นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 12:59 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 15 ก.ย. 2008 1:38 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
img015.jpg


โดย รณธรรม ธาราพันธุ์

ศิษย์ในท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต นั้นมีมากองค์และล้วนต่างอุปนิสัย บางท่านมุ่งตรงโลกุตตรธรรมไม่ว่อกแว่ก บางท่านบรรลุแล้วก็เงียบเฉย บางท่านบรรลุแล้วโด่งดังด้วยเมตตาธรรม บางท่านด้วยการแสดงธรรม และบางท่านก็ด้วย...

อิทธิฤทธิ์

ว่ากันว่า การแสดงธรรมได้ไพเราะยากจะมีผู้ใดเปรียบก็ดี การเปี่ยมปฏิภาณโวหารสาธกธรรมได้ละเอียดพิสดารก็ดี หรือการมากด้วยฤทธานุภาพใด ๆ นั้น ล้วนเป็นเรื่องของ ‘บารมี’ ที่ได้สั่งสมมาแต่กาลก่อน

บางท่านนับร้อยชาติ บางท่านนับพันชาติที่ต้องเก็บเกี่ยวบุญกุศลราศีซึ่งบำเพ็ญมาก็เพื่อความ ‘เป็น’ ในแบบต่าง ๆ ที่ท่านมุ่งหวัง บางท่านก็โชคดี ‘ทีเดียวได้’ ราวกับเปิดฝากระทิงแดงแล้วได้สำเร็จอรหันต์ตลอดชีพ

พระสิวลี นั่นไง

ได้พบพระพุทธเจ้าพระนามว่า ‘พระวิปัสสี’ บังเกิดศรัทธาถวายข้าวมธุปายาสแล้วตั้งความปรารถนาเป็นพุทธสาวกองค์อรหันต์ผู้เป็นเลิศในโชคลาภยิ่งกว่าใคร พระวิปัสสีพุทธเจ้าก็ประทานพุทธพยากรณ์ทันทีเช่นกันว่า จักได้สำเร็จสมดังมโนรถในพุทธกาลแห่ง พระสมณโคดมพุทธเจ้า

ก็เป็นดังนั้นจริง

ทุกวันนี้แม้พระสิวลีผู้ยิ่งด้วยบุญลาภจะนิพพานนานแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ก็ยังสถิตอยู่ในสากลจักรวาล เมื่อผู้ศรัทธาเรียกร้องขอพึ่งด้วย ‘บารมี’ แห่งท่าน ก็สมปรารถนาทุกรายหากศรัทธาจริง ดูประหนึ่งท่านยังคงอยู่มิได้หายไปไหน

‘บารมี’ ท่านยังอบอวลอยู่ในโลก

ครูบาอาจารย์ต่างบอกว่า พระอรหันต์ไม่ได้สูญไปไหน จิตท่านยังอยู่ แต่อยู่ในที่ที่คนผู้หนากิเลสเข้าไปไม่ถึงและคาดเดาไม่ได้ หากท่านเหล่านั้นประสงค์ ‘จะไปจะมา’ ไม่ว่าที่ใดก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับท่าน ทุกท่านล้วนรับรู้สิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่ ‘ตายด้าน’ อย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะท่านเหล่านั้น ‘สูญกิเลส’ ไม่ใช่ ‘สูญจิต’

ท่านเจ้าคุณนร ฯ หรือ พระธัมมวิตักโกภิกขุ แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ที่ใครหลายคนเชื่อว่าเป็นพระอนาคามี และอีกหลายคนเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์กลางกรุง ซึ่งพวกแรกจะมีจำนวนน้อยกว่าพวกหลังที่เชื่อกันอย่างถึงใจจริง ๆ ว่าท่านต้อง ‘สำเร็จ’ องค์ท่านเองยังเคยกล่าวกับหลานรักของท่านคือ ปลัดโกศล ปัทมะสุนทร ว่า

“โกศล ลุงไม่เกิดอีกแล้วนะ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”

และกล่าวอีกว่า

“โกศล ตายแล้วก็สามารถช่วยคนได้ดีกว่าอยู่อีกนะ ขอเพียงแต่เราอธิษฐานจิตถึงกันและกัน กระแสจิตเปรียบเหมือนเครื่องส่งวิทยุนะ ถ้าจูนเครื่องตรงกันก็สามารถติดต่อกันได้ ถ้าเครื่องส่งมีกำลังส่งมากเพียงไรแต่ถ้าเครื่องรับไม่จูนให้ตรงกัน ก็ไม่สามารถรับได้”

คำกล่าวทั้งสองประโยคเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่าการประกอบความเพียรนั้นฆ่าแค่กิเลส ไม่ได้ฆ่าจิตเสียจนไม่สามารถรับรู้เรื่องราวอะไรได้ หายสาบสูญไปเหมือนไม่เคยเกิด คิดถึงใครก็ไม่ได้ ช่วยเหลือใครก็ไม่ได้

ไม่ได้เป็นอย่างที่คนกิเลสท่วมศีรษะคิดกัน

เหล่าพระอริยะเจ้าทั้งหลายก็เช่นนั้น ไม่ว่าองค์ใด ๆ หากไม่ลงมาสงเคราะห์ด้วย ‘จิตเดิมแท้’ ของท่านเอง ‘บารมี’ ที่ท่านสั่งสมมานั่นแหละยังประทับอยู่ในโลกและเป็นตัวช่วยชาวโลกที่สำคัญยิ่งยวด หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา เรียกบารมีอย่างนี้ว่า

‘ภูตพระเจ้า’

พระอริยะองค์หนึ่งที่เมื่ออยู่ก็มากด้วยบุญบารมี ปฏิบัติภาวนาแลกตายกระทั่งอัฐิเป็นพระธาตุได้ สามารถเลี้ยงจระเข้นับสิบตัวในบึงให้เชื่องได้ดังหมาแมว ท่านชื่อ

หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต

หลวงปู่มีชื่อเดิมว่าผาง นามสกุล ครองยุติ เกิดเมื่อวันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2445 ณ บ้านกุดกะเสียน ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมอุทร 3 คน

หลวงปู่บวชครั้งแรกเมื่ออายุได้ 20 ปีเป็นพระมหานิกาย ที่วัดเขื่องกลาง จ.อุบลฯ เมื่อบวชได้ 1 พรรษาท่านก็สึกออกมาใช้ชีวิตสู้โลกจนมีครอบครัว และด้วยบุญบารมีเก่าก็ชักนำให้ท่านเห็นทุกข์ทางโลกอย่างถึงใจจนต้องกลับมาบวชอีกครั้งเมื่ออายุ 43 ปี ณ วัดคูขาด อ.เขื่องใน จ.อุบลฯ

ต่อมาท่านได้พบกับท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้รับโอวาทอุบายธรรมที่อาจหาญ ทั้งยังเป็นธรรมแท้ทุกถ้อยคำ ยังความปีติปราโมทย์ใจให้ท่านเป็นที่สุดถึงกับเร่งความเพียรชนิดแลกตาย ทั้งที่ท่านเองก็ปฏิบัติภาวนาจนจิตได้รับความสงบมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ยิ่งท่านเร่งความเพียรท่านก็ยิ่งพบอัศจรรย์ในธรรมอย่างมากมาย

เมื่อเป็นดังนั้นเพื่อความสะดวกในการประกอบสังฆกรรมกับหมู่คณะ ท่านจึงญัตติใหม่ในสังกัดธรรมยุติกนิกายขณะอายุได้ 47 ปี เมื่อวันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2491 ณ วัดบ้านโนน หรือวัดทุ่ง อ.เขื่องใน จ.อุบลฯ โดยมี พระครูพินิจศีลคุณ (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหา-ทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

นับแต่นั้น ท่านก็เพิ่มความพากเพียรชนิดเอาชีวิตเข้าทุ่มแลกกับธรรมขั้นไม่กลับเกิดอีก ซึ่งท่านก็ได้ปลดกิเลสตัวสุดท้ายลงจากหัวใจได้อย่างใสสะอาด เหลือแต่ ‘จิตดั้งเดิม’ ที่ไร้การปรุงไปในทางใดได้อีก บริสุทธิ์ล้วน ๆ อยู่ด้วยตัวจิตเอง

‘วิสุทธิจิต’ ของท่านเกิดที่ถ้ำน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ในพรรษาที่ 22 ชนมายุได้ 68 ปี ตรงกับพ.ศ. 2513

สถานที่นี้มีบุญคุณกับท่านที่สุด

ท่านกล่าวอย่างองอาจว่า

“ชาติภพและการเวียนว่ายตายเกิดของเราได้ยุติลงแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดจบสิ้นกันเสียที เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรื่องกิเลสตัณหาอาสวะทุกประเภทได้หมดสิ้นไปจากใจของเราแล้วยังเหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์”

และปรารภว่า

“คนเรานี้มีเกิดก็มีดับ ถ้าไม่มีการเกิดก็ไม่มีการดับ อันนี้มันเป็นของคู่กัน ใครสร้างใครปฏิบัติก็ได้แก่คนนั้นให้พากันประพฤติปฏิบัติเอานะ”

ท่านเล่าว่า จิตท่านนั้นสว่างไสวอยู่ทุกเมื่อ เจิดจ้าครอบโลกธาตุอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน คือจิตนี้เป็นธรรมธาตุที่บริสุทธิ์หลุดพ้นอาสวะไม่มีการเสื่อมสูญโดยประการทั้งปวง จึงหาวัตถุสิ่งของที่อยู่ภายนอกมาเทียบไม่ได้

หลวงปู่พูดเหมือนเจ้าคุณนรฯ ทั้งที่ไม่รู้จักกัน

ก็เมื่อตรัสรู้แล้วในสิ่งเดียวกันจะเพียรกล่าวอย่างไรก็ไม่พ้นกล่าวในสิ่งเดียวกัน ต่างก็แต่สำนวนการอรรถาธิบาย คนเคยไปเชียงใหม่แม้ไปคนละที เมื่อให้พูดถึงเชียงใหม่ต่างก็เล่าสอดคล้องกันไม่ต่าง ครั้นพบปะสนทนากันก็ร่าเริงยินดีคุยเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

คนไม่เคยไปจะงง

เมื่อครั้งดำรงขันธ์ หลวงปู่จะสอนธรรมะง่าย ๆ ให้แก่ญาติโยมเสมอและมีเมตตาต้อนรับสงเคราะห์สงหาผู้เลื่อมใสโดยไม่เลือกรักชัง จิตตานุภาพของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ศรัทธาเสมอโดยเฉพาะการรู้วาระจิตของใครต่อใคร การหยั่งทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าหรือย้อนหลังไปนานแล้วเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ไปกราบจะได้พบเจอ

ดังกล่าวแล้วว่าท่าน ‘สำเร็จ’ ที่ถ้ำน้ำหนาว ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสท่านก็จะไปวิเวกที่นั่นเป็นประจำ ศิษยานุศิษย์หลายคนก็มีศรัทธาตามไปปฏิบัติกับท่านด้วย

ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ผางซึ่งบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในถ้ำเกือบจะ 24 ชั่วโมง ได้ออกจากถ้ำมาสั่งว่า จงเตรียมตัวต้อนรับคณะศรัทธาที่จะเดินทางมาเยี่ยมท่านที่ถ้ำน้ำหนาวนี้ด้วย บรรดาศิษย์ก็แปลกใจเป็นหนักหนาด้วยว่าเฝ้าอยู่หน้าถ้ำตลอดเวลาไม่เคยมีใครเข้าไปนัดอะไรกับท่านด้วย ทำไมท่านจึงว่าจะมีคนมา

แต่ก็เชื่อครูจึงพากันไปเก็บของป่า เช่น เห็ด หน่อไม้ ผักกูด ผักหนามมาตระเตรียมไว้ทำอาหารต้อนรับ ผ่านไป 3 วัน ก็มีคณะศรัทธามาจากอำเภอบ้านไผ่โดยใช้เกวียนเป็นพาหนะเดินทางและออกจากบ้านไผ่มาถึงน้ำหนาวนี้ใช้เวลา 9 วัน

คณะนี้มีท่านพระครูชม ปภัสสโร วัดระหอกโพธิ์ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เป็นองค์นำ มีสามเณร 1 รูป และญาติโยมติดตามอีกเกือบยี่สิบคน เมื่อสนทนากันแล้วท่านก็ให้พระครูชมและสามเณรพักที่ถ้ำ ส่วนชาวบ้านให้พักในหมู่บ้าน จากนั้นท่านพระครูและสามเณรก็ขออนุญาตหลวงปู่เที่ยวชมภายในถ้ำซึ่งสวยงามราวเทพนิรมิต หลวงปู่ก็อนุญาตโดยท่านนั่งคอยอยู่หน้าถ้ำ

เมื่อท่านพระครูและเณรน้อยทัศนศึกษาจนแล้วเสร็จก็เดินกลับออกมา พอมาถึงหลวงปู่ผางท่านก็ถามขึ้นลอย ๆ ว่า

“เข้าไปในถ้ำ ไปเอาอะไรของเขามาล่ะ?”

ท่านพระครูก็ให้รู้สึกงงเป็นนักหนา คิดสะระตะก็ไม่เห็นว่าจะได้พบเจอสิ่งใดมีค่าพอจะหยิบฉวยมา จึงกราบเรียนท่านว่า

“ผมไม่ได้เอาของมีค่าอะไรออกมาเลยนี่ครับ”

หลวงปู่มองแล้วพูดว่า

“ไม่ได้เอาอะไรออกมาหรือ? แล้วทำไมพวกวิญญาณในถ้ำเขาถึงมานั่งฟ้องเราอยู่นี่เป็นแถว ดูซิ...เขาฟ้องว่าไปเอาของมีค่าของเขาออกมาด้วย”

ทั้งท่านพระครูและสามเณรต่างขนลุกซู่ชูชันด้วยหวาดสยองใจ มองไปทั่วก็ไม่เห็นใครสักคน มีแต่ความเงียบวังเวงและหนาวยะเยือกของถ้ำใหญ่ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะเพิ่มพูนคูณทวี

หลวงปู่จึงย้ำว่า

“วิญญาณในถ้ำเขามาฟ้องเราว่า ท่านพระครูและสามเณรไปเอาเครื่องประดับถ้ำเขามา ให้รีบเอาไปคืนเสีย ถ้าไม่เช่นนั้นกลับบ้านไม่ได้นะ”

ทั้งสองรูปนิ่งอึ้งตะลึงงัน ครุ่นคิดอึกอักอยู่เป็นครู่ก็กราบเรียนท่านว่า

“ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ขณะที่เดินดูในถ้ำเห็นก้อนหินสองก้อนเป็นคล้ายแก้วใสดูสวยงาม จึงอยากจะเอาไปเป็นของที่ระลึกไม่นึกว่าวิญญาณในถ้ำจะหวงแหน ถ้าอย่างนั้นผมก็จะเอาไปคืนที่เดิมละครับ !!”

ครั้นคืนที่เรียบร้อย ทั้งสองรูปก็กลับได้โดยสวัสดี

หลวงปู่ผางเคยถูกยิงขณะพักกลดภาวนาที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง ผู้ยิงเป็นนายพรานที่นึกว่ากลดเป็นตัวสัตว์เพราะมืดมาก เมื่อเห็นกลดตะคุ่ม ๆ ในพุ่มไม้ก็ยกปืนยาวขึ้นประทับแล้วยิงทันที

ปรากฏว่ายิงอย่างไร ๆ ก็ไม่ออก จนได้เหนี่ยวไกยิงถึง 4 นัด เขาจึงแปลกใจมากค่อย ๆ ย่องเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วก็ตกใจแทบสลบเพราะภาพที่เห็นคือกลดพระธุดงค์ซึ่งเอามุ้งกลดลงหมด แต่นายพรานก็ไม่แน่ใจว่าในกลดจะมีพระอยู่หรือไม่ หลวงปู่ซึ่งภาวนาสังเกตอยู่แล้วก็เลิกมุ้งโผล่ศีรษะออกมาดูแล้วร้องถามว่า

“หัวอะไรนั่น”

พรานกรรมหนักรีบตอบทันทีว่า “หัวคนครับ”

“คนอะไร ทำไมจึงไม่มีตา”

แกจึงรีบกราบขอขมาเป็นการใหญ่ที่ไปล่วงเกินท่านเข้า จากนั้นก็ลุกหนีหายเข้าป่าไป

นี่ก็หนึ่งในปาฏิหาริย์

เรื่องยิงไม่ออก ฟันแทงไม่เข้าทั้งด้วยองค์หลวงปู่เองหรือด้วยวัตถุมงคลจากท่านดูจะเป็นของคู่กันอย่างคนกับเงา ดังกล่าวแล้วว่าชีวิตภาวนาของท่านนัยว่าบู๊เลือดสาด ขนาดนอนให้งูยักษ์กินไปครึ่งองค์แล้วมันก็คายออกมายังเคย ปล่อยให้วัวบ้าที่ขวิดพระมรณภาพไม่รู้กี่รูปต่อกี่รูปวิ่งเข้ามาขวิดเสียเฉย ๆ ไม่วิ่ง ไม่หนี ไม่ป้องกัน แต่พอมาถึงมันก็กลับหยุด แถมวิ่งนำท่านไปบิณฑบาตเสียนี่

ทั้งเมื่อตอนสร้างกุฏิในบึงน้ำของวัดท่านก็ลงไปยืนแช่น้ำครึ่งองค์เป็นกำลังใจให้ช่างที่ลงไปปักเสาในน้ำ ก็บึงนี้มีจระเข้ขนาด 3-4 เมตร นับสิบตัว

ครั้นมีผู้ถามว่า ลงไปแช่ในน้ำอย่างนั้นหลวงปู่ไม่กลัวจระเข้หรอกหรือ ? ท่านก็ตอบทันทีเช่นกันว่า

“กลัวมันทำไม เลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กโน่นแน่ะ”

ขนาดหน้าขนยังเชื่อไม่ได้ นี่หน้าเกล็ดเชียวนะ

หลวงปู่เป็นผู้ที่มีใจเด็ดเดี่ยวอาจหาญมาก ไม่กลัวและไม่ย่อท้อต่อสิ่งใด ท่านเร่งประกอบความเพียรจนได้รับคำสรรเสริญจากครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่มากมายหลายองค์ และมักถูกยกเป็นองค์ตัวอย่างเสมอในเรื่องความวิริยะ อดทน เจริญจิตตภาวนา

ด้วยความกล้าสุดยอดอย่างนี้เอง เมื่อท่านอธิษฐานจิตเหรียญรุ่นแรกจึงบังเกิดอภินิหารต่าง ๆ เป็นอันมาก ผู้ได้รับล้วนมีประสบการณ์กว้างขวางซึ่งโดยมากมักได้ยินค่อนไปทางคงกระพันกันเขี้ยวงาและกันผีเป็นที่หนึ่ง ก้อไม่เพียงเหรียญรุ่นแรกเท่านั้นดอก รุ่นต่อ ๆ มาก็ปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ มีอภินิหารไม่แพ้กัน

สมัยผมยังเป็นเด็กวัยรุ่น ตามประสาเด็กที่เดี๋ยวก็เลือดเย็นเดี๋ยวก็เลือดร้อน เมื่อเริ่มเชื่อทางขลังความเลือดร้อนก็รับคำท้าเพื่อนที่หมิ่นว่าเหรียญพระก็แค่ทองแดงแผ่นจะป้องกันอะไรได้ โง่แขวนไปเปล่า ๆ

พอเลือดเริ่มเย็นได้ที่ก็เอาพระเครื่องสารพัดมายิง นี้ถือตามหัวข้อหมิ่นประมาทว่าไม่มี ‘มหาอุด’ และใส่ปากปลาช่อนฟันอย่างเลือดเย็นตามหัวข้อหมิ่นประมาทว่าไม่มี ‘คงกระพัน’

กระจายและกระจุย

อย่าให้บอกเลยว่ามี ‘หลวง’ ใดบ้าง มันเสีย ‘เซ้ลท์’ เปล่า ๆ

แต่แล้วการยิงในวันหนึ่งก็มีพระประหลาดมากู้หน้า แม้จะเป็นการกู้หน้าที่ไม่สมบูรณ์ถึงขั้นมหาอุดหยุดลูกปืน แต่ก็สร้างความประหลาดใจให้พวกเราทั้ง 7 คนเป็นอันมาก

นั่นคือเรานำเหรียญหล่อฉลุสีดำอันหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเราไม่ค่อยรู้จักท่านมาวางพิงกะลามะพร้าวที่ตั้งอยู่บนพื้นทรายขาวสะอาดตาเนื้อที่นับร้อย ๆ ไร่ เอาปืน.38 บรรจงยิงห่างกันประมาณ 4 นิ้ว ซึ่งวิธีนี้เหรียญจะไม่มีทางหายได้เลย

หากยิงออกเป็นต้องกระทบเป้าหมายแน่นอนและลูกปืนทองแดงจะดันเหรียญให้จมลงในพื้นทรายโดยเหรียญจะห่อตัวโอบลูกปืนไว้ทำให้เหรียญไม่หาย เก็บเอาไว้ดูเป็นตัวอย่างแบบนี้ได้ครบทุกเหรียญนับแล้วเป็นร้อยแน่ะ (บาปชะมัด)

เหรียญนี้ก็เช่นกัน เมื่อเล็งได้ที่ก็กดเปรี้ยง กะลากระจาย เราช่วยกันคุ้ยทรายลึกลงไปจนถึงชั้นดินหนาที่ลูกปืนไปหยุด น่าแปลกว่าเราไม่พบเหรียญแต่อย่างใด หัวลูกปืนเองก็ไม่มีร่องรอยการขีดข่วนแสดงว่าไม่ได้กระทบกับโลหะด้วยกัน
img014.jpg



ถ้าเช่นนั้นตัวเหรียญไปไหน ?

หากจะว่าลูกปืนกระทบขอบเหรียญจนเป็นเหตุให้ดีดเหรียญกระเด็นไปไกล ก็จะไกลสักแค่ไหนกันเทียว เนื้อที่พื้นทรายกว้างขวางนับร้อยไร่ อย่าว่าแต่กระเด็นเลยต่อให้ตั้งหน้าปาไปสุดแรงเกิดก็ต้องตกในรัศมีสายตาเพราะเหรียญเป็นนวโลหะดำปี๋แต่ทรายขาวจั๊วะ

7 ประจัญบาน พากันกระจายกำลังหาไปรอบ ๆ ขยายวงไปเรื่อย ๆ จนอ่อนใจก็ไม่พบ สรุปเอาว่าคงกระเด็นหายเพราะลูกปืนแต่ไม่รู้ทิศ วันนั้นจึงได้ยุติการยิงเพราะเหรียญนี้เป็นเหตุ

ต่อมาอีกหลายปี ผมได้พบคุณลุงท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิจริง ๆ ของหลวงปู่ผาง เราคุยกันอย่างถูกคอโดยที่ผมลืมเรื่องยิงเหรียญฉลุไปแล้วสนิท ตอนหนึ่งท่านพูดขึ้นว่า หลวงปู่ผางมีของขลังหลายอย่าง ตะกรุด ผ้ายันต์ พระกริ่ง รูปหล่อลอยองค์ พระผง พระเหรียญของท่าน เหลือจะนับรุ่นได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด โดยเฉพาะรูปเหมือนองค์ท่าน ท่านจะมีข้อห้ามที่ถือเป็นเด็ดขาดอยู่สองข้อคือ

1. ไม่ยอมให้ใส่ไปกินเหล้าเด็ดขาด ถ้าใส่ไปกินเหล้าจะต้องเกิดเหตุสองอย่างนี้ไม่อันใดก็อันหนึ่งคือ คนใส่พระท่านกินเหล้าจะชักกระแด่ว ๆ อยู่ตรงนั้นเลย หรือมิฉะนั้น คนในกลุ่มสุราก็จะลุกขึ้นมาตีกันเองอย่างไม่น่าเชื่อ

ลองดูก็ยังได้

2. ห้ามนำวัตถุมงคลของท่านไปทดลองโดยประการต่าง ๆ มิฉะนั้น วัตถุมงคลเหล่านั้นจะหายสาบสูญไปไม่ได้คืน

ผมสะดุ้งสุดตัว

ก็เหรียญฉลุเนื้อนวโลหะที่ยิงเมื่อหลายปีก่อนโน้นเป็นเหรียญของหลวงปู่ผาง จิตตคุตโต ปี พ.ศ. 2519 ซึ่งผู้แกะพิมพ์คือ นายช่างเกษม มงคลเจริญ และดูเหมือนเหรียญนี้หลวงปู่จะอธิษฐานจิต-ปลุกเสกตลอดไตรมาสเสียด้วย

เจอของจริงอีกครา

นับแต่นั้นผมก็ด้องเก็บหลวงปู่ผางที่ผมเคารพชนิดไม่กระโตกกระตาก โชคดีที่พระเครื่องท่านไม่เห็นมีแพงสักรุ่น นอกเสียจากเหรียญรุ่นแรกที่สร้างเมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2512 ซึ่งก็ต้องเป็นบล็อกนิยมคือ บล็อกคงเค กับ บล็อกคงเคคอติ่ง ซึ่งรุ่นแรกนี้มีจำนวนสร้างทั้งหมดราว 10,000 เหรียญ แต่โดยความเห็นผม ๆ ว่าน่าจะกว่าหมื่นเหรียญ

หากไม่ใช่รุ่นแรกพิมพ์นิยม แม้จะเป็นรุ่นแรกพิมพ์ใดก็ตามเถิด ราคาแค่ร้อยนิด ๆ เท่านั้น เหรียญรุ่นอื่น ๆ ก็เช่นกันไม่สูงราคาสักรุ่นเดียวล้วนอยู่หลักร้อยทั้งสิ้น นั่นย่อมเป็นโอกาสดีของชาวเบี้ยน้อยหอยเล็ก ให้พยายามหาพระท่านมาคุ้มตัวเถิดไม่ต้องรุ่นแรกบล็อกนิยมดอก หลวงปู่ผางแล้วเป็นอันว่าแน่นอนทุกรุ่น ทุกเนื้อ ทุกพิมพ์ เชื่อขนมกินได้จริง ๆ

และอันที่จริงรุ่นแรกซึ่งสร้างในปี พ.ศ. 2512 นั้นพูดก็พูดเถิด ท่านยังไม่ ‘สำเร็จ’ เลยด้วยซ้ำ เป็น ‘ผู้ขึ้นบันไดไปสามขั้น’ เท่านั้น ทีนี้ถ้าเป็นของที่ออกหลังพรรษาปี พ.ศ. 2513 ล่ะก็ แน่นอนสุด ๆ ของ ‘พระอรหันต์’ เสกไม่ดีได้ไง !!

แม้พระเครื่องหลวงปู่ผางจะมีประสบการณ์เชิงบู๊ฉกาจฉกรรจ์ แต่ที่นำโชคนำลาภบันดาลความสำเร็จและร่ำรวยแก่ผู้คนก็มีปรากฏอยู่ไม่น้อย ผมเองคนหนึ่งละที่ได้โชคได้ลาภจากการอาราธนาพระเครื่องของท่านเสมอ ๆ โดยเฉพาะเหรียญรูปเหมือนท่านที่ออก ณ วัดพลับพลา จ.นนทบุรี วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2519 นี้รู้สึกจะเก่งทางโชคลาภมากทีเดียว แถมราคาก็ทู๊ก..ถูก เจอทีไรก็ 50 – 60 อย่างเก่ง 100 บาท

รีบหาซะท่านผู้ชม ชักช้าผมจะเก็บให้หมดแล้วคุณจะเช่าแพง.

* ขอขอบคุณ คุณนวรัตน์ วีระเฟื่องฟู ที่กรุณาให้ยืมเหรียญฉลุหลวงปู่ผางองค์สวยมาถ่ายภาพ (เพราะของผมกระเด็นหายไปแว้ว..ว)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 15 ก.ย. 2008 2:32 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
เห็นเนื้อเงิน ก็อยากได้นวะ

เห็นเนื้อนวะ ก็อยากได้เงิน...
:roll:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 15 ก.ย. 2008 5:35 am 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
อ่านแล้วตื่นเต้นดีครับ ว่าแต่ เอ่อ อ.รณธรรม เล่นปืนด้วยเหรอครับ ผมจะได้สงบปากสงบคำให้มากขึ้น :cry:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 15 ก.ย. 2008 4:24 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ก็เล่นบ้างนิดหน่อยครับ เลิกยิงสุ่มสี่สุ่มห้ามานานแล้ว

พักหลังเลือกยิงแต่ที่เน้น ๆ ครับ..

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 17 ก.ย. 2008 4:20 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 16 ก.ย. 2008 11:16 am
โพสต์: 94
แบบนี้นี้ก็ไม่น่ากลัวเท่าไรสิครับพี่ เพราะเลือกยิงแบบเน้นๆ

หากยิงสุ่มสี่สุ่มห้า กลัวจะโดนลูกหลงไปด้วย

อย่างนี้คงต้องหาพระของหลวงปู่มาติดตัวซะแล้ว จะได้กันไว้ก่อน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 12 ธ.ค. 2008 4:55 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 29 ก.ย. 2008 12:53 pm
โพสต์: 754
:vvhpy: :vvhpy: ยิงเลยครับ .......................... :ydie:

_________________
.........ถ้าเจ้าได้ทุกอย่างอย่างที่คิด
ชั่วชีวิตจะเอาของกองที่ไหน
จะได้บ้างเสียบ้างจะเป็นไร
ช่างหัวใครช่างหัวมันเท่านั้นเอง ..........


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 13 ธ.ค. 2008 12:13 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 09 ก.ย. 2008 11:02 pm
โพสต์: 360
ปืนลงอาคมหรือเปล่าครับ
:sck:

_________________
Yesterday is history
Tomorrow is a mystery
And Today is a gift...
Thats why they call it the Present


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 15 ธ.ค. 2008 1:30 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
.gif


_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 15 ธ.ค. 2008 9:52 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 8:36 pm
โพสต์: 969
:pry:

_________________
ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นคือดีเลิศ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 16 ธ.ค. 2008 1:47 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
เออ...ขอโทษครับ ผมแค่ประมาณว่า "เหนียวเป็นเหล็กไหล ใจเป็นสีชมพู" ครับ
เรื่องยิงปืนไม่ค่อยอยากพูดถึง ลองมาหมดแล้วครับ ไม่ว่างานวัด งานศาลเจ้า งานลอยกระทง ฯลฯ
:lol: :lol: :lol:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 16 ธ.ค. 2008 2:01 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 14 ต.ค. 2008 9:22 pm
โพสต์: 832
:hpy: ขอบคุณ คับ :hpy:

_________________
"สติเป็นบ่อเกิดของธรรม ใครอยากให้ธรรมเกิด พึงมีสติอยู่ทุกเมื่อ"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 17 ธ.ค. 2008 9:57 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ศิษย์กวง เขียน:
เออ...ขอโทษครับ ผมแค่ประมาณว่า "เหนียวเป็นเหล็กไหล ใจเป็นสีชมพู" ครับ
เรื่องยิงปืนไม่ค่อยอยากพูดถึง ลองมาหมดแล้วครับ ไม่ว่างานวัด งานศาลเจ้า งานลอยกระทง ฯลฯ
:lol: :lol: :lol:


แหม่ งั้นคนนี้ก้อคุณศิษย์กวงตัวจริงเสียงจริงน่ะสิครับ แหม่ รู้งี้น่าจะเข้าไปทักสักหน่อย ผมจะได้รู้จักคนดังเสียที อิ อิ :lol: :lol: :lol:
.jpg


_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 18 ธ.ค. 2008 1:15 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 16 พ.ย. 2008 9:25 pm
โพสต์: 1207
หลวงปู่ผางท่านเป็นพระที่มีฤทธิ์มากจริงๆครับ
สมัยก่อน เด็กๆในขอนแก่นแทบทุกคนต้องห้อยพระของท่าน
พอโตมาหน่อยกินเหล้าเป็น ก็ต้องเลิกแขวนเพราะกินทีไรมีเรื่องกันทุกที หรือถ้าไม่มีเรื่องเหรียญก็หาย มีแค่ 2 อย่าง
แต่ก็มีเคล็ดถ้าแขวนพระท่านไปกินเหล้าให้แขวนไปด้านหลังเรา(ไม่ใช่แขวนด้านหน้าแล้วกลับหลังเหรียญนะครับ) รุ่นพี่นี้ก็ลองกันมาเยอะครับเหรียญหายไปเป็นสิบได้แล้ว
น่าเสียดายแทนอ.ต่อนะครับเหรียญฉลุรุ่นนั้นเป็นเหรียญดังของท่านทีเดียวเพราะเป็นของในพิธีเดียวกับ พระกริ่งมัญจาคีรี เป็นพิธีที่เสกกันถึง 9 วัน 9 คืน มีพระผู้ใหญ่มาร่วมพิธีอาทิ หลวงปู่เทศก์-หลวงปู่หลุย ฯลฯ
ตัวนวะโลหะ เป็นการผสมของอ.เทพ สาริกบุตร
ขนาดผมคนขอนแก่นยังไม่มีเลย เสียดายจริงๆ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 19 ธ.ค. 2009 5:19 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 24 พ.ย. 2008 4:51 pm
โพสต์: 613
"รีบหาซะท่านผู้ชม ชักช้าผมจะเก็บให้หมดแล้วคุณจะเช่าแพง."

ป๋มรู้แล้วว่าเหรียญอยู่กะใคร จะไปหาที่อื่นทำไมละครับอาจารย์ต่ออิอิ :hpy: :hpy:

_________________
"ความทุกข์มันเข้ามาได้เพราะเราไม่ภาวนา เมื่อภาวนาแล้ว มันก็หมดลง"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 19 ธ.ค. 2009 5:29 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
:icry:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 21 ธ.ค. 2009 2:30 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 5:09 pm
โพสต์: 1368
ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้อยู่แค่ชลบุรี เอ้ย...ใกล้อยู่แค่ตา


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 22 ธ.ค. 2009 3:19 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
เอาขนตาไปละกัน :lol: :lol: :lol:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 23 ธ.ค. 2009 5:31 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 24 พ.ย. 2008 4:51 pm
โพสต์: 613
ดีที่ยังเป็นขนตานะงับ (ไม่ใช่ขี้ตา) อิอิ :vvhpy: :vvhpy:

_________________
"ความทุกข์มันเข้ามาได้เพราะเราไม่ภาวนา เมื่อภาวนาแล้ว มันก็หมดลง"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 23 ธ.ค. 2009 6:20 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
.gif


_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 23 ธ.ค. 2009 7:13 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 24 พ.ย. 2008 4:51 pm
โพสต์: 613
ม่ายกัวหรอกงับ อิอิ :rbb: :rbb:


แนบไฟล์:
28780-3.jpg


_________________
"ความทุกข์มันเข้ามาได้เพราะเราไม่ภาวนา เมื่อภาวนาแล้ว มันก็หมดลง"
ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO