นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 08 พ.ค. 2024 6:46 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 26 พ.ย. 2008 1:37 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
หลวงปู่คำพันที่ผมรู้จัก

โดย รณธรรม ธาราพันธุ์

.jpg



1...
ตอนสายของวันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2537 โตโยต้าเก๋งสีขาวคันหนึ่งวิ่งฝ่าเปลวแดดที่ร้อนระอุไปตามทางลูกรังสีแดงส้ม ในรถมีคนนั่งอยู่ 3 คน กลางธรรมชาติซึ่งคนเมืองไม่ค่อยได้สัมผัสอย่างนั้น ทำให้สามชีวิตในรถเพลิดเพลินและคิดกันไปเงียบ ๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะหนทางที่ยาวไกลจนดูเหมือนผิดปกติ บุญถนอม การุณยวณิช ผู้หญิงคนเดียวในคณะคงไม่ทำลายความเงียบขึ้น

“ เอ๊ะ ! เราหลงหรือเปล่านี่ “

“ ไม่หรอก...เพราะก่อนเข้ามาเราก็ดูป้ายบอกทางแล้วนะ เขาก็ว่าให้เข้าทางบ้านนามะเขือได้นี่”

ผมตอบเธอไปอย่างให้ความมั่นใจ ทั้งที่ลึก ๆ ในใจคนผู้ไม่เคยเหยียบย่างมาละแวกนี้เลยเช่นผมก็ยังหวั่นไหวกับคำปลอบของตัวเองเหมือนกัน

ทุ่งข้าวสีเขียวสดแลดูเวิ้งว้างถึงขอบฟ้า ทำให้บ้านไม้เก่า ๆ ใต้ถุนสูงเหล่านั้นมองเห็นชัดเพราะตัดกับใบข้าว บ้านที่ขึ้นโดดเดี่ยวและห่างกันเป็นระยะ ทำให้ผมรู้สึกว้าเหว่ไม่ต่างกับรถคันเดียวที่วิ่งอยู่โดยลำพัง

เก๋งสีขาวยังห้อตะบึงแบบไม่ยี่หระกับถนนดินแดงที่แห้งผาก ผมมองฝุ่นสีแดงฟุ้งกระจายขึ้นตัดแสงอาทิตย์ ก่อนจะทิ้งตัวลงช้า ๆ ไปจับอยู่ตามใบข้าว เลยดูเหมือนว่าใบข้าวสีเขียวอมส้มเหล่านั้นกำลังเปลี่ยนสีเพื่อผลัดใบ

จากทุ่งนาที่กว้างใหญ่ ถนนลูกรังเริ่มทอดตัวเข้าสู่ดงไม้ที่ไม่เขียวชอุ่มเอาเสียเลย ใจที่ค่อนข้างแห้งแล้งความหวัง พอมาเจอสภาพเช่นนี้ก็ใจเสีย บุญถนอมจึงเปรยทีเล่นทีจริง

“มาซะไกลขนาดนี้ไม่ใช่พอเจอวัดหลวงปู่ปรากฏว่าทางเข้าอีกทางแค่กิโลเดียวล่ะ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ทำใจเถอะน่า คนไม่เคยมานี่นา”

อีกพักใหญ่ทีเดียว รถเก๋งสีขาวซึ่งบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงไปได้อย่างน่าประหลาดก็แล่นผ่านวัดแห่งหนึ่ง ผมอ่านป้าย

“วัดป่าอรัญญคาม”

“เฮ..! จะถึงแล้วย้ง น๋อม วัดนี้เป็นวัดสาขาของท่าน หลวงปู่ท่านใช้ที่นี่สำหรับพักผ่อนและภาวนา”

กำลังใจมาเป็นอักโข นิวัฒน์ ภูริภาคย์วงศ์ สารถีคนดีของพวกเราก็เร่งรถเป็นการใหญ่ เพราะหวังที่พวกเรามีไม่ใช่เพียงพักกายที่แสนเมื่อยล้าจากการเดินทาง หากปรารถนาจะพบพระที่พวกเราเชื่อว่าดี พระผู้เฒ่าที่เราเดินทางมาด้วยศรัทธากว่า 800 กิโล.


2...
กุฏิหลวงปู่คำพันดูเงียบเชียบตรงข้ามกับอุโฆษในชื่อเสียงที่ควรจะมีใครต่อใครเฝ้าแหนมากกว่าที่เป็นอยู่ ผมเสียวใจขึ้นทันทีด้วยเกรงความผิดหวังว่าหลวงปู่จะไม่อยู่เพราะนิมนต์ของใครต่อใครที่มีก่อนหน้าผม

เราทั้งสามเลียบเคียงไปตามกุฏิท่าน เห็นเพียงชายวัยกลางคนดูแลวัตถุมงคลอยู่ด้านในของตู้ เพราะไม่รู้จักใคร ผมจึงถามศิษย์คนนั้นว่าหลวงปู่ไม่อยู่หรืออย่างไร คำตอบที่ได้เป็นทั้ง

ข่าวดีและข่าวร้าย

นั่นคือหลวงปู่อยู่แน่นอน หากกำลังพักอยู่ในห้อง นี่เป็นข่าวดีที่ชุบใจผมให้พองโต และแตกโพล๊ะในทันทีที่ได้ยินประโยคต่อมา

ท่านจะออกมาอีกทีก็บ่ายสามโมง

นี่เป็นข่าวร้าย...

นาฬิกาที่ข้อมือผมบอกเวลาเที่ยงห้านาที เพราะใจที่ไม่อยากผิดหวังผมมองนาฬิกาบนข้อมือคนโน้นคนนี้ด้วยหวังให้เรือนของผมช้าไปสักสองชั่วโมง

แต่มันก็ตรงดี

ผมเดินเหมือนหมดแรงไปนั่งหน้าประตูห้องท่าน เหลือบไปเห็นไวท์บอร์ดบันทึกกิจนิมนต์ของหลวงปู่คำพันยาวเหยียด นั่นเป็นนิมนต์ตลอดทั้งปีของท่าน ในทุก ๆ เดือน และทุก ๆ วัน มีนัดหมายดำพืดไปหมด ขาวสะอาดอยู่ช่องเดียว วันเดียวในปีนั้น

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2537

นิวัฒน์ และ บุญถนอมเดินดูเครื่องมงคลอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี ตอนหนึ่งนิวัฒน์มองเห็นรูปเหมือนบูชาหน้าตัก 5 นิ้วของท่านฐานปั้นแต่งเป็นพญานาคสองตนโอบกอดโดยรอบ เขาเกิดชอบใจขึ้นมาเมื่อถามค่าบูชาก็ 800 บาท แท้จริงไม่แพงเลยหากนึกถึงระยะทางที่อุตสาหะมา

หากศรัทธาในองค์ท่านหรอกที่เป็นอุปสรรคเล็ก ๆ ด้วยขณะนั้นทั้งสองคนรู้จักหลวงปู่คำพันเพียงวาจารับรองจากผมเท่านั้น ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก ย่อมไม่สามารถแลกปัจจัยที่สูงราคาได้ โดยเฉพาะเมื่อยังต้องเดินทางอีกเกือบ 700 กิโล.

เมื่อความอยากกับความศรัทธาต่อสู้กันอยู่ในใจไม่รู้แพ้ชนะ นิวัฒน์จึงตัดสินใจอธิษฐานอย่างเงียบ ๆ ว่า

“หลวงปู่ครับ ถ้าหลวงปู่เก่งจริงอย่างที่ต่อบอก ผมขอให้หลวงปู่ออกมาโปรดด้วยเถอะครับ เพราะผมเดินทางมาไกลเพื่อหลวงปู่โดยเฉพาะ จะไม่ขอรบกวนนานเลยเพียงแค่กราบแค่ถวายช็อคโกแลตและถวายปัจจัยก็จะเดินทางไปอุบลฯต่อเลย ถ้าหลวงปู่ได้ยินและออกมาจริง ๆ ผมจะขอเช่ารูปหล่อองค์นี้ทันที”

ไม่มีใครได้ยินเสียงร่ำร้องในใจของนิวัฒน์แม้บุญถนอมผู้ยืนอยู่ข้าง ๆ สำหรับผมที่ชักชวนพวกเขามารู้สึกเหมือนแบกความรับผิดชอบก้อนใหญ่ไว้บนบ่า ค่าที่เป็นคนเริ่มชวนจึงรู้สึกผิดจริง ๆ

ฉะนั้น จึงมิได้มีเพียงเสียงร่ำร้องของนิวัฒน์คนเดียว หากผมก็คร่ำครวญไม่ต่างไปว่า

“ขอเวลานิดเดียวนะครับหลวงปู่ ต่อเชื่อหลวงปู่ว่าจะรู้ได้ถึงความคิดที่มีศรัทธาอย่างนี้ ในเมื่อตลอดทั้งปีไม่มีว่างกิจนิมนต์เลยนอกจากวันนี้วันเดียว ต่อถือว่าเป็นเพราะหลวงปู่เมตตามาแต่ต้นแล้วแน่นอนจึงขอรบกวนอีกสักครั้ง นะครับหลวงปู่...นะครับ...ขอหลวงปู่เมตตา...”

ครืด...

เสียงประตูเลื่อนซึ่งเป็นกระจกติดฟิล์มสีดำเคลื่อนตัว แม้ผมนั่งหลับตาอยู่ใจก็ระทึกขึ้นสุดส่วนด้วยเชื่อเหลือเกินว่าผู้เปิดต้องเป็นท่าน ไม่...แม้จะเผื่อพลาดหวังว่าจะเป็นพระ-เณร

หลวงปู่คำพันจริง ๆ

ท่านอยู่ในชุดที่เรียกว่าห่มดองพาดสังฆาฏิรัดอกอย่างเรียบร้อย ท่านยืนประจันหน้ากับผมห่างกันไม่ถึงเมตร ผมจำสายตานั้นได้ไม่มีวันลืม ตาที่มองมาอย่างเมตตา มองอย่างสงสาร

และมองอย่างรู้ทัน

ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้เตรียมใจกับสถานการณ์อย่างนี้ ชั่วลมหายใจเข้าออกที่มองกัน ท่านก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “หึ..หึ..”
จากนั้นก็เดินไปหยิบแป้งเจิมและทำอาการอย่างให้รู้ว่า

เตรียมตัว

นิวัฒน์วิ่งไปเปิดประตูรถรอท่า หลวงปู่เดินไล่เจิมรถที่จอดหน้ากุฏิในวันนั้นทุกคันที่ขอให้เจิม สมใจเจ้าของรถเช่นนิวัฒน์เป็นยิ่ง เพราะรถเขายังไม่ได้เจิมและหลวงปู่คำพันก็เป็นเป้าหมายหลักในใจแต่ไม่มีใครกล้าออกปาก ไม่รู้หรอกว่าท่านจะเมตตาปานนั้น

เจิมรถแล้วเราก็รอศรัทธาคนอื่น ๆ คุยกับท่าน ไม่ช้าไม่นานเขาเหล่านั้นก็กลับหมด เหลือเพียงท่านกับเราจริง ๆ

“มาจากไหนล่ะ”

“ชลบุรีครับ”

“อื้อมาไกลนะ เข้ามาวัดหลวงปู่จากทางไหน”

แปลกใจกับคำถามท่านเหมือนกัน แต่ก็เรียนไปว่า

“มาทางนี้ครับ ทางที่ผ่านวัดป่าอรัญญคามน่ะครับ” ตอบไปพลางชี้มือประกอบไป

“โอ้..! ไกลนะ มันอ้อมไกลมาก วันหลังให้มาถนนใหญ่แล้วเข้าทางหน้าวัดนี่นะไม่อ้อมด้วย”

ผมสามคนมองหน้ากัน จึงเรียนถามว่า

“ถ้าเข้าหน้าวัดไกลแค่ไหนครับ”

“กิโลเดียว” ท่านตอบ

เหตุนี้ผมจึงถูกรุมประณามจากเพื่อนทั้งสองมาตลอด พูดถึงหลวงปู่คำพันเมื่อไร ถนนลูกรังสีสดก็จะกลายเป็น ไฮไลท์ ของเรื่องทุกครั้งไป

ตอนหนึ่งของการสนทนาที่ยาวนาน ผมเรียนถามว่าหลวงปู่เป็นศิษย์ในหลวงปู่เสาร์ดังที่เขาว่ากันจริงหรือ ท่านว่า

“เป็นอยู่ แต่เป็นศิษย์ที่ไม่ได้อยู่กับอาจารย์”

ทราบภายหลังว่าท่านเคยพบหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่ก็สอนวิธีการทำกัมมัฏฐานให้ แต่ท่านไม่ได้ติดสอยห้อยตามดังเช่นพระรูปอื่น ๆ

ครั้นได้สัมผัสเมตตาธิคุณในหลวงปู่คำพันอย่างถึงใจ ผมก็อดไม่ได้ที่จะเรียนท่านไปตามความรู้สึกว่าหลวงปู่ใจดีจัง ใจดีเหมือนหลวงพ่อพุธเลย

ท่านมองหน้าผมแล้วยิ้ม เป็นยิ้มที่นอกจากเห็นรอยน้ำหมากแล้วยังได้เห็นน้ำใจนักปฏิบัติเช่นท่านด้วย เมื่อท่านตอบว่า

“หลวงปู่ใจไม่ดีหรอก สู้หลวงพ่อพุธไม่ได้หรอก”

เช่นนี้ไหมที่เรียกว่าปล่อยอัตตาให้ลอยหาย ผมไม่ทราบได้ว่าหลวงปู่คำพันเป็นพระชั้นใดภูมิใด แต่เมตตาและมธุรสวาจาเช่นนั้นก็พอแล้วที่จะทำให้คนเขลาอย่างผมเคารพบูชาท่านเป็นที่สุด

เราทั้งสามกราบลาหลวงปู่คำพันอย่างเต็มตื้นในใจ หมายมั่นโดยมิได้นัดว่านับแต่นี้มีท่านเป็นครูบาอาจารย์อย่างยิ่งอีกองค์หนึ่ง และถ้าพร้อมเมื่อใดเราก็จะขึ้นมากราบแทบเท้าหลวงปู่ผู้เป็นยิ่งกว่า ครู อีกเมื่อนั้น



3...
เช้าวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2546 เสียงโทรศัพท์ปลุกผมให้ตื่นขึ้นเพื่อรับฟังข่าวร้าย ข่าวที่มีแต่ด้านร้ายอย่างเดียวไม่มีข่าวดีอีกด้านให้รับฟังเหมือนอย่างที่กุฏิหลวงปู่

หลวงปู่คำพัน มรณภาพแล้ว

ผมจะบอกความรู้สึกอย่างไรได้ ในเมื่อมันเป็นของที่ไม่อาจสาธารณะให้แก่ใคร ๆ และถึงจะพูดไป ความด้อยค่าที่ไม่ได้เป็นก้นกุฏิเช่นผมคงไม่ช่วยให้คำพูดผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของคำนำในหนังสืออนุสรณ์แด่หลวงปู่คำพัน

ผมเคยอยากเขียนสิ่งที่เรียกว่า “คำไว้อาลัย” แต่เมื่อคิดถึงหลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล ผู้มีฉายาว่า “อนาลโย” ซึ่งแปลแล้วคือ “ผู้ไม่มีความอาลัย” ผมก็ฟุบแฟบในปัญญาที่จะเขียน

ครั้นจะเขียนในสิ่งที่เรียกว่า “คำไว้ทุกข์” ผมก็คิดถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ในธรรมวาจาของท่านที่ว่า “ทุกข์เป็นของควรกำหนดรู้ เมื่อรู้แล้วก็ให้ละเสีย ไปไว้มันทำไม”

ณ ที่นี้ จึงมีเพียงความเคารพเทิดทูนอยู่ในทุกตัวอักษร เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่าหลวงปู่คำพันเป็นทั้ง “ผู้ไม่มีความอาลัย” และเป็น “ผู้ละทุกข์” เสียได้โดยสมบูรณ์


เคยคิดเสียใจกับการจากไปของท่าน แต่นึกเห็นที่อันท่านจะได้ไปมันก็หายเสียใจได้เอง สิ่งที่เหลืออยู่คือความเสียใจที่ไม่อาจใช้ชีวิตหลังความตายได้อย่างท่าน หลวงปู่ท่านวางภาระทั้งปวงได้แล้วโดยแท้ หากผมยังแบกภาระขันธ์ห้าอยู่อย่างนี้และคงถือมั่นต่อไป คิดเท่านี้ก็เสียใจให้กับตัวเองได้อีกนานแล้ว.

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 26 พ.ย. 2008 1:46 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
สาาาาาธุ...........เศร้าจัง :cry:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 26 พ.ย. 2008 2:09 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 14 ต.ค. 2008 9:22 pm
โพสต์: 832
:pry: สาธุ สาธุ สาธุ :pry:

_________________
"สติเป็นบ่อเกิดของธรรม ใครอยากให้ธรรมเกิด พึงมีสติอยู่ทุกเมื่อ"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 26 พ.ย. 2008 11:16 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 09 ก.ย. 2008 11:02 pm
โพสต์: 360
โอ้ย!! อ่านแล้วขนลุกเลยครับ
กระชากอารมณ์มาก

_________________
Yesterday is history
Tomorrow is a mystery
And Today is a gift...
Thats why they call it the Present


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 27 พ.ย. 2008 8:21 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 29 ก.ย. 2008 12:53 pm
โพสต์: 754
คิดถึงครูบาอาจารย์

_________________
.........ถ้าเจ้าได้ทุกอย่างอย่างที่คิด
ชั่วชีวิตจะเอาของกองที่ไหน
จะได้บ้างเสียบ้างจะเป็นไร
ช่างหัวใครช่างหัวมันเท่านั้นเอง ..........


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 27 พ.ย. 2008 12:05 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 30 ก.ย. 2008 10:00 am
โพสต์: 634
ขออนุโมทนากับเรื่องราวดีๆด้วยครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 29 พ.ย. 2008 12:23 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 12:00 pm
โพสต์: 488
เศร้าสลด...แต่...งดงาม

ประทับใจเรื่องราวดี ดี จากอจ.รณธรรม ทุกเรื่องเลยค่ะ แต่เรื่องนี้ Blah Blah ประทับใจเป็นพิเศษจริง ๆ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 29 พ.ย. 2008 12:47 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ขอบพระคุณทุกท่านครับ

หากจะมีความดีใด ๆ บังเกิด ขอน้อมเศียรเกล้าถวายหลวงปู่คำพัน โฆสปัญโญ โดยเคารพยิ่ง

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 29 พ.ย. 2008 8:52 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
:ilu:
เขียนได้เยี่ยมเลยครับ ผมเองเคยเจอหลวงปู่คำพันแค่ครั้งเดียว ที่วัดบวรนิเวศ
พิธีปลุกเสกพระรุ่นไหนจำไม่ได้แล้ว จำได้ว่าก้มลงกราบ เงยหน้าขึ้นมาเห็นท่านยิ้มๆ
ตอนนั้นแค่นี้ก็พอเพียงแล้วฮะ แต่ตอนนี้ได้ "ปฐวีธาตุ" สักองค์ ก็พอใจแล้วครับ
:ilu: :ilu:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 03 ธ.ค. 2008 8:34 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ศิษย์กวง เขียน:
:ilu:
เขียนได้เยี่ยมเลยครับ ผมเองเคยเจอหลวงปู่คำพันแค่ครั้งเดียว ที่วัดบวรนิเวศ
พิธีปลุกเสกพระรุ่นไหนจำไม่ได้แล้ว จำได้ว่าก้มลงกราบ เงยหน้าขึ้นมาเห็นท่านยิ้มๆ
ตอนนั้นแค่นี้ก็พอเพียงแล้วฮะ แต่ตอนนี้ได้ "ปฐวีธาตุ" สักองค์ ก็พอใจแล้วครับ
:ilu: :ilu:


ขออนุญาตตกใจดัง ๆ นะครับ "อุ้ย" !!

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO