นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 8:13 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 05 ส.ค. 2010 8:57 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
"แม่เรารู้จักกับเจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำมันตราองุ่น ตัวเจ้าของเค้ายังไม่กินเลย ยังให้แม่บ้านเจียวน้ำมันหมูทำอาหารเหมือนเดิมค่ะ ก้อลองอ่านดูละกันนะ"


เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก จะเห็นแม่สาละวนกับการเจียวน้ำมันหมูทุก ๆ ๗ วัน เพื่อใช้ผัดกับข้าวให้พวกเรา รับประทาน น้ำมันหมูนี้มันเก็บได้ไม่นานเพราะไม่มีตู้เย็นเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งการใช้ก็ตักทีละน้อยเพราะน้ำมันที่ผัดหรือทอดแล้วจะดำ และเหม็นหืนง่าย แต่พอข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น บรรดานักวิชาการสุขภาพก็เริ่มประกาศความมีพิษภัยของน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว โดยโฆษณาชุดแรก ๆ ก็เน้นที่ความไม่เป็นไข (แข็งตัว) เมื่ออุณหภูมิเย็นตัวลง ของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เมื่อเทียบกับน้ำมันหมู และน้ำมันมะพร้าว โดยโฆษณาเน้นเรื่อง คอเลสเตอรอลให้คนดูตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพเรื่องโรคหลอดเลือด และหัวใจ จะด้วยความโง่หรืออ่อนต่อโลกก็มิทราบได้ ทั้งน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวมิได้จับตัวเป็นไขในร่างกายคน เพราะอุณหภูมิสูงถึง ๓๗ องศาc (น้ำมันทั้ง ๒ ชนิดจะเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำกว่า ๒๕ องศาเซลเซียส) แต่ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนน้ำมันทั้ง ๒ ชนิดที่เคี่ยวเองได้หันมากินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (Refined, Bleached, Deodorized) ด้วยความเชื่อนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่า รู้จริง รู้ดี จึงกล้าแนะนำประชาชน

หลายสิบปีผ่านไป การตรวจเลือดหาปริมาณคอเลสเตอรอลยังคงได้ตัวเลขสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากขึ้นทุกปี ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่อ้วนหรือน้ำหนักเกินดัชนีมวลกาย และได้เลิกใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าวไปนานแล้ว อีกทั้งร้านอาหารทุกแห่งไม่ว่าริมถนนหรือภัตตาคารก็ไม่มีใครทำน้ำมันใช้เองอีกแล้ว แม่ของข้าพเจ้าป่วยตายด้วยโรคมะเร็งเยื่อหุ้มหัวใจเมื่ออายุ ๘๑ ปี แต่ข้าพเจ้ากลับป่วยด้วยอาการ ของโรคไต (nephrosis) และมีอาการคล้ายกับเป็นแผลเบาหวานทั้ง ๆ ที่น้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร ๘ ชั่วโมงเพียง ๙๐ หน่วย (mg./dl) ดังนั้นแผลที่หายยากนั้นจึงเรียกว่า "โรคเส้นเลือดฝอยอักเสบเรื้อรัง"

ข้าพเจ้าโชคดีที่พบสาเหตุและยาแก้ แม้ว่าจะเป็นยาสมุนไพรที่กินยาก แต่ข้าพเจ้าก็หายได้เพราะความอดทน เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ข้าพเจ้าเลิกกินอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีนาน ๑ ปี ระดับคอเลสเตอรอลก็ลดลงต่ำกว่า ๑๕๐ มก./ดล.(ค่าปกติ ๑๕๐-๒๐๐ มก./ดล.) ทั้ง ๆ ที่ น้ำมันพืชทุกชนิดมักจะอ้างว่า ไม่มีคอเลสเตอรอลก็ว่าได้

ข้าพเจ้าได้ตั้งคำถามถึงสาเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นโรคไต แล้วค้นคว้าจนพบความจริงว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีนี้แหละเป็นต้นเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าป่วย เพราะกินน้ำมันนี้วันละ ๓ มื้อ มากกว่าอาหารหรือยาชนิดใดใด และน้ำมันพืชฯ นี้มันถูกเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated) ทำให้ทอดอาหารได้กรอบอร่อย ใช้ได้หลายครั้ง ไม่เหม็นหืน แต่ก็เป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูงเพราะโครงสร้างเคมีเปลี่ยนไปหลังผ่านกรรมวิธี เมื่อกินเข้าไปในร่างกายจะกลายเป็นคราบทำให้น้ำซึมผ่านไม่ได้ ไม่เหมือนอย่างน้ำมันมะพร้าวที่คั้นน้ำกะทิแล้วเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน แม้น้ำมันมะพร้าวจะมีสัดส่วนไขมันอิ่มตัวสูง แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีเพราะใช้ความร้อนสูง อีกทั้งยังละลายน้ำได้จึงไม่เป็นคราบฝังแน่นในลำไส้และหน่วยไต

ท่านอาจจะยังไม่เชื่อข้าพเจ้า จึงอยากให้ทดลองเองที่บ้าน โดยนำน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธียี่ห้อไหนก็ได้ ลองใส่ภาชนะแล้วตากแดดให้อุณหภูมิใกล้เคียงกับภายในของมนุษย์ แล้วตรวจดูความเหนียวหนึบของมัน ลองกับน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวเอง แล้วเปรียบเทียบกัน แม่บ้านหลายคนกล่าวว่าการล้างจานชามที่เปื้อนน้ำมันหมู น้ำกะทิ และน้ำมันมะพร้าว ทำได้ง่ายกว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมาก

คราบเหนียวหนึบยึดติดนี้จะเกิดในลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ หลอดเลือดฝอยไต ( ติดในหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ติดในหลอดเลือดฝอยไต ทำให้เป็นโรคไต วายเรื้อรัง ) จะเห็นได้ว่าปีหนึ่ง ๆ มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเป็นอันดับหนึ่ง ติดตามด้วยโรคมะเร็ง เมื่อน้ำไม่สามารถซึมผ่านคราบน้ำมันในลำไส้เล็ก ร่างกายก็จะขาดน้ำซึ่งควรจะมีอยู่ ๒/๓ ของน้ำหนักตัว สารละลายน้ำเช่น วิตามินบี ซี กรดอมิโน ก็จะกลายเป็นภาระของไตต้องกรอง ไตทำงานหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเรากินมากขึ้นตามความเรียกร้องของสมอง เพราะร่างกายที่ขาดสารอาหารละลายน้ำ ยิ่งกินมากน้ำมันก็ยิ่งอุดตันมาก ไตก็ทำงานหนักขึ้นอีก

แนวโน้มคนป่วยโรคไต ไตวายเรื้อรังมีมากถึง ๒๒ ล้านคน ถ้าไม่หักคนป่วยที่ตายไปแบบเฉียบพลันหรือที่เรียกว่า โรคไหลตาย และไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ต้องฟอกไต (๓ ปี) แล้วตาย ประมาณว่ากึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะป่วยเป็นโรคไตใน ๑๐-๒๐ ปี ขึ้นอยู่กับอัตราการบริโภคน้ำมันพืชฯ ส่วนอีกกึ่งหนึ่งก็ตายเพราะโรคมะเร็ง เพราะสารอาหารสำคัญที่ละลายน้ำไม่ถูกดูดซึมเป็น ๑๐ ปี ( สังเกตจากกรณีพระประชวรของสมเด็จพระพี่นางเธอฯ ที่ทรงเสวยพระกระยาหารแบบเรียบง่ายเหมือนพสกนิกรทั่วไป หลังจากเคยหายจากโรคมะเร็งไปนานถึง ๑๐ ปี)

คนไทยร้อยละ ๗๐ กำลังเป็นโรคอ้วนเพราะการบริโภคน้ำมันพืชฯ ค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันพืชฯ ต่อคนต่อเดือนสูงถึง ๑.๑ กก. หรือประมาณ ๑ ลิตร นั้นหมายความว่ามีคนเมืองจำนวนมากที่กินน้ำมันพืชมากกว่า ๑.๑ กก. เพราะในชนบทห่างไกลคนไทยจำนวนหนึ่งมิได้ใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี แต่ใช้น้ำมันหมูบ้าง น้ำมันมะพร้าวบ้าง

ในราวต้นปี ๒๕๕๐ บริษัทฟ้าสฟู้ด KFC ในต่างประเทศได้ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจนโดยไม่บอกเหตุผล จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า เพราะเหตุใดธุรกิจจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรการปรุงอาหารอันเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตของตนเอง ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงทางการตลาดและกำไรที่ลดน้อยลง

ทำไมน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีจึงมีอันตรายสะสม ?

คำตอบก็คือ การสกัดด้วยความร้อนทำให้เกิดการไหม้เกรียมและดำ ทำให้ต้องใช้เคมีเช่น โซดาไฟ ฟอกขาว และการเติมไฮโดรเจนจะทำให้น้ำมันพืชเก็บไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืนง่าย แต่ไฮโดรเจนก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีทำให้ น้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัวกลายเป็นน้ำมันพืชอิ่มตัว และมีลักษณะหนืดเหนียวจับกุมเป็นก้อนแข็งในอุณหภูมิ ๓๖-๔๐ องศาเซลเซียส

ดร.ณรงค์ โฉมเฉลาได้เขียนบทความ ''น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตรายหรือประโยชน์ต่อสุขภาพ' ในวารสาร "เกษตรกรรมธรรมชาติ" ใจความว่าประเทศที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวมีตัวเลขการตายจากโรคหัวใจและมะเร็งต่ำกว่าประเทศที่บริโภคน้ำมันพืชอื่น แล้วทำไมจึงมีงานวิจัยในอดีตที่กล่าวหาว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นสาเหตุของโรคหัวใจวาย จนทำให้ใคร ๆ ต่างหวาดผวาน้ำมันมะพร้าว และเชื่อว่าน้ำมันมะพร้าวมีไขมันอิ่มตัวสูง มีคอเลสเตอรอลสูง ดร.ณรงค์กล่าวว่า American Soybean Association ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในอเมริกา วิจัยผลเสียของน้ำมันมะพร้าวเพื่อส่งออกถั่วเหลืองในตลาดโลก

ข้าพเจ้าอยากเตือนคนไทยทั้งหลาย โปรดสำรวจตนเองว่าท่านกินน้ำมันวันละซีซี มันระบายออกมาได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าท่านไม่หยุดกิน โรคไต โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคภูมิแพ้ โรคความดันเลือดสูง โรคมะเร็ง ฯลฯ จะมาเยือนท่านไม่ช้าก็เร็ว
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๒๙๑ ก.ค.๒๕๔๖ ลงบทความ "น้ำมันพืชใช้อย่างไรให้ถูกต้อง และปลอดภัย" แนะนำว่า การผัดอาหารควรใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว แต่หากจะทอดอาหารแล้วควรใช้ น้ำมันพืช หรือสัตว์ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะการทอดใช้ความร้อนสูง และจุดเดือดน้ำมันพืชประมาณ ๑๘๐ องศาเซลเซียส จะเกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายหลายชนิด เรียกรวม ๆ ว่า โพลาร์คอมเพาวด์ (Polar Compound) สารเคมีชนิดนี้ข้าพเจ้าเคยพบด้วยกลิ่นที่ทำให้แสบจมูก มีพ่อค้าทอดขนมกู๋ไช่คนหนึ่งมีอาการตาพร่ามัว จึงไปพบจักษุแพทย์ และได้รับคำแนะนำให้เลิกอาชีพขายอาหารทอดอาหารผัดอย่างถาวร มิฉะนั้นจะตาบอดได้

ทำไมน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูงอย่างน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวจึงเหมาะแก่การทอด?

คำตอบก็คือ น้ำมันทั้งสองชนิดนี้เป็นน้ำมันที่มี กรดไขมันอิ่มตัวสูง (น้ำมันหมู ๔๐ื% น้ำมันมะพร้าว ๘๘ %) มีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่จับกับธาตุคาร์บอน (C) ในลักษณะแขนเดี่ยว (single bond) เมื่อโดนความร้อนสูงก็ทำให้อาหารกรอบ อร่อย ไม่มีสารเคมีเป็นพิษ และน้ำมันที่ใช้ทอดแล้วก็เก็บไว้ทอดซ้ำเกิน ๒ ครั้งไม่ได้เพราะจะดำและเหม็นหืน ซึ่งผิดกับน้ำมันพืชอื่น ๆ ซึ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งมีโครงสร้างเคมีเป็นแขนคู่ (double bond) ในการจับกับธาตุคาร์บอน จึงสามารถจับกับธาตุไฮโดรเจนเพิ่มได้อีก ๒ อะตอม จึงเหมาะกับการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) ซึ่งเรียกว่า Trans Fatty Acid (TFA) 'Trans' นี้เป็นผลลัพท์ของความพยายามที่จะทำให้น้ำมันพืชมีลักษณะเหมือนน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ที่ทำให้อาหารทอดกรอบอร่อย แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน มะเร็งเต้านม เพราะน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธีเหล่านี้ไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้ง่าย ๆ เหมือนน้ำมันมะพร้าวที่ละลายน้ำได้

บางคนที่เป็นปู่ย่าตายายในขณะนี้ (อายุ ๗๐ ปีขึ้นไป) จะบอกกล่าวว่า พ่อแม่ของท่านใช้น้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวทำอาหาร และท่านก็มีอายุถึง ๙๐ ปีกว่า ก่อนเสียชีวิตไม่ได้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเลย แต่ก็มีอายุยืนยาวได้

ในทางกลับกัน คนไทยในสมัยนี้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมานานกว่า ๓๐ ปี กลายเป็น โรคเบาหวานกันทั่วประเทศทุกหมู่บ้าน เด็ก ๆ ก็กลายเป็นโรคอ้วน เบาหวานในเด็กก็ลุกลามใหญ่โต จนในปีนี้องค์การเบาหวานโลกได้เน้นการรณรงค์เบาหวานในวัยรุ่น ปีหนึ่ง ๆ จะมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นในโลกไม่น้อยกว่า ๕ ล้านคน

สารเคมีที่กินเข้าไปคือ polar compound ยังไม่มีใครประกาศออกมาเลยว่ามีผลร้ายอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ คือ มันหนืดเมื่อโดนความร้อนสูง และติดหนึบหนับในลำไส้เล็กของเราจนทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึม สารอาหารที่ละลายน้ำ เช่น กรดอมิโน วิตามินบี ซี เป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยต่าง ๆ โดยเฉพาะ การเจ็บป่วยแบบสะม ค่อยเป็นค่อยไปซึ่งยากต่อการสังเกตเห็น

บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมบทความนี้ เชียร์แต่น้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวเคี่ยวเอง น้ำมันปาล์มก็มีระดับกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึง 48% ไม่เหมาะกับการทอดหรืออย่างไร? จริง ๆ แล้วก็เหมาะสมถ้าผ่านการหีบเย็น แต่น้ำมันปาล์มที่ขายอยู่นั้นผ่านกรรมวิธี refined, bleached, deodorized จึงมี polar compound เมื่อทอด

น้ำมันพืชที่ได้จากการสกัดแบบธรรมชาติ คือ หีบเย็น (Cold press) หรือการบีบคั้นโดยไม่ใช้ความร้อน ส่วนใหญ่แล้วดี มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่เมื่อเอาไปดัดแปลงทางเคมีเติมไฮโดรเจนเข้าไปก็เลยเป็นโทษ น้ำมันพืชที่หีบเย็นถ้านำมากินโดยไม่ผ่านการผัด การทอดก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย สปาหลายแห่งจึงนำไปใช้เสริมสวย บำรุงผิวให้ลูกค้า

นิตยสาร'เกษตรกรรมธรรมชาติ' ฉบับ ๒/๒๕๔๘ บทความพิเศษ "น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตราย หรือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ" โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา กล่าวไว้ว่า

"น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันพืชที่ประเทศต่าง ๆ ในเอเซียและแปซิฟิคใช้เป็นแหล่งพลังงาน และการหุงหาอาหารมาช้านานโดยไม่ปรากฏอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2521 ประเทศศรีลังกาเป็นเทศที่ใช้น้ำมันมะพร้าวมากที่สุดประเทศหนึ่ง มีอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเพียง ๑ ในแสนคน เปรียบเทียบกับ ๑๘๗ ในแสนคนในประเทศที่ไม่ได้ใช้น้ำมันมะพร้าว"

ดร.ณรงค์ยังกล่าวด้วยว่า "น้ำมันมะพร้าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงระดับโคเลสเตอรอลในเลือด เนื้อมะพร้าวกับน้ำมะพร้าวลดระดับโคเลสเตอรอลอย่างมีนัยสำคัญ น้ำมันมะพร้าวเพิ่มปริมาณของ High density lipoprotein (HDL) ได้มากกว่าน้ำมันถั่วลิสง น้ำมันมะพร้าวไม่เพิ่มอัตราส่วนของ LDL ต่อ HDL ในขณะที่ไปลดระดับของไตรกลีเซอไรด์"

ข้าพเจ้าคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเชื่อมั่นในภูมิปัญญาชาวบ้าน

.....................................................................................................................................................................

ขอขอบพระคุณท่านพลโทณัฐพลชัย วิเศษสินธุ ที่กรุณาส่งข้อมูลอันเป็นประโยชน์นี้มาให้จึงได้นำมาเผยแพร่กัน

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 05 ส.ค. 2010 10:42 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 27 มี.ค. 2010 1:50 pm
โพสต์: 598
น่าคิด สงสัยต้องเปลี่ยนมาใช้นำ้ำมันมะพร้าวแทนน้ำมันพืชซะแล้ว เผื่อน้ำนักจะได้ลดลงบ้าง :shhy:

ขอบคุณท่านอาจารย์รณธรรม สำหรับบทความดีๆ มีสาระประโยชน์ครับผม :grt:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 05 ส.ค. 2010 11:12 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ขอบพระคุณเช่นกันครับที่กรุณาเข้ามาเยี่ยมชม :P

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ส.ค. 2010 2:20 am 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
น้ำมันอู๊ด ๆ อร่อยที่ซู๊ดดดด......... :lol: :lol:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ส.ค. 2010 11:46 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 24 พ.ย. 2008 4:51 pm
โพสต์: 613
อู๊ด อู๊ด เขียน:
น้ำมันอู๊ด ๆ อร่อยที่ซู๊ดดดด......... :lol: :lol:

น้ามมันอู้ดๆ = น้ามมันหมูอ่ะป่าวครับ :ilu: :ilu: :ilu:

_________________
"ความทุกข์มันเข้ามาได้เพราะเราไม่ภาวนา เมื่อภาวนาแล้ว มันก็หมดลง"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ส.ค. 2010 4:37 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
จุ๊จุ๊ รู้แล้วอย่าเอ็ดไป

อย่าแหวกรำให้หมูตื่น :mrgreen:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ส.ค. 2010 5:20 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
:idead: :idead:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ส.ค. 2010 6:15 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 27 มี.ค. 2010 1:50 pm
โพสต์: 598
:vvhpy: :vvhpy: :vvhpy:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO