวกหู ท่านสมภารกร่ายก็ลงจากกุฏิ ถือขวานลูกหนึ่งวิ่งกวดนักเรียน นักเรียนก็วิ่งหนีเป็นการสนุกแกมหวาดกลัว เที่ยวซุกซ่อนอยู่ตามใต้ถุนศาลาบ้าง วิ่งขึ้นไปหาครูบนศาลาบ้าง ปีหนึ่งจะมีเรื่องต้องวิ่งหนีสมภารกร่ายกัน 2-3 ครั้งเสมอ เพราะนานๆ เข้าเด็กๆ ก็ลืม ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวให้ท่านไล่กวดตะเพิดเอาเรื่อยๆ" เมื่อหลวงพ่อแช่มมาถึงวัดตาก้องแล้วนั้น ได้ขึ้นไปกราบเรียนให้สมภารกร่ายทราบว่า ท่านมาจำพรรษาที่วัดตาก้อง แต่กลับพบความเฉยเมยของเจ้าอาวาสวัดตาก้อง ที่เพียงพยักหน้ารับทราบอย่างเมินๆ กับหลวงพ่อแช่ม แต่บัดนั้นเป็นต้นมา จึงเป็นที่ทราบว่าสมภารกร่าย ดูจะไม่ค่อยชอบหลวงพ่อแช่ม ดังนั้นหลวงพ่อแช่มจึงได้ไปปลูกกุฏิอยู่นอกเขตวัดตาก้อง บริเวณกุฏิท่านเป็นป่าละเมาะ ซึ่งหลวงพ่อแช่ม และชาวบ้านอีก 2-3 คน มาช่วยกันหักร้างถางพง ปลูกกุฏิขึ้นแบบศาลาไม่มีฝาผนังเปิดโล่งตลอด ไม่ยอมลงโบสถ์ทำสังฆกรรมร่วมกับพระวัดตาก้อง เมื่อท่านจำพรรษาอยู่ ณ กุฏิแห่งนี้ ชาวบ้านพากันมากราบท่านทุกวี่วัน ซึ่งคงขัดนัยน์ตาสมภารกร่ายยิ่งนัก ที่หลวงพ่อแช่มมีญาติโยมมาเยี่ยมกราบมิได้ขาด ความไม่ชอบใจหลวงพ่อแช่มของสมภารกร่ายได้นำไปสู่การร้องเรียนต่อเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะจังหวัด โดยสมภารกร่ายเป็นผู้ร้องเรียนด้วยตัวท่านเอง ที่สุดนำไปสู่การสอบสวนด้วยข้อกล่าวหาที่ฉกรรจ์หลายข้อด้วยกัน คือ

1. ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส
2. ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าจะไปไหน ไปทำอะไร
3. หายไปจากวัดหลายๆ วันเสมอ ไม่ทราบว่าไปทำอะไรที่ไหน
4. ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นพร้อมพระภิกษุอื่นในวัด
5. ไม่ลงฟังพระสวดปาติโมกข์ในวันพระ
6. ไม่ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ตามธรรมเนียมของพระภิกษุ
7. หุงข้าวกินเอง ตั้งครัวทำครัวเหมือนชาวบ้าน
8. รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ให้ชาวบ้าน ผิดกิจของสงฆ์
9. อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ผิดศีลของพระภิกษุ


ในการสอบสวนหลวงพ่อแช่มนั้น มีเจ้าคณะจังหวัด พร้อมด้วยเจ้าคณะตำบล และคณะผู้ติดตาม เดินทางมาสอบสวนถึงวัดตาก้อง เมื่อมาถึงกุฏิของสมภารกร่ายได้ให้พระลูกวัดไปนิมนต์หลวงพ่อแช่มมาพบที่กุฏิ ทว่าพระลูกวัดได้กลับมารายงานว่า หลวงพ่อแช่มไม่ยอมมาพบ และได้ฝากข้อความมาว่า ตัวของท่านเป็นจำเลยอยู่แล้ว มีคดีร้ายแรงอย่างใดก็ขอให้ไปที่กุฏิของท่าน หากผิดจริงจะได้จับสึกกันเสียทีเดียวที่กุฏิของท่าน
คณะของเจ้าคณะจังหวัดจึงได้ไปยังกุฏิของหลวงพ่อแช่มเพื่อทำการสอบสวนเรื่องร้องเรียนของสมภารกร่าย เมื่อมาถึงกุฏิที่หลวงพ่อแช่มปลูกเป็นศาลา พบหลวงพ่อแช่มนุ่งสบงผืนเดียวนั่งขัดสมาธิคอยอยู่บนพื้นกระดานแผ่นใหญ่ที่ปูอยู่กับพื้นดิน มีไม้ขอนวางรอง ไร้เฟอร์นิเจอร์ใดๆทั้งสิ้นกระทั่งเสื่อปูรองก็ไม่มี เจ้าคณะตำบลที่มาด้วยเห็นเช่นนั้นก็ได้บอกให้หลวงพ่อแช่มไปครองจีวรเสียให้เรียบร้อย และชี้แจงให้รู้จักว่า นั่นเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดให้นมัสการกราบไหว้เสีย เพราะท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่ผู้ปกครองสงฆ์ชั้นสูง หลวงพ่อแช่มยังคงเฉย และกล่าวต่อเจ้าคณะตำบลว่า "ผมมันไม่ใช่พระใช่เจ้าอะไรแล้ว เป็นจำเลยให้เขาฟ้องร้อง มีตุลาการมาสอบสวน ก็อยากให้สอบสวนกันอย่างนี้ ดีร้ายจะได้ถอดสบงสึกกันง่ายๆ ไม่ต้องครองไตรจีวรให้เสียเวลา" ซึ่งเจ้าคณะตำบลได้กล่าวปลอบชี้แจงว่า ยังไม่ใช่นักโทษเพียงแต่ถูกอธิกรณ์ข้อกล่าวหา จะต้องสอบสวนกันก่อน ถ้าผิดจึงจะลงโทษ ถ้าไม่ผิดก็ไม่มีโทษอะไร เจ้าคณะท่านเป็นพระผู้ใหญ่มา ควรครองไตรจีวรให้เรียบร้อย เพื่อแสดงความเคารพท่าน หลวงพ่อแช่มก็กล่าวว่า "ถ้าหากผมนุ่งสบงตัวเดียวอยู่วัดอย่างนี้ ผมไม่ใช่พระหรืออย่างไร ถ้าหากผมครองไตรจีวรเรียบร้อยแล้ว ผมมีศีลด่างพร้อย ต้องอาบัติปาราชิก ผมจะเป็นพระเพราะครองไตรจีวรหรือ" ท่านเจ้าคณะจังหวัดซึ่งได้นิ่งฟังอยู่เป็นนานแล้ว ได้กล่าวกับหลวงพ่อแช่มว่า "นี่แน่ะท่านแช่ม ถ้าท่านเป็นพระถือศีลบริบูรณ์อยู่ ให้ท่านไปห่มจีวรให้เรียบร้อยก่อน เรื่องผิดถูกค่อยพูดกันทีหลัง" หลวงพ่อแช่มจึงลุกขึ้น คว้าจีวรห่มนั่งลงที่เดิม ไม่ได้นิมนต์ให้เจ้าคณะจังหวัดนั่ง ซึ่งท่านก็ได้ นั่งลงเองพร้อมๆ กับพระภิกษุรูปอื่นๆ ต่อเมื่อได้นั่งมองสังเกตไปรอบๆ กุฏิของหลวงพ่อแช่ม ที่ปลุกเป็นศาลาโรงดิน หลังคามุงจาก เปิดฝาผนังโล่งทั้ง 4 ด้าน ไม่มีพื้นกระดาน นอกจากแผ่นกระดานใหญ่ที่ปูนอนอยู่บนพื้น และเป็นที่นั่งรับแขก สักครูหนึ่ง เจ้าคณะจังหวัดจึงได้เอ่ยขึ้น "ที่มาวันนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอบสวนอะไร ไม่ได้คิดว่าท่านแช่มจะทำผิดศีลวินัยอะไร แต่อยากจะมาดูให้รู้กับหูกับตาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะมีคำร้องฟ้องกล่าวโทษไปหลายข้อ" ว่าแล้วก็หยิบคำฟ้องจากย่ามขึ้นมาอ่านให้ฟัง แล้วถามเป็นข้อๆ

ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า "ผมก็อยู่ในเขตวัดตาก้อง เจ้าอาวาสก็อยู่ในกุฏิของท่าน ผมก็อยู่ในกุฏิของผม ต่างคนต่างอยู่ ไม่เคยพบหน้ากัน เจ้าอาวาสไม่เคยมาว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนอะไรผม ไม่เคยสั่งห้ามอะไร ผมก็ไม่เคยฝ่าฝืนข้อห้ามข้อใดเลย แล้วจะว่าผมไม่อยู่ในปกครองได้อย่างไร ธรรมดาพ่อแม่ปกครองลูก ก็ต้องดูแลว่ากล่าว ตักเตือน สั่งสอน ห้ามปราม นี่ไม่เคยเลย ผมก็ไม่เคยทำอะไรฝ่าฝืน จะว่าฝ่าฝืนข้อไหน ท่านไม่มาปกครองผมเองต่างหาก"

ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าไปไหน ทำอะไร หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า "เมื่อสมภารไม่มาปกครองผม ปล่อยผมตามใจ ผมก็ปกครองตัวเอง จะไปไหนก็ไปเอง กลับเอง ทำอะไรก็ทำเอง ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของวัด ข้อนี้ผมมีความผิดธรรมวินัยของสงฆ์อย่างไร" ต่อข้อกล่าวหาว่า หายหน้าไปจากวัดเสมอ ครั้งละหลายๆ วัน ไม่ทราบว่าไปทำผิดทำชั่วทำความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์อย่างไร หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า "ผมออกจากวัดไปเสมอจริง ไปครั้งละหลายๆ วันจริง ก็ไปทำกิจส่วนตัวที่ชาวบ้านเขานิมนต์เป็นกิจส่วนตัว ไม่ได้ไปทำผิด ทำชั่ว ทำความเสื่อมเสียอะไร ถ้าหากว่าไปทำผิดทำชั่วจริง คงจะมีคนจับได้ คงจะถูกฟ้องร้อง ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวเข้าคุกตะรางไปแล้ว แต่นี่ก็ไม่มีใครพบเห็นว่าทำผิดทำชั่วที่ไหนเลย อย่างนี้จะผิดธรรมวินัยข้อไหน"

ต่อข้อกล่าวหา ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ร่วมกับพระภิกษุสงฆ์องค์อื่น หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า "การทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ผมก็ทำของผมองค์เดียวเพราะผมอยู่องค์เดียว ผมเป็นพระป่า เคยออกธุดงค์เดินป่า ก็ทำวัตรสวดมนต์องค์เดียวมาตลอด พระอรหันต์ท่านไปอยู่ป่า อยู่ถ้ำ ท่านก็สวดมนต์ภาวนาองค์เดียว การสวดมนต์องค์เดียวผิดศีลวินัยข้อไหน" ต่อข้อกล่าวหาว่า ไม่ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาติโมกข์ในวันพระ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า "วันพระผมก็สวดพระปาติโมกข์เอง สวดเอง ฟังเอง เหมือนพระสงฆ์อื่นๆ ที่ท่านให้ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาติโมกข์นั้น สำหรับพระที่สวดพระปาติโมกข์เองไม่ได้ จะได้ฟังเอาบุญก็ผมสวดเองได้ จะต้องไปฟังใครสวดอีกเล่า พระอื่นๆ เสียอีกที่สวดพระปาติโมกข์ไม่ได้นั่นแหละจะสู้ผมไม่ได้ ถ้ามาว่าพระปาติโมกข์แข่งกัน" ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดได้แย้งว่า "การฟังพระปาติโมกข์นั้น ฟังจบแล้วก็ได้ฟังคำสั่งสอนอบรมของเจ้าอาวาสด้วย" หลวงพ่อแช่มจึงตอบกลับว่า "ผมสวดพระปาติโมกข์จบแล้วก็นั่งเจริญสมาธิภาวนา อบรมจิตของตนเป็นการบำเพ็ญภาวนา ดีเสียกว่านั่งฟังครูอาจารย์สั่งสอบอบรมเสียอีก คนเราลองถ้าได้สงบจิตเตือนใจของตนได้แล้ว ใครเล่าจะวิเศษไปกว่าตนของตนเตือนตน"

ต่อข้อกล่าวหาว่า ไม่ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ตามธรรมเนียมของพระภิกษุสงฆ์ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า"ที่ท่านให้ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์นั้นก็เพื่อจะได้อาหารมาเลี้ยงชีพอย่างหนึ่ง กับเพื่อจะได้ออกไปเตือนอุบาสกสีกาให้บริจาคทานทำบุญ ก็เมื่อผมเองไม่ต้องออกไปบิณฑบาตก็มีอาหารเลี้ยงชีพ จะต้องออกบิณฑบาตอีกทำไม ถ้าจะว่าออกไปเตือนคนให้บริจาคทานทำบุญทำกุศลก็ผมเองนั่งอยู่ที่กุฏินี้ เขาก็คิดถึงนำอาหารมาถวาย ผมทำให้คนทั้งหลายบริจาคทานทำบุญได้อยู่แล้ว ไม่ต้องออกไปเตือนให้เขาทำบุญจนถึงบ้าน อย่างนี้จะว่าผิดธรรมเนียมสงฆ์อย่างไรอีก ถ้าผมออกบิณฑบาตกลับจะเป็นโทษ เพราะคนเขาจะพากันทำบุญตักบาตรผมเสียมาก พระภิกษุอื่นๆ จะขาดลาภไปเสีย อย่างนี้จะไม่ว่าผมมีเมตตาแก่ภิกษุบวชใหม่บ้างหรือ"

ต่อข้อกล่าวหาว่า หุงข้าวกินเอง ตั้งครัวเอง เหมือนชาวบ้าน หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า "ก็เมื่อผมไม่ออกบิณฑบาตขอภิกขาจารอาหารเช้ากิน จึงต้องหุงข้าวกินเอง เพราะผมฉันอาหารแต่เช้า พอตะวันขึ้นชาวบ้านเขาเอาถวายไม่ทัน อีกประการหนึ่ง ผมมีลูกศิษย์หลายคน ทั้งพระทั้งฆราวาสจึงต้องตั้งครัวหุงต้มเลี้ยงกันเอง ชาวบ้านเขาเอาข้าวสาร กะปิ น้ำปลา ปลาแห้ง ปลาเค็ม มาถวาย ก็จัดการหุงต้มแกงกินกันเอง อย่างนี้จะผิดศีลวินัยข้อไหน" เจ้าคณะจังหวัดว่า "ผิดที่สะสมอาหารไว้อย่างไรเล่า พระภิกษุเราไม่ควรจะต้องสะสมอาหาร ควรบิณฑบาตเลี้ยงชีพไปชั่วมื้อชั่ววันเท่านั้น" หลวงพ่อแช่มได้ตอบกลับว่า "ผมไม่ได้สะสมอาหารสุกไว้กินในยามวิกาล ผมสะสมอาหารดิบอาหารแห้งไว้ประกอบกินในวันพรุ่งนี้ต่างหาก ผมไม่ได้สะสมไว้เพื่อตัวเอง สะสมไว้เพื่อศิษย์ต่างหาก การประกอบอาหารผมก็ไม่ลงมือทำเองศิษย์ทำถวายทั้งสิ้น" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "อาหารดิบนั้น มีปลาเป็นๆ ไข่ไก่อยู่หรือเปล่า"
หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ปลาเป็นๆ ไม่มีอุบาสกสีกาคนใดอุตริเอามาถวายเลย ไข่สดไม่มีมีแต่ไข่เค็ม ปลาเค็ม ปลาเป็นๆ นั้นไม่มีใครถวาย ถ้าประสงค์จะหามาแกง ปลาในสระวัดตลอดหน้าวัดก็มีแยะไป แต่ไม่มีใครไปจับเอามาทำอาหารเลย"
"ผักสด ผักเขียว ไม่มีเลยหรือ" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อ หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ยอดผักบุ้ง ยอดผักกะเฉด ผักแว่น สายบัว ผมฉันสดๆ เสมอ แต่ไม่เคยไปเด็ดเอง ท่านเจ้าคณะไม่เคยฉันผักสดเลยทีเดียวหรือ" เจ้าคณะจังหวัดได้ตอบว่า "ผมไม่ชอบ"


ต่อข้อกล่าวหาว่า รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์เป็นหมอยารักษาไข้ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า "รดน้ำมนต์ ผมรดจริง เพื่อสงเคราะห์คนที่เขามีทุกข์ พระอาจารย์ทั้งหลายก็รดกันอยู่ทั่วไป จะผิดศีลวินัยข้อไหน ก็คงผิดกันมาก อุปัชฌาย์อาจารย์ก็ไม่เคยบอกว่ารดน้ำมนต์ผิดวินัย หลวงพ่อของผมท่านก็รดน้ำมนต์ให้ใครๆ อยู่เรื่อยๆ" "เรื่องให้หวยเล่า" เจ้าคณะจังหวัดถาม หลวงพ่อแช่มตอบไปว่า "หวยก็ให้ เมื่อมีคนเขามาถามว่าหวยงวดนี้ออกตัวอะไร ก็บอกให้เขาไปเล่นกัน รัฐบาลท่านอนุญาตให้เล่นหวยกัน พระสงฆ์ก็ต้องบอกหวยได้" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "เห็นตัวเลขจริงหรือ" หลวงพ่อแช่มตอบว่า "เข้าสมาธิภาวนา จิตเป็นหนึ่งก็เหมือนน้ำใส ไม่มีตะกอน ไม่มีละลอกคลื่นก็มองเห็นเงาในน้ำได้" "เห็นอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ หลวงพ่อแช่มจึงตอบว่า "เห็นเป็นตัว ก. ตัว ข. เห็นเป็นตัวม้า ตัวเรือ" (สมัยนั้นเป็นหวย ก. ข.) "เขาเอาไปเล่นกันถูกไหม" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ หลวงพ่อแช่มก็ตอบ "เขามาบอกว่าถูกก็มี ไม่ถูกก็มี" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "ทำไมจึงมีถูกบ้าง ผิดบ้าง" หลวงพ่อแช่มตอบว่า "แล้วแต่โชคลาภของคนแทง เพราะเราไม่ได้บอกตรงๆ เราใบ้หวยให้เขาต่างหาก" "ทำไมต้องใบ้ ทำไมจึงไม่บอกตรงๆ" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อ "ถ้าบอกตรงๆ ก็อวดอุตริมนุสธรรม" เป็นคำตอบจากหลวงพ่อแช่ม จากนั้นเจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เรื่องทำเสน่ห์ว่าอย่างไร" หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ไม่เคยทำเสน่ห์ยาแฝด ของลามก มีแต่คนมาขอเสน่ห์ ก็ให้สีผึ้งไปสีปาก" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ "ใช้สีผึ้งสีปาก แล้วมีเสน่ห์จริงๆ หรือ" หลวงพ่อแช่มตอบว่า "สุดแล้วแต่ศรัทธาของคน ขี้ผึ้งนี้ก็เสกด้วยคาถาเมตตาจิต ทำด้วยเมตตาจิต ถ้าใช้ด้วยเมตตาจิต ก็เกิดเมตตาจิต มีเสน่ห์" "คาถาเมตตาจิตว่าอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถาม หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "คาถาต้องเรียนด้วยความเชื่อมั่น มีครูอาจารย์ประสิทธิ์ให้ต้องยกครู กว่าผมจะเรียนได้มาก็ต้องอุตส่าห์พยายาม ไม่ใช่มาบอกคาถากันต่อหน้าธารกำนัลถึงจะบอกไปท่องได้ ถ้าไม่เชื่อถือก็ป่วยการเปล่า" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือเปล่า" หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยเป็นหมอรักษาไข้ใคร นอกจากมีคนป่วย ญาติเขามาหาถามอาการดู เห็นว่าพอรักษาได้ ก็ให้คนไปซื้อยามา ผมก็เอาลงหม้อ เสกให้เอาไปต้มกินเท่านั้น" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "แล้วหายไหมเล่า" หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ก็เห็นบอกว่าหายดี" "เป็นหน้าที่ของสงฆ์หรือเปล่า พระพุทธเจ้าเคยเป็นหมอรักษาใครบ้างหรือเปล่า" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามหลวงพ่อแช่มต่อ คำตอบจากหลวงพ่อแช่ม คือ "การเป็นหมอรักษาไข้ ไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ เป็นหน้าที่ของหมอ แต่ถ้าเขาหมดทางรักษา เรามียาอยู่ ควรจะสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ให้เขาพ้นทุกข์ ผมก็ต้องสงเคราะห์ไปจะผิดจะถูกอย่างไรผมก็ยอม ผมไม่ใช่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผมจะเป็นได้ก็พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีช่วยเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ถ้าผมเห็นว่าควรจะสละศีลเพื่อช่วยชีวิตเขา ผมก็จะสละ ถ้าผมคิดว่าจะสละวินัย เพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์ ผมก็จะสละ ถ้าผมพบผู้หญิงกำลังจะจมน้ำตาย ผมก็จะกระโดดน้ำลงช่วยอุ้มเขาขึ้นมาให้รอดตาย ถึงผมจะถูกปรับอาบัติว่าสังฆาทิเสส ผมก็จะยอม ผมจะไม่รักษาศีลบริสุทธิ์ยอมให้คนจมน้ำตายไปต่อหน้า ถ้าผมทำเช่นนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าผมบวชเพื่ออะไร"

เจ้าคณะจังหวัดฟังคำตอบแล้วถามหลวงพ่อแช่มต่อว่า "เรื่องอวดอุตริมนุสธรรมต่างๆ จะว่าอย่างไร" หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยอวดอ้างความวิเศษอะไรที่ผมไม่มี ถึงความวิเศษที่ผมมีมากกว่าพระภิกษุอื่นๆ ผมก็ไม่เคยอวด นอกจากมีคนมาถาม ผมก็ตอบเขาไป ใครมีพยานหลักฐานว่า ผมอวดฤทธิปาฏิหาริย์อย่างไรบ้าง ก็ยืนยันมาเถิด" เจ้าคณะจังหวัดว่าต่อ "เช่นเรื่องหนังเหนียว คงกะพันชาตรี ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก" หลวงพ่อแช่มกล่าวตอบว่า "ผมไม่ได้อวด แต่ผมบอกว่าอานุภาพของคุณพระนั้น ช่วยป้องกันอันตรายได้จริง มีอานุภาพจริง เช่น ทำให้ผิวหนังเหนียว ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก คลาดแคล้ว" "ของดีที่แจกไป เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ จะกันมีดพร้าอาวุธได้จริงหรือ" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ หลวงพ่อแช่มได้ตอบไปว่า "ถ้าเขามีศรัทธาเชื่อมั่น แล้วใช้เป็นก็ป้องกันศัสตราวุธได้จริง"เจ้าคณะจังหวัดถามอีก "ถ้าผมจะลองฟันคุณเดี๋ยวนี้จะได้หรือไม่" หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "ยังไม่เคยมีใครมากล้าลองผมเลย" เจ้าคณะจังหวัดหัวเราะแล้วกล่าวว่า "ผมก็ไม่กล้าลองคุณเหมือนกัน" ครั้นแล้วการสอบสวนก็เป็นอันเสร็จสิ้น เจ้าคณะจังหวัดได้บอกว่า "คุณไม่มีความผิดอะไร" จากนั้นก็ได้สนทนากับหลวงพ่อแช่มถึงการเดินธุดงค์ และคาถาอาคมต่างๆ

นายเทพ สุนทรศารทูล ได้กล่าวถึงตอนท้ายของการสอบสวนหลวงพ่อแช่ม โดยเจ้าคณะจังหวัดในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" ว่า "ในที่สุดเจ้าคณะจังหวัด ก็ถามว่า ไหนคุณว่าคุณมีดีกว่าพระภิกษุอื่น คุณมีดีกว่าอย่างไร หลวงพ่อแช่ม ก็ว่าอิติปิโสแปดบทให้ฟัง แล้วก็ว่าอิติปิโสถอยหลังให้ฟัง จบแล้วก็บอกว่าพระองค์อื่นก็ว่าอิติปิโสเดินหน้าได้อย่างเดียว แต่ผมนั้นเชี่ยวชาญขนาดว่าทะแยงก็ได้ ว่าถอยหลังก็ได้ จะไม่ดีกว่าพระอื่นได้อย่างไร เจ้าคณะจังหวัดก็เลยพาคณะกลับ"


แนบไฟล์:
.jpg

ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 26 ส.ค. 2011 7:00 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
ยินดีต้อนรับครับ


เปิดกระทู้ด้วยประวัติครูบาอาจารย์เลย ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลดีดี


:D :D

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 27 ส.ค. 2011 2:42 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ยินดีต้อนรับอย่างยิ่งครับ

ขอบพระคุณมากครับกับบทความดี ๆ ที่กรุณานำมาโพสท์ให้อ่านกัน :D

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 27 ส.ค. 2011 8:58 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. 10 มี.ค. 2011 12:44 pm
โพสต์: 24
:grt: :grt: :grt: โชคดีที่มีเหรียญท่านอยู่ต้องรีบขึ้นคอดีกว่า


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO